- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Thursday, 05 January 2017 16:55
- Hits: 1954
บล.เอเชีย เวลท์ : Daily Market Outlook
รอดูนโยบาย Trump
คาดหุ้นไทยวันนี้หลังจากรายงานการประชุม Fed ล่าสุดบ่งชี้ว่าคณะกรรมการการเงินสหรัฐส่วนใหญ่เห็นว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะขยายตัวเร็วขึ้นด้วยนโยบายกระตุ้นด้านการคลังของ Trump อย่างไรก็ตามคณะกรรมการดังกล่าวก็มองว่า Fed ต้องขึ้นดอกเบี้ยเร็วขึ้นอีก ซึ่งอาจจะไปถ่วงดุลการขยายตัวทางเศรษฐกิจ แต่เรามองว่าผลสุทธิยังคงเป็นบวกต่อตลาด ยังคงต้องรอดูต่อไปว่ารัฐสภาของสหรัฐจะเห็นด้วยกี่มากน้อยกับนโยบายของ Trump ภายในประเทศอัตราเงินเฟ้อผู้บริโภคเพิ่มขึ้นอีกด้วยอัตราเร็วสุดใน 25 เดือนในเดือน ธ.ค. บ่งชี้ว่าพ้นภาวะเศรษฐกิจถดถอยแล้วมาแล้ว ในขณะที่กระทรวงท่องเที่ยวฯ มองข้ามเรื่องทัวร์ศูนย์เหรียญที่ทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวจีนลดลงและปรับเพิ่มประมาณการรายรับการท่องเที่ยวปีนี้ขึ้นเป็น 2.7 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.2% จากปี 59
หุ้นเด่นวันนี้ : SCC (ราคาปิด 494.00 บาท; ซื้อ; ราคาเป้าหมาย AWS 638.00 บาท)
เราเลือกบมจ. ปูนซีเมนต์ไทย เป็นหุ้นเด่นในวันนี้ด้วย Sentiment กิจกรรมการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ของภาครัฐที่กำลังจะเกิดขึ้นในปีนี้ นำโดยภาคการขนส่ง ซึ่งจะส่งผลให้ความต้องการใช้ปูนซิเมนต์กลับมาฟื้นตัวและขยายตัวอีกครั้ง เริ่มจากโครงการที่ได้ชนะการประมูลแล้วและพร้อมก่อสร้าง 1.65 แสนลบ. ตามด้วยโครงการที่ได้รับการอนุมัติแล้วและรอประมูลอีก 3.59 แสนลบ. จากมูลค่าการลงทุนรวมทั้งสิ้นในระยะยาว 8.96 แสนลบ. ที่รัฐบาลได้อนุมัติเรียบร้อยแล้ว นอกจากนี้แล้วยังมีโอกาสการเติบโตในระยะยาวจากโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ในประเทศเพื่อนบ้าน CLMV ที่สาธารณูปโภคและโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ยังถือว่าขาดแคลนเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ในอาเซียน ขณะที่เรายังคงเห็นถึงความแข็งแกร่งของธุรกิจปิโตรเคมีสายโอเลฟืนส์อย่างต่อเนื่องท่ามกลางภาวะวงจรขาขึ้นของอุตสาหกรรม ซึ่งมองว่าจะยาวนานต่อเนื่องไปอย่างน้อยอีก 2-3 ปีข้างหน้า จากภาวะสมดุลของอุปสงค์และอุปทานในภูมิภาค หนุนให้กำไรสุทธิของ SCC ยืนอยู่ในระดับแข็งแกร่ง คาดกำไรสุทธิปี 2559 จะทำระดับสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์อยู่ที่ 5.30 หมื่นลบ. (+17% YoY) ก่อนที่จะเดินหน้าสร้างระดับสูงสุดใหม่ต่อเนื่องที่ 5.60 หมื่นลบ. (+6% YoY) ในปีนี้และ 6.13 หมื่นลบ. (+10% YoY) ในปี 2561 ราคาหุ้น SCC ปัจจุบันยังมีความน่าสนใจ โดยปัจจุบันซื้อขายที่ระดับ PER ปีนี้ที่เพียง 10.6 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตย้อนหลัง 5 ปีและ 10 ปีที่ 15.5 เท่าและ 13.3 เท่า ตามลำดับ นอกจากนี้ยังให้อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลที่น่าสนใจอีกราว 4.0% ในส่วนของ Price Pattern ของ SCC ยังมีแนวโน้มหลักอยู่ในแนวโน้มขาขึ้น (Uptrend) จากการเกิดทั้ง Daily & Monthly Buy Signal รอเพียงการกลับมาเกิด Weekly Buy Signal ครั้งใหม่เท่านั้น โดย Price Pattern ของ SCC จะกลับมาเกิด Weekly Buy Signal ครั้งใหม่เมื่อสามารถปิดตลาดรายสัปดาห์ได้เหนือ 522 บาท ทั้งนี้เมื่อพิจารณา Price Pattern ของ SCC ที่อยู่ในแนวโน้มขาขึ้น (Uptrend) จึงทำให้การเปิด Falling Gap ที่ผ่านมากลายเป็นเรื่องผิดปกติ ดังนั้น Price Pattern ของ SCC จึงมีเป้าหมายระยะสั้นเพื่อไปปิด Falling Gap ที่เปิดไว้ที่ 518 บาทเสียก่อน ซึ่ง SCC มีจุด Stop Loss ระยะสั้นอยู่ที่ 474 บาท (แนวต้าน: 496.00, 498.00, 500.00; แนวรับ: 492.00, 490.00, 488.00)
ปัจจัยสำคัญ
ประเด็นในประเทศ :
เงินเฟ้อบวกต่อใน ธ.ค. ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปอยู่ที่ 106.93 จุดใน ธ.ค. หรือเพิ่มขึ้น 1.13% หนุนโดยราคาน้ำมันที่สูงขึ้นและการซื้ออาหารและเครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์เพิ่มขึ้น นับเป็นเดือนที่เก้าที่เพิ่มขึ้นติดต่อกันและเติบโตเร็วสุดในรอบ 25 เดือน สำหรับทั้งปี 59 ดัชนีราคาเติบโต 0.19% ซึ่งอยู่ในกรอบเป้าหมายของ ก.พาณิชย์ที่ 0-1% ขณะที่เป้าของปี 60 อยู่ที่ 1.5-2% (Bangkok Post)
ก.ท่องเที่ยวไม่สนผลจากการคุมเข้มทัวร์ศูนย์เหรียญ ปรับเพิ่มคาดการณ์ ก.ท่องเที่ยวและกีฬากล่าวว่าการคุมทัวร์ศูนย์เหรียญตั้งแต่ ก.ย. ปีที่แล้วกระทบจำนวนนักท่องเที่ยวขาเข้าอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้โดยเฉพาะจากจีน อย่างไรก็ดีกระทรวงยืนยันว่าผลจะมีแค่ระยะสั้นและระยะยาวน่าจะเป็นประโยชน์ต่อประเทศเพราะนักท่องเที่ยวที่มีคุณภาพจะเข้ามาไทยมากขึ้นในอนาคต กระทรวงได้ปรับเพิ่มคาดการณ์รายได้ท่องเที่ยวปีนี้เป็น 2.71 ล้าน ลบ. จากปีก่อน 2.6 ล้าน ลบ. มากกว่าคาดการณ์ปี 59 เดิมที่เท่ากับ 2.5 ล้าน ลบ. อยู่ 8.2% คาดจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติมาไทยปีนี้ 35 ล้านคน เพิ่มจาก 32.5 ล้านคนในปีก่อน (Bangkok Post)
ททท. มองรายได้ท่องเที่ยวขยายตัว 10% ปีนี้ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ประเมินรายได้ท่องเที่ยวปีนี้ไว้อยู่ที่ 2.77 ล้านล้านบาท สูงขึ้นราว 10% จากคาดการณ์สำหรับทั้งปีปีที่แล้วที่ 2.52 ล้านล้านบาท โดยคาดรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติไว้อยู่ที่ 1.81 ล้านล้านบาท ซึ่งจะมาจากนักท่องเที่ยวจากรัสเซียที่ภาพรวมเศรษฐกิจฟื้นตัว รวมไปถึงการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศอื่นๆ ในเอเชีย นอกจากนี้การเว้นค่าธรรมเนียมวีซ่าจนถึงเดือนก.พ. ยังเป็นปัจจัยหนุนอีกทางหนึ่ง (Bangkok Post)
ต่างประเทศ :
ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าจากระดับสูงสุดในรอบ 14 ปี ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเทียบกับเงินยูโรและเงินเยนเมื่อวันพุธ ถอยจากระดับสูงสุดในรอบ 14 ปี เทียบกับสกุลเงินหลักหลังเฟดเปิดเผยรายงานการประชุมประจำเดือนธ.ค. ซึ่งมีแนวโน้มว่าเฟดจะปรับเปลี่ยนรวดเร็วกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายทางการคลังของทรัมป์ เงินยูโรล่าสุดปรับตัวขึ้น 0.6% สู่ระดับ 1.0465 ดอลลาร์สหรัฐ ส่วนดอลลาร์สหรัฐล่าสุดอ่อนค่าลง 0.2% เทียบกับเงินเยนที่ระดับ 117.51 เยน ค่าเงินหยวนแข็งค่าเทียบกับดอลลาร์สหรัฐที่ระดับ 6.8707 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับแต่วันที่ 6 ธ.ค. เนื่องจากทางการจีนได้เข้ารักษาเสถียรภาพของเงินหยวนหลังจากที่อ่อนค่าลงเป็นวันที่สอง (Reuters)
อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐอยู่ในระดับทรงตัวถึงปรับตัวลงเล็กน้อยเมื่อวันพุธ หลังการเผยแพร่รายงานการประชุมเฟดครั้งล่าสุด ราคาพันธบัตรอายุ 10 ปี ทรงตัว อัตราผลตอบแทนอยู่ที่ระดับ 2.451% ลดลงจากที่ระดับ 2.454% เมื่อวันอังคาร ราคาพันธบัตรอายุ 30 ปี เพิ่มขึ้น 1/32 อัตราผลตอบแทนอยู่ที่ระดับ 3.043% ลดลงจากที่ระดับ 3.05% เมื่อวันอังคาร (Reuters)
สหรัฐ :
ดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐปิดบวกเมื่อวันพุธ แม้ว่ารายงานการประชุมประจำเดือนธ.ค. ของเฟดระบุถึงความกังวลว่าการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่รวดเร็วขึ้นภายใต้การบริหารของนายทรัมป์อาจทำให้เฟดต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วขึ้นเพื่อสกัดภาวะเงินเฟ้อ หุ้นกลุ่มสินค้าผู้บริโภคปรับตัวขึ้นนำตลาด โดยหุ้นเจเนอรัล มอเตอร์ และฟอร์ดปรับพุ่งขึ้นหลังประกาศยอดขายรถยนต์เพิ่มขึ้นสูงกว่าที่คาดในเดือนธ.ค. (Reuters)
คณะกรรมการเฟดต่างเห็นพ้องว่านโยบายกระตุ้นการคลังของทรัมป์จะส่งผลให้เงินเฟ้อสูงขึ้น จากรายงานประชุมของคณะกรรมการเฟด (FOMC) ระหว่างวันที่ 12-13 ธ.ค. ที่ผ่านมานั้น คณะกรรมการฯ มีความเห็นว่าเฟดมีโอกาสที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในอัตราที่รวดเร็วขึ้น พวกเขามองว่ามีความเสี่ยงขาขึ้นต่อประมาณการการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่อิงจากการคาดการณ์ว่านโยบายการคลังจะมีการขยายตัวมากขึ้นภายใต้การบริหารของทรัมป์ อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการมองว่าการปรับตัวขึ้นของดอลลาร์สหรัฐอาจส่งผลกระทบต่อเงินเฟ้อ (Reuters)
ยุโรป :
ตลาดหุ้นยุโรปเมื่อวันพุธปรับตัวลดลงจากระดับสูงสุดในรอบ 1 ปี นำโดยการปรับตัวลงของหุ้นกลุ่มค้าปลีก ได้แก่ Next ผู้ประกอบการค้าปลีกเสื้อผ้าแฟชั่นสัญชาติ UK ที่ราคาหุ้นลงไปกว่า 14% หลังบริษัทฯ ออกมาให้แนวโน้มผลประกอบการในเชิงลบ ซึ่งประเด็นดังกล่าวสร้างความกังวลให้กับนักลงทุนต่อภาพรวมอุตสาหกรรมและส่งผลให้หุ้นอื่นๆ ในกลุ่มปรับตัวลดลงไปด้วย โดยหุ้น Marks & Spencer ปรับตัวลดลง 4.6% ขณะที่หุ้น Associated British Foods ปรับตัวลดลง 3.2% (Reuters)
เศรษฐกิจยูโรโซนเดือนธ.ค. ขยายตัวมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนพ.ค. 2554 โดย Markit รายงานดัชนี PMl รวมภาคการผลิตและการบริการยูโรโซนเดือนธ.ค. อยู่ที่ระดับ 54.4 สูงสุดในรอบ 67 เดือนและเป็นการขยายตัวรายไตรมาสที่มากที่สุดในรอบปี ตัวเลขดังกล่าวสูงขึ้นจากการประเมินเบื้องต้นก่อนหน้าที่ 53.9 และสูงจากตัวเลขเมื่อเดือนพ.ย. ก่อนหน้าที่ 53.9 ทั้งนี้ภาคการผลิตมีการขยายตัวมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนเม.ย. 2557 หากพิจารณารายประเทศพบว่ามีการขยายตัวในประเทศหลักๆ ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นสเปนที่ขยายตัวมากสุดในรอบ 6 เดือน เยอรมนีในรอบ 5 เดือน และฝรั่งเศสในรอบ 1 ปีครึ่ง ทั้งนี้มีเพียงอิตาลีที่ขยายตัวในอัตราที่ลดลง (lHS Markit)
กิจกรรมภาคการบริการยูโรโซนเดือนธ.ค. ขยายตัวแข็งแกร่ง โดย Markit รายงานดัชนี PMl ภาคบริการสรุปสุดท้ายออกมาอยู่ที่ 53.7 สูงขึ้นจากการประเมินเบื้องต้นก่อนหน้าที่ 53.1 แต่ลดลงเล็กน้อยจากตัวเลขเมื่อเดือนพ.ย. ก่อนหน้าที่ 53.8 (lHS Markit)
เอเชีย :
ความแข็งแกร่งของสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ หนุนหุ้นส่งออกของญี่ปุ่น ให้เกิดการแรลลี่ในช่วงหนึ่งวันมากที่สุดในรอบสองเดือนในวันพุธที่ผ่านมา ในวันซื้อขายวันแรกของปีที่นิกเกอิปรับตัวขึ้นไป 2.50% และเริ่มตั้งฐานใหม่ได้นับจากทำระดับสูงสุดไปในเดือนธันวาคม 2558 เนื่องจากข้อมูลที่แสดงให้เห็นถึงกิจกรรมโรงงานในประเทศที่ขยายตัวในอัตราที่เร็วที่สุดในรอบปี (Reuters)
จีนวางแผนที่จะใช้จ่ายเงิน 8 แสนล้านหยวน (115.09 พันล้านดอลลาร์) ในการสร้างทางรถไฟในปีงบประมาณนี้ โดยเป็นงบเดิมจากปีก่อนในการเพิ่มระยะทาง 2,100 กม. เพื่อยกระดับเครือข่ายให้มากถึง 150,000 กม. ประเทศจีนได้กำหนดเป้าหมายการใช้จ่ายประจำปี 8 แสนล้านหยวนสำหรับสามปีที่ผ่านมาและใช้ 8.015 แสนล้านหยวนในการก่อสร้างรถไฟในปี 2559 โดยมีแผนจะใช้จ่าย 3.5 ล้านล้านหยวนในการสร้างรางรถไฟในช่วง 2559-2563(Xinhua)
สินค้าโภคภัณฑ์ :
น้ำมันดิบบวกวันพุธ ด้วยคาดการณ์ว่าสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐจะร่วงและสัญญาณว่าผู้ส่งออกน้ำมันอันดับต้นๆ จะลดกำลังการผลิตเริ่มตั้งแต่สัปดาห์นี้เป็นต้นไป น้ำมันดิบ Brent ล่วงหน้าบวก 28 เซนต์ (+0.5%) ปิด 55.75 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล น้ำมันดิบสหรัฐล่วงหน้าบวก 25 เซนต์ (+0.5%) ปิด 52.58 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล (Reuters)
ทองแดงบวกวันพุธ เพราะดอลลาร์ถอยร่นจากจุดที่แข็งค่าสุดในรอบ 14 ปีและจีนเตรียมสร้างรางรถไฟอีก 2,100 กม. ในปีนี้ซึ่งคาดการณ์ว่าจะหนุนอุปสงค์ต่อทองแดง ทองแดงสามเดือนในตลาด London Metal Exchange ปิดบวก 2.6% เป็น 5,645 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน (Reuters)
ราคาทองคำบวกสูงสุดในรอบกว่าสี่สัปดาห์ในวันพุธ เพราะดอลลาร์ปรับตัวลงจากจุดที่แข็งค่าสุดในรอบ 14 ปีและจีนกับอินเดียต้องการทองคำมากขึ้น ราคาทองคำตลาดจรแตะจุดสูงสุดนับแต่ 9 ธ.ค. ที่ 1,167.83 ดอลลาร์ก่อนจะปิดบวก 0.6% ที่ 1,161.2 ดอลลาร์สหรัฐ ราคาทองคำล่วงหน้าสหรัฐเดือน ก.พ. บวก 0.3% ปิดที่ 1,165.30 ดอลลาร์สหรัฐ (Reuters)
Thailand Research Department
Mr. Warut Siwasariyanon (No.17923) TeI: 02 680 5041
Mr. Krit SuwanpibuI (No.17968) TeI: 02 680 5090
Mrs. VajiraIux SangIerdsiIIapachai (No. 17385) TeI: 02 680 5077
Mr. Narudon Rusme, CFA (No.29737) TeI: 02 680 5056
Mr. Napat Siworapongpun (No.49234) TeI: 02 680 5094
บล.เอเชีย เวลท์ : Daily Market
รอดูนโยบาย Trump
คาดหุ้นไทยวันนี้หลังจากรายงานการประชุม Fed ล่าสุดบ่งชี้ว่าคณะกรรมการการเงินสหรัฐส่วนใหญ่เห็นว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะขยายตัวเร็วขึ้นด้วยนโยบายกระตุ้นด้านการคลังของ Trump อย่างไรก็ตามคณะกรรมการดังกล่าวก็มองว่า Fed ต้องขึ้นดอกเบี้ยเร็วขึ้นอีก ซึ่งอาจจะไปถ่วงดุลการขยายตัวทางเศรษฐกิจ แต่เรามองว่าผลสุทธิยังคงเป็นบวกต่อตลาด ยังคงต้องรอดูต่อไปว่ารัฐสภาของสหรัฐจะเห็นด้วยกี่มากน้อยกับนโยบายของ Trump ภายในประเทศอัตราเงินเฟ้อผู้บริโภคเพิ่มขึ้นอีกด้วยอัตราเร็วสุดใน 25 เดือนในเดือน ธ.ค. บ่งชี้ว่าพ้นภาวะเศรษฐกิจถดถอยแล้วมาแล้ว ในขณะที่กระทรวงท่องเที่ยวฯ มองข้ามเรื่องทัวร์ศูนย์เหรียญที่ทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวจีนลดลงและปรับเพิ่มประมาณการรายรับการท่องเที่ยวปีนี้ขึ้นเป็น 2.7 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.2% จากปี 59
หุ้นเด่นวันนี้ : SCC (ราคาปิด 494.00 บาท; ซื้อ; ราคาเป้าหมาย AWS 638.00 บาท)
เราเลือกบมจ. ปูนซีเมนต์ไทย เป็นหุ้นเด่นในวันนี้ด้วย Sentiment กิจกรรมการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ของภาครัฐที่กำลังจะเกิดขึ้นในปีนี้ นำโดยภาคการขนส่ง ซึ่งจะส่งผลให้ความต้องการใช้ปูนซิเมนต์กลับมาฟื้นตัวและขยายตัวอีกครั้ง เริ่มจากโครงการที่ได้ชนะการประมูลแล้วและพร้อมก่อสร้าง 1.65 แสนลบ. ตามด้วยโครงการที่ได้รับการอนุมัติแล้วและรอประมูลอีก 3.59 แสนลบ. จากมูลค่าการลงทุนรวมทั้งสิ้นในระยะยาว 8.96 แสนลบ. ที่รัฐบาลได้อนุมัติเรียบร้อยแล้ว นอกจากนี้แล้วยังมีโอกาสการเติบโตในระยะยาวจากโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ในประเทศเพื่อนบ้าน CLMV ที่สาธารณูปโภคและโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ยังถือว่าขาดแคลนเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ในอาเซียน
ขณะที่เรายังคงเห็นถึงความแข็งแกร่งของธุรกิจปิโตรเคมีสายโอเลฟืนส์อย่างต่อเนื่องท่ามกลางภาวะวงจรขาขึ้นของอุตสาหกรรม ซึ่งมองว่าจะยาวนานต่อเนื่องไปอย่างน้อยอีก 2-3 ปีข้างหน้า จากภาวะสมดุลของอุปสงค์และอุปทานในภูมิภาค หนุนให้กำไรสุทธิของ SCC ยืนอยู่ในระดับแข็งแกร่ง คาดกำไรสุทธิปี 2559 จะทำระดับสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์อยู่ที่ 5.30 หมื่นลบ. (+17% YoY) ก่อนที่จะเดินหน้าสร้างระดับสูงสุดใหม่ต่อเนื่องที่ 5.60 หมื่นลบ. (+6% YoY) ในปีนี้และ 6.13 หมื่นลบ. (+10% YoY) ในปี 2561 ราคาหุ้น SCC ปัจจุบันยังมีความน่าสนใจ โดยปัจจุบันซื้อขายที่ระดับ PER ปีนี้ที่เพียง 10.6 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตย้อนหลัง 5 ปีและ 10 ปีที่ 15.5 เท่าและ 13.3 เท่า ตามลำดับ นอกจากนี้ยังให้อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลที่น่าสนใจอีกราว 4.0% ในส่วนของ Price Pattern ของ SCC ยังมีแนวโน้มหลักอยู่ในแนวโน้มขาขึ้น (Uptrend) จากการเกิดทั้ง Daily & Monthly Buy Signal รอเพียงการกลับมาเกิด Weekly Buy Signal ครั้งใหม่เท่านั้น โดย Price Pattern ของ SCC จะกลับมาเกิด Weekly Buy Signal ครั้งใหม่เมื่อสามารถปิดตลาดรายสัปดาห์ได้เหนือ 522 บาท ทั้งนี้เมื่อพิจารณา Price Pattern ของ SCC ที่อยู่ในแนวโน้มขาขึ้น (Uptrend) จึงทำให้การเปิด Falling Gap ที่ผ่านมากลายเป็นเรื่องผิดปกติ ดังนั้น Price Pattern ของ SCC จึงมีเป้าหมายระยะสั้นเพื่อไปปิด Falling Gap ที่เปิดไว้ที่ 518 บาทเสียก่อน ซึ่ง SCC มีจุด Stop Loss ระยะสั้นอยู่ที่ 474 บาท (แนวต้าน: 496.00, 498.00, 500.00; แนวรับ: 492.00, 490.00, 488.00)
ปัจจัยสำคัญ
ประเด็นในประเทศ
เงินเฟ้อบวกต่อใน ธ.ค. ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปอยู่ที่ 106.93 จุดใน ธ.ค. หรือเพิ่มขึ้น 1.13% หนุนโดยราคาน้ำมันที่สูงขึ้นและการซื้ออาหารและเครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์เพิ่มขึ้น นับเป็นเดือนที่เก้าที่เพิ่มขึ้นติดต่อกันและเติบโตเร็วสุดในรอบ 25 เดือน สำหรับทั้งปี 59 ดัชนีราคาเติบโต 0.19% ซึ่งอยู่ในกรอบเป้าหมายของ ก.พาณิชย์ที่ 0-1% ขณะที่เป้าของปี 60 อยู่ที่ 1.5-2% (Bangkok Post)
ก.ท่องเที่ยวไม่สนผลจากการคุมเข้มทัวร์ศูนย์เหรียญ ปรับเพิ่มคาดการณ์ ก.ท่องเที่ยวและกีฬากล่าวว่าการคุมทัวร์ศูนย์เหรียญตั้งแต่ ก.ย. ปีที่แล้วกระทบจำนวนนักท่องเที่ยวขาเข้าอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้โดยเฉพาะจากจีน อย่างไรก็ดีกระทรวงยืนยันว่าผลจะมีแค่ระยะสั้นและระยะยาวน่าจะเป็นประโยชน์ต่อประเทศเพราะนักท่องเที่ยวที่มีคุณภาพจะเข้ามาไทยมากขึ้นในอนาคต กระทรวงได้ปรับเพิ่มคาดการณ์รายได้ท่องเที่ยวปีนี้เป็น 2.71 ล้าน ลบ. จากปีก่อน 2.6 ล้าน ลบ. มากกว่าคาดการณ์ปี 59 เดิมที่เท่ากับ 2.5 ล้าน ลบ. อยู่ 8.2% คาดจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติมาไทยปีนี้ 35 ล้านคน เพิ่มจาก 32.5 ล้านคนในปีก่อน (Bangkok Post)
ททท. มองรายได้ท่องเที่ยวขยายตัว 10% ปีนี้ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ประเมินรายได้ท่องเที่ยวปีนี้ไว้อยู่ที่ 2.77 ล้านล้านบาท สูงขึ้นราว 10% จากคาดการณ์สำหรับทั้งปีปีที่แล้วที่ 2.52 ล้านล้านบาท โดยคาดรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติไว้อยู่ที่ 1.81 ล้านล้านบาท ซึ่งจะมาจากนักท่องเที่ยวจากรัสเซียที่ภาพรวมเศรษฐกิจฟื้นตัว รวมไปถึงการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศอื่นๆ ในเอเชีย นอกจากนี้การเว้นค่าธรรมเนียมวีซ่าจนถึงเดือนก.พ. ยังเป็นปัจจัยหนุนอีกทางหนึ่ง (Bangkok Post)
ต่างประเทศ :
ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าจากระดับสูงสุดในรอบ 14 ปี ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเทียบกับเงินยูโรและเงินเยนเมื่อวันพุธ ถอยจากระดับสูงสุดในรอบ 14 ปี เทียบกับสกุลเงินหลักหลังเฟดเปิดเผยรายงานการประชุมประจำเดือนธ.ค. ซึ่งมีแนวโน้มว่าเฟดจะปรับเปลี่ยนรวดเร็วกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายทางการคลังของทรัมป์ เงินยูโรล่าสุดปรับตัวขึ้น 0.6% สู่ระดับ 1.0465 ดอลลาร์สหรัฐ ส่วนดอลลาร์สหรัฐล่าสุดอ่อนค่าลง 0.2% เทียบกับเงินเยนที่ระดับ 117.51 เยน ค่าเงินหยวนแข็งค่าเทียบกับดอลลาร์สหรัฐที่ระดับ 6.8707 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับแต่วันที่ 6 ธ.ค. เนื่องจากทางการจีนได้เข้ารักษาเสถียรภาพของเงินหยวนหลังจากที่อ่อนค่าลงเป็นวันที่สอง (Reuters)
อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐอยู่ในระดับทรงตัวถึงปรับตัวลงเล็กน้อยเมื่อวันพุธ หลังการเผยแพร่รายงานการประชุมเฟดครั้งล่าสุด ราคาพันธบัตรอายุ 10 ปี ทรงตัว อัตราผลตอบแทนอยู่ที่ระดับ 2.451% ลดลงจากที่ระดับ 2.454% เมื่อวันอังคาร ราคาพันธบัตรอายุ 30 ปี เพิ่มขึ้น 1/32 อัตราผลตอบแทนอยู่ที่ระดับ 3.043% ลดลงจากที่ระดับ 3.05% เมื่อวันอังคาร (Reuters)
สหรัฐ :
ดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐปิดบวกเมื่อวันพุธ แม้ว่ารายงานการประชุมประจำเดือนธ.ค. ของเฟดระบุถึงความกังวลว่าการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่รวดเร็วขึ้นภายใต้การบริหารของนายทรัมป์อาจทำให้เฟดต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วขึ้นเพื่อสกัดภาวะเงินเฟ้อ หุ้นกลุ่มสินค้าผู้บริโภคปรับตัวขึ้นนำตลาด โดยหุ้นเจเนอรัล มอเตอร์ และฟอร์ดปรับพุ่งขึ้นหลังประกาศยอดขายรถยนต์เพิ่มขึ้นสูงกว่าที่คาดในเดือนธ.ค. (Reuters)
คณะกรรมการเฟดต่างเห็นพ้องว่านโยบายกระตุ้นการคลังของทรัมป์จะส่งผลให้เงินเฟ้อสูงขึ้น จากรายงานประชุมของคณะกรรมการเฟด (FOMC) ระหว่างวันที่ 12-13 ธ.ค. ที่ผ่านมานั้น คณะกรรมการฯ มีความเห็นว่าเฟดมีโอกาสที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในอัตราที่รวดเร็วขึ้น พวกเขามองว่ามีความเสี่ยงขาขึ้นต่อประมาณการการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่อิงจากการคาดการณ์ว่านโยบายการคลังจะมีการขยายตัวมากขึ้นภายใต้การบริหารของทรัมป์ อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการมองว่าการปรับตัวขึ้นของดอลลาร์สหรัฐอาจส่งผลกระทบต่อเงินเฟ้อ (Reuters)
ยุโรป :
ตลาดหุ้นยุโรปเมื่อวันพุธปรับตัวลดลงจากระดับสูงสุดในรอบ 1 ปี นำโดยการปรับตัวลงของหุ้นกลุ่มค้าปลีก ได้แก่ Next ผู้ประกอบการค้าปลีกเสื้อผ้าแฟชั่นสัญชาติ UK ที่ราคาหุ้นลงไปกว่า 14% หลังบริษัทฯ ออกมาให้แนวโน้มผลประกอบการในเชิงลบ ซึ่งประเด็นดังกล่าวสร้างความกังวลให้กับนักลงทุนต่อภาพรวมอุตสาหกรรมและส่งผลให้หุ้นอื่นๆ ในกลุ่มปรับตัวลดลงไปด้วย โดยหุ้น Marks & Spencer ปรับตัวลดลง 4.6% ขณะที่หุ้น Associated British Foods ปรับตัวลดลง 3.2% (Reuters)
เศรษฐกิจยูโรโซนเดือนธ.ค. ขยายตัวมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนพ.ค. 2554 โดย Markit รายงานดัชนี PMl รวมภาคการผลิตและการบริการยูโรโซนเดือนธ.ค. อยู่ที่ระดับ 54.4 สูงสุดในรอบ 67 เดือนและเป็นการขยายตัวรายไตรมาสที่มากที่สุดในรอบปี ตัวเลขดังกล่าวสูงขึ้นจากการประเมินเบื้องต้นก่อนหน้าที่ 53.9 และสูงจากตัวเลขเมื่อเดือนพ.ย. ก่อนหน้าที่ 53.9 ทั้งนี้ภาคการผลิตมีการขยายตัวมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนเม.ย. 2557 หากพิจารณารายประเทศพบว่ามีการขยายตัวในประเทศหลักๆ ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นสเปนที่ขยายตัวมากสุดในรอบ 6 เดือน เยอรมนีในรอบ 5 เดือน และฝรั่งเศสในรอบ 1 ปีครึ่ง ทั้งนี้มีเพียงอิตาลีที่ขยายตัวในอัตราที่ลดลง (lHS Markit)
กิจกรรมภาคการบริการยูโรโซนเดือนธ.ค. ขยายตัวแข็งแกร่ง โดย Markit รายงานดัชนี PMl ภาคบริการสรุปสุดท้ายออกมาอยู่ที่ 53.7 สูงขึ้นจากการประเมินเบื้องต้นก่อนหน้าที่ 53.1 แต่ลดลงเล็กน้อยจากตัวเลขเมื่อเดือนพ.ย. ก่อนหน้าที่ 53.8 (lHS Markit)
เอเชีย :
ความแข็งแกร่งของสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ หนุนหุ้นส่งออกของญี่ปุ่น ให้เกิดการแรลลี่ในช่วงหนึ่งวันมากที่สุดในรอบสองเดือนในวันพุธที่ผ่านมา ในวันซื้อขายวันแรกของปีที่นิกเกอิปรับตัวขึ้นไป 2.50% และเริ่มตั้งฐานใหม่ได้นับจากทำระดับสูงสุดไปในเดือนธันวาคม 2558 เนื่องจากข้อมูลที่แสดงให้เห็นถึงกิจกรรมโรงงานในประเทศที่ขยายตัวในอัตราที่เร็วที่สุดในรอบปี (Reuters)
จีนวางแผนที่จะใช้จ่ายเงิน 8 แสนล้านหยวน (115.09 พันล้านดอลลาร์) ในการสร้างทางรถไฟในปีงบประมาณนี้ โดยเป็นงบเดิมจากปีก่อนในการเพิ่มระยะทาง 2,100 กม. เพื่อยกระดับเครือข่ายให้มากถึง 150,000 กม. ประเทศจีนได้กำหนดเป้าหมายการใช้จ่ายประจำปี 8 แสนล้านหยวนสำหรับสามปีที่ผ่านมาและใช้ 8.015 แสนล้านหยวนในการก่อสร้างรถไฟในปี 2559 โดยมีแผนจะใช้จ่าย 3.5 ล้านล้านหยวนในการสร้างรางรถไฟในช่วง 2559-2563(Xinhua)
สินค้าโภคภัณฑ์ :
น้ำมันดิบบวกวันพุธ ด้วยคาดการณ์ว่าสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐจะร่วงและสัญญาณว่าผู้ส่งออกน้ำมันอันดับต้นๆ จะลดกำลังการผลิตเริ่มตั้งแต่สัปดาห์นี้เป็นต้นไป น้ำมันดิบ Brent ล่วงหน้าบวก 28 เซนต์ (+0.5%) ปิด 55.75 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล น้ำมันดิบสหรัฐล่วงหน้าบวก 25 เซนต์ (+0.5%) ปิด 52.58 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล (Reuters)
ทองแดงบวกวันพุธ เพราะดอลลาร์ถอยร่นจากจุดที่แข็งค่าสุดในรอบ 14 ปีและจีนเตรียมสร้างรางรถไฟอีก 2,100 กม. ในปีนี้ซึ่งคาดการณ์ว่าจะหนุนอุปสงค์ต่อทองแดง ทองแดงสามเดือนในตลาด London Metal Exchange ปิดบวก 2.6% เป็น 5,645 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน (Reuters)
ราคาทองคำบวกสูงสุดในรอบกว่าสี่สัปดาห์ในวันพุธ เพราะดอลลาร์ปรับตัวลงจากจุดที่แข็งค่าสุดในรอบ 14 ปีและจีนกับอินเดียต้องการทองคำมากขึ้น ราคาทองคำตลาดจรแตะจุดสูงสุดนับแต่ 9 ธ.ค. ที่ 1,167.83 ดอลลาร์ก่อนจะปิดบวก 0.6% ที่ 1,161.2 ดอลลาร์สหรัฐ ราคาทองคำล่วงหน้าสหรัฐเดือน ก.พ. บวก 0.3% ปิดที่ 1,165.30 ดอลลาร์สหรัฐ (Reuters)
Thailand Research Department
Mr. Warut Siwasariyanon (No.17923) TeI: 02 680 5041
Mr. Krit SuwanpibuI (No.17968) TeI: 02 680 5090
Mrs. VajiraIux SangIerdsiIIapachai (No. 17385) TeI: 02 680 5077
Mr. Narudon Rusme, CFA (No.29737) TeI: 02 680 5056
Mr. Napat Siworapongpun (No.49234) TeI: 02 680 5094