- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Thursday, 05 January 2017 16:35
- Hits: 1408
บล.ฟินันเซีย ไซรัส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
แม้ SET ยังขยับขึ้นดี แต่ต้องระวังแรงทำกำไรกดดัน รอซื้ออ่อนดีกว่า
ตลาดหุ้นวานนี้ : SET บวกแรงต่อเนื่อง หลังค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นอีกครั้ง จากการที่เงินดอลลาร์เริ่มชะลอการแข็งค่า และการขยับบวกขึ้นได้ดีของตลาดหุ้นในเอเชีย ที่บวกต่อเนื่องตามภาวะตลาดหุ้นสหรัฐและยุโรป จากตัวเลขภาคการผลิตของสหรัฐและจีนที่ออกมาดีกว่าคาด ขณะที่นักลงทุนต่างประเทศและสถาบันในประเทศยังมียอดซื้อสุทธิในตลาดหุ้นบ้านเราต่อเนื่องจากช่วงท้ายปี
แนวโน้มตลาดวันนี้ : หลัง SET ขยับบวกขึ้นมากว่า 60 จุดในช่วงสัปดาห์เศษที่ผ่านมา ทำให้ต้องเริ่มระวังแรงขายทำกำไรระยะสั้นที่มีสิทธิกดดันให้ตลาดมีรอบปรับพักตัวลงในเร็วๆ นี้ได้ ประกอบกับช่วงต้นปีมักจะมีแรงขายของ LTF ที่ครบกำหนด ออกมากดดันตลาดอยู่ด้วย ซึ่งเช้านี้แม้ว่าตลาดหุ้นสหรัฐและยุโรปส่วนใหญ่ยังปิดบวก หลังรายงานการประชุมของเฟดเมื่อเดือน ธ.ค. ระบุว่าเศรษฐกิจสหรัฐมีแนวโน้มขยายตัวได้รวดเร็วขึ้นจากมาตรการกระตุ้นการคลังของประธานาธิบดีสหรัฐคนใหม่ และดัชนีภาคการผลิตและบริการของยูโรโซนมีการขยายตัวได้ดีในเดือน ธ.ค. แต่ตลาดหุ้นในเอเชียเริ่มมีบางแห่งเปิดลบ หลังขยับขึ้นมาพอควรแล้ว ทำให้ FSS คาดว่า SET ก็ใกล้ที่จะมีรอบปรับพักตัวลงเช่นกัน
กลยุทธ์ : หลังแบ่งส่วนทำกำไรช่วงบวกแล้ว ให้ถือเงินสดไว้รอซื้อช่วงอ่อนตัว
แนวรับ 1560-1557 , 1550-1542 จุด
แนวต้าน 1565-1570 , 1572-1575 จุด
หุ้นเด่นทางเทคนิค : BPP, LIT, BLA(short)
Fund Flow วานนี้กระแสเงินทุนไหลเข้าภูมิภาค US$259 นำโดยเกาหลีใต้ US$212ล้าน และไทย US$62ล้าน ขณะที่ไหลออกจากอินโดนีเซียประเทศเดียว US$25ล้าน แนวโน้มกระแสเงินทุนมีทิศทางไหลเข้าภูมิภาคหลังรายงานการประชุม Fed ระบุถึงการเติบโตทางเศรษฐกิจสหรัฐที่จะรวดเร็วขึ้นจากนโยบายของทรัมป์
ข่าว/หุ้นเด่นมีประเด็น
(+) Fed Minutes ชี้เศรษฐกิจสหรัฐมีแนวโน้มขยายตัวเร็วขึ้นจากมาตรการกระตุ้นของ Trump (ลดภาษี รัฐเพิ่มการใช้จ่าย ผ่อนคลายกฎเกณฑ์) ซึ่งอาจทำให้ Fed ขึ้นดอกเบี้ยเร็วขึ้นเพื่อสกัดเงินเฟ้อ โดยอาจขึ้นดอกเบี้ย 3 ครั้งในปีนี้ (เพิ่มจากเดิมที่ 2 ครั้ง) เราเชื่อว่าอย่างเร็วสุดคือเดือน มิ.ย. ตลาดหุ้นสหรัฐตอบรับข่าวดีการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไปหมดแล้ว หาก Trump ทำให้ตลาดผิดหวัง เม็ดเงินมีโอกาสไหลกลับสู่เอเชียมหาศาลแต่เชื่อว่ายังไม่ใช่ใน 1Q17 นี้
(+) กลุ่มพลังงานเด่นระยะนี้แต่ระวังในช่วงปลายเดือน ราคาน้ำมันดิบเป็นสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนชนะเลิศในปีก่อน +45% ต้นปีนี้ยังขยับขึ้นต่อจากความหวังปริมาณน้ำมันดิบคงคลังในสหรัฐลด แต่ควรระวังการประชุมของกลุ่ม OPEC และ Non-OPEC 21-22 ม.ค. ที่จะตรวจสอบแต่ละประเทศว่าได้ลดการผลิตตามที่ตกลงกันหรือไม่
(+) แนวโน้มกลุ่มไฟแนนซ์ปี 2017 กลุ่มไฟแนนซ์ได้ประโยชน์จากต้นทุนทางการเงินที่มีแนวโน้มลดลง เพราะยังมีผลของการ Reprice หุ้นกู้อยู่จำนวนหนึ่ง ขณะเดียวกัน ค่าใช้จ่ายสำรองฯน่าจะใกล้เคียงกับปีก่อน แม้ NPL จะยังควบคุมได้แต่สถาบันการเงินส่วนใหญ่ต้องเตรียมสำรองฯเพิ่มเพื่อรับมาตรฐานบัญชีใหม่ IFRS9 ที่จะเริ่มใช้ปี 2019 ทำให้เราคาดกำไรสุทธิปี 2017 +20% Y-Y ชะลอเล็กน้อยจากปี 2016 ที่คาด +22% Y-Y ให้น้ำหนัก Neutral เลือกเฉพาะหุ้นที่กำไรโตสูงและมี story เฉพาะตัว Top picks คือ MTLS (ราคาพื้นฐาน 28.80 บาท), LIT (ราคาพื้นฐาน 14 บาท), KTC (ราคาพื้นฐาน 168 บาท)
(+) LIT ได้ประโยชน์โดยตรงจากการลงทุนภาครัฐโดยเฉพาะโครงสร้างพื้นฐานที่มีมากขึ้นในปี 2017 เพราะลูกค้าส่วนใหญ่มาจากธุรกิจก่อสร้าง วางระบบ และตกแต่งอาคาร แม้ผู้บริหารจะให้เป้าสินเชื่อและรายได้ปี 2017 ในเชิงรุก แต่ไม่น่ากังวลเริ่องเพิ่มทุนเพราะเป้า D/E 4 เท่าทำให้ขยายธุรกิจได้อีกมาก เราคาดกำไรปีนี้ +24% Y-Y และเชื่อว่าจะรักษาการเติบโตกว่า 20% ได้ถึงปี 2020 ยังแนะนำซื้อ ราคาพื้นฐาน 14 บาท
(0) กสทช.เตรียมเปิดประมูลคลื่น 2600MHz ที่จะได้คืนจาก MCOT ภายในปีนี้ เป็นโอกาสของ DTAC ที่แพ้ประมูลคลื่นในปีก่อน และคลื่นของ DTAC เอง (850MHz และ 1800MHz) จะหมดอายุปลายปี 2018 แต่ราคาที่ประมูลได้อาจไม่ถูกนัก ซึ่งจะกดดันกำไรของ DTAC อีกหลายปี อย่างไรก็ตาม การประมูลจะเกิดขึ้นไม่เร็วนัก (ปลายปีนี้อย่างเร็ว) จึงเร็วเกินไปที่จะเก็งกำไร DTAC เราแนะนำขาย ส่วน ADVANC (ราคาพื้นฐาน 175 บาท) และ TRUE (ราคาพื้นฐาน 10 บาท) ควรระวังผลประกอบการที่ยังแย่ใน 1H17 ด้วย
(+) AOT แม้นักท่องเที่ยวจีนจะลดลงแบบเดือนต่อเดือน 3 เดือนติดต่อกันหลังการปราบปรามทัวร์ศูนย์เหรียญ แต่สถานการณ์เริ่มดีขึ้นในเดือน พ.ย. เราคาดกำไรของ AOT +8% Y-Y เร่งตัวจากปีก่อนที่ +5% Y-Y แนะนำซื้อ ราคาพื้นฐาน 460 บาท การแตกพาร์เหลือ 1 บาทจาก 10 บาทจะช่วยให้สภาพคล่องของหุ้นดีขึ้น (ยังไม่กำหนดวัน รอประชุมผู้ถือหุ้น 27 ม.ค.นี้)
ปัจจัยที่ต้องติดตาม
5 ม.ค. - สหรัฐ:การจ้างงานภาคเอกชน (ธ.ค.) (ตลาดคาด +1.7 แสนตำแหน่ง ชะลอจากเดือนก่อนที่ +2.16 แสนตำแหน่ง)
6 ม.ค. - สหรัฐ:การจ้างงานนอกภาคเกษตรและอัตราว่างงาน (ธ.ค.)
- ยูโรโซน:ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคและภาคธุรกิจ (ธ.ค.)
8 ม.ค. - จีน:ดุลการค้า (ธ.ค.)
9 ม.ค. - จีน:อัตราเงินเฟ้อ (ธ.ค.)
13 ม.ค. - เกาหลีใต้: ธนาคารกลาง (BoK) ประชุม
17 ม.ค. - จีน: 4Q16GDP, Industrial production (ธ.ค.),ยอดค้าปลีก (ธ.ค.)
- ยูโรโซน:ZEW Survey Expectations (ม.ค.)
18 ม.ค. - ยูโรโซน:เงินเฟ้อ (ม.ค.)
19 ม.ค. - ECBประชุม
- อินโดนีเซีย: ธนาคารกลาง (BI) ประชุม
- สหรัฐ:Housing start & building permits (ธ.ค.)
(+) ตลาดหุ้นสหรัฐฯเมื่อคืนที่ผ่านมายังขยับบวกได้ต่อเนื่องหลัง FED เปิดเผยรายงานการประชุมเดือนธ.ค.ที่ระบุว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯมีแนวโน้มขยายตัวเร็วขึ้นจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของทรัมป์ และอาจทำให้ FED ต้องขึ้นดอกเบี้ยเร็วขึ้นเพื่อควบคุมเงินเฟ้อ
(0) ด้านตลาดหุ้นยุโรปเมื่อคืนปิดทรงตัวแม้ว่าตัวเลขเงินเฟ้อจะแตะจุดสูงสุดในรอบ 3 ปี แต่ถูกถ่วงด้วยหุ้นในกลุ่มค้าปลีก
(+) ขณะที่ตลาดหุ้นเอเชียเช้านี้เปิดในแดนบวกได้ต่อเนื่องตามตลาดหุ้นสหรัฐฯโดยตอบรับเชิงบวกต่อรายงานการประชุม FED
(0) ค่าเงินบาทเริ่มแกว่งผันผวนมากขึ้นโดยวานนี้แข็งค่าขึ้นเร็วพอควร ล่าสุดเคลื่อนไหวในกรอบ 35.74-35.88 บาท/ดอลลาร์
(+) ราคาน้ำมันดิบ NYMEX ส่งมอบเดือน ก.พ. เพิ่มขึ้น 0.93 ดอลลาร์/บาร์เรล มาอยู่ที่ 53.26 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังมีข้อมูลว่าสต๊อกน้ำมันดิบสหรัฐฯจะปรับตัวลดลง รวมถึงยอดขายรถยนต์สหรัฐฯที่พุ่งขึ้น
ราคาทองคำ COMEX ส่งมอบเดือน ก.พ. เพิ่มขึ้น 3.30 ดอลลาร์/ออนซ์ มาอยู่ที่ 1,165.30 ดอลลาร์/ออนซ์ โดยได้แรงหนุนจากค่าเงินดอลลาร์ที่เริ่มอ่อนค่าลงหลังจากพุ่งขึ้นสูงสุดในรอบ 14 ปีในช่วงต้นสัปดาห์
Contact person : Somchai Anektaweepon
Register : 002265 Tel: 02-646-9967, 02-646-9852
www.fnsyrus.com FB: Finansia Syrus Research, IG: fss_research