- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Friday, 30 December 2016 16:40
- Hits: 49834
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
ซื้อสะสมหุ้นดี/ถือเมื่อ SET เหนือ1520
หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : ไม่มี
ปัจจัย&กลยุทธ์ทางปัจจัยพื้นฐาน : SET Index เมื่อวานนี้บวกต่อ 13.21 จุดปิดที่ 1537.81 นำโดยกลุ่มแบงค์ พลังงาน สื่อสาร ซึ่งเป็น Big Cap สอดคล้องกับแรงซื้อของนักลงทุนต่างชาติและสถาบันในประเทศ นักลงทุนต่างชาติพลิกเป็นซื้อสุทธิ 5.3 พันล้านบาท สถาบันในประเทศซื้อสุทธิ 1.7 พันล้านบาท พอร์ตบล.และรายย่อยขายสุทธิ ส่วนประเด็นหลักในตลาด ได้แก่
+ มีแรงซื้อจากกองทุน LTF เข้ามาช่วยหนุนตลาดในโค้งสุดท้ายของปี & นักลงทุนปรับโพสิชั่นมาถือทองคำเพิ่มก่อนหยุดยาวในเทศกาลปีใหม่
+ DBSV ประเมินดัชนีเป้าหมายปี 60 ไว้ที่ 1570-1620 จุด บน EPS Growth ตลาดหุ้นไทย +2% และ +5%
+ สำหรับปี 60 หุ้นเด่นกลุ่มปันผลสูง คือ KKP, BCP, LH และ DIF , หุ้น Value Play ที่น่าสนใจทยอยซื้อสะสม ได้แก่ AOT, SCC, CPALL, CPN และหุ้นเติบโตแกร่งในปี 60 เป็น TKN, TISCO, MTLS, CHG, LPH, WORK, ERW, ANAN, AP
+ กระทรวงท่องเที่ยวปรับเพิ่มเป้ารายได้ท่องเที่ยวปี 60 เป็น +8.17% หุ้นเด่นปี 60 เป็น AOT, ERW
+ SAWAD เข้าซื้อ BFIT โดยจะทำเทนเดอร์ที่ราคาไม่เกิน 11.42 บาท/หุ้น ...ถ้าทำสำเร็จ เชื่อว่าจะเป็นผลดีในระยะยาว
กลยุทธ์ : การซื้อเล่นรอบยังเน้นตามด้วยค่าบวกของราคาหุ้นและดัชนี, ถือ/สะสมหุ้นดีที่จ่ายปันผลสม่ำเสมอ และทยอยซื้อลงทุนหุ้นเติบโตแกร่งช่วงราคาปรับฐาน/อ่อนตัว หุ้นแนะนำเชิงกลยุทธ์วันนี้เป็น ERW
การวิเคราะห์ทางเทคนิค : ระยะสั้นสัญญาณเป็นบวก ซื้อใหม่เน้นตามด้วยค่าบวก แนวต้านระยะสั้น 1540-1550 การหลุดแนวฟิวเตอร์ 1520 ดูไม่ดี และควรลดพอร์ตตาม
นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค - [email protected]
Need to know TODAY
ปัจจัยต่างประเทศ
/- สหรัฐ : ภาคแรงงาน&ค้าส่งตัวเลขดี แต่ส่งออกพ.ย.หดตัว...ชี้ว่าเศรษฐกิจสหรัฐดีแต่โลกยังอ่อนแอ
# กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า จำนวนชาวอเมริกันที่ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกลดลง 10,000 รายในสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 24 ธ.ค. สู่ระดับ 265,000 ราย ซึ่งสอดคล้องกับการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ และนับเป็นสัปดาห์ที่ 95 ติดต่อกันแล้วที่ตัวเลขดังกล่าวอยู่ต่ำกว่าระดับ 300,000 ราย
# กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยสต็อกสินค้าคงคลังภาคค้าส่งในเดือนพ.ย. +0.9%MoM สู่ระดับ 5.945 แสนล้านดอลลาร์ และเพิ่มขึ้น 1.2%YoY
# ยอดขาดดุลการค้าเดือนพ.ย. +5.5%MoM จากเดือนต.ค.59 สู่ระดับ 6.53 หมื่นล้านดอลลาร์ เนื่องจากยอดนำเข้ายังคงสูงกว่ายอดส่งออก โดยยอดส่งออกสินค้าในเดือนพ.ย.ลดลง 1.2 พันล้านดอลลาร์จากเดือนต.ค. สู่ระดับ 1.217 แสนล้านดอลลาร์ ขณะที่ยอดนำเข้าสินค้าเพิ่มขึ้น 2.2 พันล้านดอลลาร์ สู่ระดับ 1.870 แสนล้านดอลลาร์
- ตลาดหุ้นสหรัฐ : ร่วงจากแรงขายทำกำไรก่อนสิ้นปี
ดัชนี DJIA ปิด 19,819.78 จุด ลดลง 13.90 จุด หรือ -0.07% ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 5,432.09 จุด ลดลง 6.47 จุด หรือ -0.12% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,249.26 จุด ลดลง 0.66 จุด หรือ -0.03% โดยเป็นการขายทำกำไรก่อนสิ้นปีและมีแรงกดดันจากราคาน้ำมันดิบที่อ่อนตัวลง
ราคาน้ำมันดิบ : ลดลงเล็กน้อยหลังสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐสัปดาห์ก่อนเพิ่มขึ้น
สถาบันปิโตรเลียมอเมริกัน (API) ระบุว่าสต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐพุ่งขึ้น 4.2 ล้านบาร์เรล และ EIA รายงานสว่าสต็อกเพิ่ม 6.14 แสนบาร์เรลสัปดาห์ก่อน ยังผลให้ราคาน้ำมันดิบร่วงลง ปิดตลาดสัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.พ.ลดลง 29 เซนต์ หรือ 0.6% ปิดที่ 53.77 ดอลลาร์/บาร์เรล ด้าน BRENT ลดลง 8 เซนต์ หรือ 0.1% ปิดที่ 56.14 ดอลลาร์/บาร์เรล
อย่างไรก็ดี ราคาน้ำมันดิบลดลงไม่มาก เพราะมีความหวังว่ากลุ่มโอเปกและนอกโอเปกจะดำเนินการลดการผลิตตามข้อตกลงที่ให้ไว้ โดยจะมีผลตั้งแต่ 1 ม.ค.60 ไปจนถึงกลางปี 60
+ ราคาทองคำ : พุ่งขึ้นแรง
สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนก.พ.พุ่งขึ้น 17.2 ดอลลาร์ หรือ 1.51% ปิดที่ระดับ 1,158.10 ดอลลาร์/ออนซ์ เนื่องจากค่าเงิน US$ อ่อนลงและนักลงทุนปรับสถานะการลงทุนโดยเข้ามาถือสินทรัพย์ปลอดภัยเพิ่มก่อนหยุดยาวในเทศกาลปีใหม่
ปัจจัยในประเทศ & หุ้นเด่น
+ ไทย : ดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนพ.ย.สูงสุดในรอบ 43 เดือน
สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) เปิดเผยว่าดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (MPI) เดือนพ.ย.59 อยู่ที่ 109.61 โดย +3.8%YoY สูงสุดในรอบ 43 เดือน ส่งผลให้ดัชนี MPI ช่วง 11M59 +0.4%YoY และคาดการณ์ว่าทั้งปี 59 จะ +0.5%YoY โดยกลุ่มที่ผลิตเพิ่มคือ ผลิตภัณฑ์เหล็ก (+19.92%), ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ (+11.40%), อาหารทะเลกระป๋องและแช่แข็ง (+7.42%) , น้ำมันปิโตรเลียม (+4.9%)
+ กลุ่มท่องเที่ยว : กระทรวงฯปรับเพิ่มคาดการณ์รายได้ท่องเที่ยวปี 60 เป็น +8.17%YoY
นางกอบกาญจน์ วัฒนวรางกูร รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยในการรายงานภาวะเศรษฐกิจท่องเที่ยวไตรมาส 4/59 ว่ากระทรวงฯได้ปรับเป้าหมายภาพรวมรายได้ทางการท่องเที่ยวปี 2560 เพิ่มเป็น 2.71 ล้านล้านบาท (+8.17%YoY) จากเป้าหมายเดิมที่ 2.6 ล้านล้านบาท โดยจากรายได้ 2.71 ล้านล้านบาท จะแบ่งเป็น รายได้จากตลาดนักท่องเที่ยวต่างชาติ 1.78 ล้านล้านบาท (+8.54%YoY) และรายได้จากตลาดนักท่องเที่ยวไทยเที่ยวไทย 930,000 แสนล้านบาท (+7.48%YoY)
ความเห็นเชิงกลยุทธ์ DBSV Retail Research : เรายังคงมีมุมมองที่เป็นบวกกับภาคท่องเที่ยวของไทย แม้ว่าระยะสั้นจะได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์บ้านเมืองและการจัดการทัวร์ศูนย์เหรียญบ้างแต่ก็ไม่ถึงกับรุนแรงมาก เนื่องจากรัฐบาลได้ออกมาตรการช่วยกระตุ้นเข้ามา ทั้งการขยายวงเงินใช้จ่ายท่องเที่ยวมาลดหย่อนภาษีจาก 1.5 หมื่นบาทเป็น 3.0 หมื่นบาท/คน และการยกเว้นค่าธรรมเนียมวีซ่าให้นักท่องเที่ยวต่างชาติในช่วงฤดูกาลท่องเที่ยวของไทย สำหรับหุ้นเด่นในกลุ่มนี้เป็น AOT (ราคาพื้นฐาน 455 บาท-พาร์ 10 บาท แต่คาดว่าบริษัทจะแตกพาร์เป็น 1 บาทได้สำเร็จ โดยจะประชุมผู้ถือหุ้นเพื่อขออนุมัติเรื่องนี้วันที่ 27 ม.ค.60) และ ERW (ราคาพื้นฐาน 5.80 บาท โดยคาดว่ากำไรปี 60 จะเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง เนื่องจากมีโรงแรมใหม่เข้ามาเพิ่ม คือ Hop Inn 2 แห่งในไทยและ 1 แห่งที่ฟิลิปปินส์ ประสิทธิภาพในการดำเนินงานดีขึ้น)
IFEC : คืนตั๋ว B/E แล้ว 50 ล้านบาทส่วนที่เหลือ 50 ล้านบาทจ่ายวันนี้
นายวิชัย ถาวรวัฒนยงค์ ประธานกรรมการ IFEC เปิดเผยว่าขณะนี้ได้ใช้เครดิตส่วนตัวนำเงินชำระหนี้ตั๋วแลกเงินระยะสั้น (B/E) ให้กับบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำนวน 50 ล้านบาทแล้ว และส่วนที่เหลืออีก 50 ล้านบาท จะชำระให้หมดภายในวันที่ 30 ธ.ค.59
สำหรับตั๋ว B/E ที่จะครบกำหนดชำระ 5 ม.ค.60 ได้พบปะกับเจ้าหนี้และสร้างความมั่นใจแล้วว่าบริษัทมีสภาพคล่องเพียงพอที่จะชำระหนี้ได้ แต่ติดปัญหาภายในทำให้กระบวนการชำระเงินยังเกิดขึ้นไม่ได้ ขณะนี้กำลังเร่งเคลียร์ปัญหาดังกล่าว โดยตั้งคณะกรรมการชุดใหม่ขึ้นมาแล้ว 5 คน และเตรียมจัดประชุมผู้ถือหุ้น 25 ม.ค.60
นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค : [email protected]
(นวพร เชื้อเมืองพาน เรียบเรียง ;โทร.02-276-5976 อีเมล์: [email protected] )