- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Tuesday, 05 August 2014 15:47
- Hits: 3306
บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
กลยุทธ์วันนี้ Remain Uncertainty
ประเด็นสำคัญวันนี้ ตลาดหุ้นไทยวานนี้ฟื้นตัวเป็นวันแรกในรอบ 7 วันทำการ 19.18 จุด ปิดที่ 1,519.38 จุด แต่มูลค่าการซื้อขายเพียง 47,053 ล้านบาท
ทั้งนี้เงินทุนต่างชาติไหลออกจากตลาดตราสารหนี้ ขายสุทธิเป็นวันที่ 2 มากถึง 5,438 ล้านบาท แต่กลับมาซื้อสุทธิในตลาดหุ้นไทยเป็นวันแรกในรอบ 6 วันทำการ 1,060 ล้านบาท และ Long สุทธิใน SET50 Index Futures เป็นวันแรกในรอบ 5 วันทำการ 5,021 สัญญา อาจเป็นผลจากภาพการลงทุนรอบเอเชียและยุโรปที่เกิด Technical Rebound เท่านั้น ทำให้นักลงทุนกลุ่มนี้ต้องปิดความเสี่ยงในส่วนของ SET50 Index Futures เด่นสุดวานนี้
สำหรับ ภาวะการลงทุนในตลาดหุ้นไทยวันนี้ MBKET ยังไม่ไว้วางใจว่า SET INDEX ได้เสร็จสิ้นการปรับฐานเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เพราะมูลค่าการซื้อขายที่ไม่หนาแน่นในวานนี้ บวกกับ SET INDEX ปรับฐานลงตลอด 6 วันทำการก่อนหน้า การเกิด Technical Rebound แรง จึงมีความเป็นไปได้ หาก SET INDEX ปิดยืนเหนือ 1,530 จุด บวกกับมูลค่าการซื้อขายหนาแน่นระดับ 5.0-5.5 หมื่นล้านบาท/วัน ถึงจะเป็นสัญญาณยืนยัน ซึ่งในช่วงปลายสัปดาห์นี้จะเข้าสู่ช่วงวันหยุดยาวของตลาดหุ้นไทย มีความเป็นไปได้สูงที่จะเห็นแรงขายทำกำไรในช่วงกลางสัปดาห์นี้ก็มีความเป็นไปได้
สำหรับการประชุม กนง. วันพรุ่งนี้ MBKET คาดว่ากนง.จะพิจารณาคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 2.0% เช่นเดิม และมีแนวโน้มที่จะทรงตัวถึงสิ้นปีนี้ ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่นักลงทุนต่างชาติให้ความสำคัญ คาดว่าจะเป็นโฉมหน้า นายกฯ และครม. ซึ่งน่าจะเห็นภาพชัดเจนในช่วงครึ่งหลังของเดือนส.ค. และอาจกายเป็นปัจจัยที่เม็ดเงินทุนต่างชาติไหลกลับเข้าตลาดหุ้นไทยอย่างมีนัยยะสำคัญอีกระลอก
กลยุทธ์การลงทุน MBKET แนะนำ “Swing Trade คือ ขึ้นแรงขาย ลงแรงซื้อ” โดยเฉพาะบริเวณ 1,520-1,530 จุด ที่ควรพิจารณาขายทำกำไร เว้นเสียจาก SET INDEX ทะลุแนว 1,530 จุด
กลยุทธ์การลงทุนช่วงสั้น MBKET แนะนำ “ทยอยสะสม” CK/ KTB พร้อมแนะนำ “ขายทำกำไร” TTA / SCC
Portfolio
Top Pick in 3Q14: AP/ IFEC / TRUE
HOLD: SPALI/ SAMART/ SPCG/ BLAND/ IFEC/ BTS/ SIM/ MACO/ CK
Accumulative Buy: CK/ KTB
Profit-Taking: TTA/ SCC
Action and Stock of the Day
SET INDEX ฟื้นตัว แต่วอลุ่มบาง
คงภาพการปรับฐานของตลาดหุ้นไทยในช่วง 1-2 สัปดาห์นี้ แม้ว่า SET INDEX ปิดใกล้ระดับ 1,520 จุดวานนี้
อาจเกิดแรงขายปิดความเสี่ยงในช่วงกลางสัปดาห์นี้ ก่อนเข้าสู่ช่วงวันหยุดยาวในต้นสัปดาห์หน้า
แต่ Downside risk ของตลาดหุ้นไทยเริ่มจำกัดมากขึ้น จากเงินทุนใหม่ของ Trigger Funds
ดังนั้น กลยุทธ์ช่วงสั้น “Swing Trade” ขึ้นขาย ลงแรงซื้อ
ตลาดหุ้นเอเชียวานนี้ฟื้นตัวเกือบทุกตลาด ยกเว้น STI ที่ปิดลบ 0.78% รวมถึงตลาดหุ้นยุโรปในรอบบ่ายที่เปิดฟื้นตัวเช่นกัน หลังปรับฐานกันเป็นส่วนใหญ่ในปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา
ด้านตลาดหุ้นไทยวานนี้ เปิดบวกเช่นเดียวกับตลาดหุ้นอื่นๆ ในเอเชีย นำโดย PTT ที่ปรับฐานลงแรงในสัปดาห์ก่อน บวกกับแรงเก็งกำไรในหุ้นหลักกลุ่มธนาคารอย่าง BBL / SCB ผลักดันให้ SET INDEX ขึ้นมาแกว่งแคบ 1,515 จุด +/- ปิด ณ สิ้นวัน SET INDEX ที่ 1,519.38 จุด บวกเป็นวันแรกในรอบ 7 วันทำการ 19.18 จุด มูลค่าการซื้อขายเพียง 47,053 ล้านบาท
กลุ่มที่ปิดฟื้นตัวแรงสุดในวานนี้ได้แก่ กลุ่มเหมืองแร่ +3.99%, กลุ่ม Professional +3.30% และกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ +2.53% ขณะที่กลุ่มหลัก กลุ่มธนาคาร +1.57%, กลุ่มพลังงาน +1.97% และ กลุ่ม ICT +1.23%
ภาพตลาดหุ้นไทยวันนี้
ตลาดหุ้นเอเชีย (7.42 น.) เช้านี้ Nikkei – Kospi เปิดลบ เนื่องจากขาดปัจจัยใหม่เข้าหนุนการลงทุน แม้ว่า DJIA คืนวานนี้จะปิดฟื้นตัวก็ตาม
MBKET คงมุมมองเป็น “กลาง” เป็นวันที่ 3 แม้ว่า SET INDEX จะฟื้นตัวและปิดใกล้บริเวณ 1,520 จุด วานนี้ก็ตาม แต่ MBKET ยังคงประเมิน SET INDEX อยู่ในช่วงของการปรับฐานใน 1-2 สัปดาห์นี้ หลังจากที่ SET INDEX ขยับขึ้นตลอด 2 เดือนที่ผ่านมา อีกทั้งปัจจัยแวดล้อมของการลงทุนยังไม่ส่งสัญญาณการฟื้นตัวที่เด่นชัด ไม่ว่าจะเป็น
•ภาวะตลาดหุ้นทั่วโลกวานนี้ มีความเป็นไปได้ที่จะเกิด Technical Rebound หลังปรับฐานลงอย่างต่อเนื่องในช่วง 3-4 วันทำการที่ผ่านมา สำหรับตลาดหุ้นไทย ปรับฐานลงตลอด 6 วันทำการที่ผ่านมา ทำให้การฟื้นตัวเกิดขึ้นในวานนี้
•มูลค่าการซื้อขายในตลาดหุ้นไทยวานนี้ ค่อนไปทางเบาบาง 4.7 หมื่นล้านบาท เทียบกับช่วงก่อนหน้าที่เฉลี่ยซื้อขาย 5.0-5.5 หมื่นล้านบาท/วัน
•ช่วงปลายสัปดาห์นี้จะเข้าสู่วันหยุดยาวของตลาดหุ้นไทย จึงมีความเป็นไปได้ที่จะเห็นการขายเพื่อปิดความเสี่ยงในช่วงกลางสัปดาห์ต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม SET INDEX เริ่มมี Downside risk ที่จำกัด หลังจากการปรับฐานในสัปดาห์ก่อน ระดับ 1,480 จุด น่าจะทำงานได้อย่างแข็งแกร่งในครั้งเช่นกัน อีกทั้งการคาดหวังต่อเม็ดเงินใหม่ที่ทยอยเข้าสู่ตลาดหุ้นไทยตั้งแต่สัปดาห์นี้ ต่อเนื่องถึงสัปดาห์หน้า ผ่านกองทุน Trigger Funds ได้แก่
•UOBAM: ปิดขายวันที่ 29 ก.ค. วงเงิน 2.0 พันล้านบาท คาดทยอยเข้าสะสมหุ้นตั้งแต่วานนี้
•KTAM / LH BANK AM/ MFC/ SCBAM / THANACHART Fund ปิดการขายกองทุนราววันที่ 6-7 ส.ค. ประเมินเงินลงทุนใหม่ในส่วนนี้ไม่น่าต่ำกว่า 5.0 พันล้านบาท ที่จะทยอยเข้าลงทุนในสัปดาห์หน้าเป็นต้นไป
ด้านเม็ดเงินทุนต่างชาติ MBKET คาดว่าจะกลับมาสนใจตลาดหุ้นไทยอย่างโดดเด่นหรือไม่ขึ้นอยู่กับปัจจัยสำคัญคือ “นายกรัฐมนตรี และ ครม.” โดยเฉพาะ รัฐมนตรีในตำแหน่งสำคัญทางด้านเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเป็นกระทรวงการคลัง, กระทรวงพาณิชย์, กระทรวงคมนาคม, กระทรวงอุตฯ และกระทรวงไอซีที MBKET คาดว่าจะเริ่มเห็นรายชื่อในช่วงครึ่งหลังของเดือนส.ค. หลัง สนช.ประชุมนัดแรก วันที่ 8 ส.ค. เพื่อเลือกประธาน และรองประธานสภาฯ
ประเด็นสำคัญที่เกี่ยวกับพัฒนาการทางการเมืองภายในประเทศ ตลอดเดือนส.ค. MBKET ให้น้ำหนักค่อนข้างมากต่อประเด็นนี้ ซึ่งจะมีผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติ ได้แก่
•การประกาศรายชื่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช) 200 คน พร้อมเปิดประชุมสภาฯ นัดแรกวันที่ 8 ส.ค. เพื่อพิจารณาและคัดเลือกประธาน และรองประธานสภาฯ ต่อจากนั้นจะเป็นการพิจารณานายกฯ และ ครม.คาดว่าจะเป็นกลางเดือนส.ค.นี้
•กำหนดให้เตรียมคำแถลงนโยบายรัฐบาล และงบประมาณต่อ สนช.ให้เสร็จภายในวันที่ 15 ส.ค.นี้ ซึ่งเท่ากับเป็นการเริ่มเข้าสู่ Roadmap ระยะที่ 2 ของคสช.แบบเต็มตัว คาดว่า นายกฯ จะแถลงต่อสนช.ได้ภายในปลายเดือนส.ค.หรือ ต้นเดือนก.ย.เป็นอย่างช้า
•รายละเอียด Roadmap ในด้านต่างๆ ที่คณะทำงานได้รับมอบนโยบายจากทาง คสช. โดยเฉพาะอย่างยิ่ง แผนด้านเศรษฐกิจ ซึ่งคาดว่าจะเห็นกรอบการทำงานภายในเดือนส.ค. พร้อมสรุปผลงานทุกๆ ไตรมาส
•แผนการลงทุน 2.4 ล้านล้านบาท คสช.อนุมัติในหลักการวานนี้ ลำดับถัดไป สนข ต้องเร่งจัดทำรายละเอียดของแผนการลงทุนทั้ง 5 ส่วนที่นำเสนอ
ดังนั้นกลยุทธ์การลงทุน MBKET แนะนำ “Swing Trade โดยขึ้นขาย ลงแรงซื้อ โดยแนวรับต่ำกว่า 1,500 จุดในระลอกนี้ เป็นจุดตัดสินใจสะสมหุ้นหลักในอัตราเร่ง” เพราะเชื่อว่าเม็ดเงินใหม่จากกองทุน Trigger Funds จะเป็นตัวแปรสำคัญในช่วง 1-2 สัปดาห์นี้ ภายใต้ปัจจัยพื้นฐานการลงทุนที่ไม่เปลี่ยนแปลง
ปัจจัยสำคัญวันนี้
1.การประชุมกนง.วันพรุ่งนี้ คงอัตราดอกเบี้ย RP1 วัน: หลังอัตราเงินเฟ้อเดือนก.ค.ของไทย เท่ากับ 2.16% yoy ต่ำกว่าที่ตลาดคาด 2.40% yoy ทำให้แรงกดดันต่อการกำหนดอัตราดอกเบี้ยนโยบายคลายตัวลง MBKET เชื่อว่า การประชุม กนง.วันพรุ่งนี้ จะพิจารณาคงอัตราดอกเบี้ย RP1 วันที่ 2.00% และมีความเป็นไปได้สูงที่ กนง. จะคงอัตราดอกเบี้ยดังกล่าวไปจนถึงสิ้นปีนี้
2.แต่ตลาดทยอยปรับลด EPS ตลาดหุ้นไทยอย่างต่อเนื่อง: ล่าสุดเช้านี้ EPS ปี 2557 โดย Bloomberg consensus ถูกปรับลดลงต่ำกว่า 100 บาท เป็น 99.88 บาท เทียบกับช่วงต้นปี 2557 ที่คาดการณ์ไว้ที่ 111.62 บาท หรือปรับลดลงมาแล้ว 10.5% ทำให้การเติบโตของกำไรในปีนี้ผ่านมุมมองของ Bloomberg consensus ลดลงเหลือเพียง 3.6% เท่านั้น โดยในสัปดาห์นี้ การปรับลดกำไรกระจุกตัวในกลุ่ม ICT และกลุ่มขนส่ง ขณะที่กลุ่มโรงแรม และกลุ่มไฟแนนซ์ กลับถูกปรับประมาณกำไรขึ้น
ผลกระทบที่ตามมาคือ Forward PER14 ณ ระดับปิดวานนี้ ขยับขึ้นเป็น 15.21x และ 13.20x ใน Forward PER15
MBKET ประเมินว่าผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทย ผ่านจุดต่ำสุดใน 2Q57 และแนวโน้มเศรษฐกิจจะฟื้นตัวอย่างมีนัยยะสำคัญใน 2H57 หลังการเข้าบริหารของคสช. แก้ไขปัญหาทั้ง กรณีโครงการจำนำข้าว 9.0 หมื่นล้านบาท เป็นโครงการแรก รวมถึงการเร่งการใช้จ่ายงบประมาณปี 2557 และการเริ่มใช้งบประมาณปี 2558 ได้ทันตามตารางเวลาวันที่ 1 ต.ค.เป็นต้นไป ดังนั้นโอกาสที่ตลาดจะมีการปรับประมาณการกำไรของบริษัทจดทะเบียนขึ้นในช่วงที่เหลือของปีนี้ ก็มีความเป็นไปได้เช่นกัน
อย่างไรก็ตามประเด็นนี้ จะทำให้ภาวะการลงทุนของตลาดหุ้นไทยในช่วงสั้นเกิดความผันผวน จาก Valuation ของตลาดหุ้นไทยที่เข้าสู่โซนแพงอีกครั้ง
3.เช้านี้ติดตามตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญในเอเชีย ได้แก่
•ดัชนี HSBC PMI ภาคบริการของจีน เดือนก.ค.
•ตัวเลข GDP ใน 2Q57 ของอินโดนีเซีย
วานนี้ วันก่อนหน้า
PER14 PER15 PER14 PER15
S
T INDEX 15.21 13.20 14.98 13.01
PSE 19.69 17.07 19.41 16.82
JSE 16.54 14.10 16.42 14.00
KOSPI 10.54 9.18 10.57 9.20
TAIEX 15.15 13.86 15.11 13.77
Straits Time 14.63 13.43 14.78 13.55
SHCOMP 8.84 7.82 8.68 7.69
ที่มา: Bloomberg
กลยุทธ์การลงทุนวันนี้ แนะนำ “ทยอยสะสม” ได้แก่
1.CK : ราคาปิด 26.00 บาท ราคาเหมาะสม 31.00 บาท
a)CK จะมา Roadshow เพื่อให้ข้อมูลกับนักลงทุนรายย่อย และสถาบันในประเทศกับเราในวันนี้
b)MBKET คงมุมมองเชิงบวกต่อหุ้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง และคาดว่าจะ Outperform ตลาดได้ใน 2H57 เนื่องจากมี Catalyst รออยู่ต่อเนื่องตั้งแต่ 4Q57 เป็นต้นไป ได้แก่
รถไฟฟ้ารางคู่ ฉะเชิงเทรา – แก่งคอย วงเงิน 11,348 ล้านบาท, เส้นทางจิระ – ขอนแก่น วงเงิน 2.6 หมื่นล้านบาท, เส้นทางลพบุรี – ปากน้ำโพ 24,000 ล้านบาท
รถไฟฟ้าขนส่งมวลชน คือ สายสีเขียวเข้ม หมอชิต – คูคต 4.8 หมื่นล้านบาท และรถไฟฟ้าสายสีชมพู 5.8 หมื่นล้านบาท, สายสีส้ม 1.1 แสนล้านบาท และสายสีเหลือง 4.6 หมื่นล้านบาท
โครงการสนามบินเฟส 2 มูลค่าโครงการ 6.2 หมื่นล้านบาท
c)และ CK รายงานการขายหุ้น BMCL จำนวน 1,025 ล้านหุ้น ราคาหุ้นละ 1.65 บาท คิดเป็นเงินรวม 1,691 ล้านบาท คาดว่าจะส่งผลให้บันทึกกำไรพิเศษหลังภาษีราว 808 ล้านบาท ในงบ 3Q57
d)เราให้ CK เป็น Top pick ของกลุ่ม เนื่องจากเป็นผู้นำธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง และปัจจุบันมี Backlog สูงถึง 1.3 แสนล้านบาทรองรับการเติบโตได้อีก 4-5 ปีข้างหน้า และเชื่อว่าการถือหุ้นในบริษัทลูก เช่น BECL, BMCL, CKP, TTW จะส่งผลให้ CK มีโอกาสสูงที่จะได้รับงานรับเหมาก่อสร้างหากเป็นโครงการที่เกี่ยวข้องกับบริษัทลูก เช่น ทางด่วน, รถไฟฟ้า ฯลฯ
e)ราคาหุ้นปัจจุบันซื้อขายระดับ PBV 2558 ที่ 2.4 เท่า ต่ำกว่า STEC ที่ 4.4 เท่า ชี้ให้เห็นว่าในแง่ Valuation แล้ว CK มีความน่าสนใจมากกว่า
2. KTB : ราคาปิด 22.30 บาท ราคาเหมาะสม 25.00 บาท
a)MBKET คงมุมมองเชิงบวกต่อหุ้นกลุ่มธนาคาร และเชื่อว่าการแกว่งตัวของตลาดในช่วงเดือน ส.ค. เป็นโอกาส “ทยอยสะสม” สำหรับการลงทุนระยะกลางขึ้นไป เนื่องจากได้ประโยชน์โดยตรงจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจใน 2H57 และเติบโตในอัตราเร่งในปี 2558
b)ส่งผลให้สินเชื่อจะเริ่มเห็นสัญญาณการเติบโตที่ชัดเจนในปี 2558 นอกจากนั้น คาดว่าการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปี 2558 จะส่งผลให้ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย (NIM) ของธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่เพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน
c)KTB ได้ประโยชน์โดยตรง หลังคสช.อนุมัติโครงการโครงสร้างพื้นฐาน 2.4 ล้านล้านบาท เนื่องจากเป็นธนาคารที่มีสัดส่วนการปล่อยกู้สินเชื่อให้กับโครงการรัฐสูงสุด และการปรับโครงสร้างธุรกิจโดยให้ความสำคัญกับสินเชื่อรายย่อยเพิ่มขึ้นตั้งแต่ต้นปี 2557 ที่ผ่านมา จะส่งผลให้ธนาคารการกระจายโครงสร้างธุรกิจที่ดีขึ้น
d)คาดกำไรสุทธิ 3Q57 จะเติบโต qoq จาก 2Q57 ที่มีการตั้งสำรองพิเศษเป็นจำนวนมาก ดังนั้น จึงคาดว่าการตั้งสำรองจะกลับเข้าสู่ระดับปกติใน 3Q57
e)Valuation อยู่ในระดับที่ยังค่อนข้างถูก โดยซื้อขายระดับ PER 2558 ที่ 8.08 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่มธนาคารที่ 10.2 เท่า และ PBV 2558 ที่ 1.2 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่มธนาคารที่ 1.4 เท่า และให้ Dividend Yield ในเกณฑ์ดีราว 4.5% ต่อปี
What will DJIA move tonight? คืนนี้มีรายงานตัวเลขเศรษฐกิจ ได้แก่ คำสั่งซื้อโรงงาน, ดัชนี ISM ภาคบริการ และ ดัชนี PMI ภาคการผลิต
Fund Flow Analysis
Fund Flow in Emerging Markets
เงินทุนต่างชาติซื้อสุทธิอีก US$114 ล้าน จากวันก่อนหน้าซื้อสุทธิ US$49 ล้าน
ตลาดหุ้น วานนี้(US$ ล้าน) วันก่อนหน้า(US$ ล้าน) YTD(US$ ล้าน) 2556(US$ ล้าน)
TAIEX 45.3 68.8 11,495.6 9,188.0
KOSPI n.a n.a 7,106.7 4,875.1
JSE 76.2 Closed 5,031.6 -1,806.4
PSE -42.3 -6.6 964.6 678.4
ตลาดหุ้นเวียดนาม 1.5 1.3 279.8 263.2
SET INDEX 33.0 -14.5 -802.0 -6,210.5
Foreign Investors Action วานนี้
ต่างชาติเร่งปิดสถานะ Short ใน SET50 Index Futures
วานนี้ วันก่อนหน้า
ตลาดหุ้น (ล้านบาท) +1,060 -468
SET50 Index Futures (สัญญา) +5,021 -6,118
SSF (สัญญา) +170 -452
Metal Futures (สัญญา) +1,230 +91
ตลาดตราสารหนี้ (ล้านบาท) -5,438 -252
นักลงทุนต่างชาติกลับมาซื้อสุทธิตลาดหุ้นไทยเป็นวันแรกในรอบ 5 วันทำการ 1,060 ล้านบาท เทียบกับตลอด 4 วันทำการก่อนหน้า ขายสุทธิ 5,019 ล้านบาท และทำให้ YTD นักลงทุนกลุ่มนี้ขายสุทธิลดลงเป็น 26,677 ล้านบาท
และนักลงทุนกลุ่มนี้กลับมา Long สุทธิใน SET50 Index Futures เป็นวันแรกในรอบ 5 วันทำการเช่นกัน 5,021 สัญญา เทียบกับตลอด 4 วันทำการก่อนหน้า short สุทธิ 9,172 สัญญา คาดว่าจะเป็นการทยอยปิดสถานะ Short ที่เปิดไว้ก่อนหน้า ส่งผลให้ S50U14 ปิดต่ำกว่า SET50 Index แคบลงเป็น 8.65 จุด จากวันก่อนหน้า Discount กว้างถึง 12.53 จุด
Metal Futures นักลงทุนกลุ่มนี้คงการ Long สุทธิเป็นวันที่ 6 เร่งขึ้นเป็น 1,230 สัญญา รวม 6 วันทำการ Long สุทธิเร่งขึ้นเป็น 1,757 สัญญา น่าจะเป็นการทยอยเปิดสถานะ Long อย่างต่อเนื่อง แม้ว่าราคาทองคำในตลาดโลกจะยังไม่กลับมายืนเหนือ US$1,300 ในระหว่างชั่วโมงการซื้อขายวานนี้ได้ก็ตาม
ด้านตลาดตราสารหนี้ไทย นักลงทุนกลุ่มนี้คงการขายสุทธิเป็นวันที่ 2 เร่งขึ้นเป็น 5,438 ล้านบาท รวม 2 วันทำการขายสุทธิ 5,690 ล้านบาท เมื่อราคาพันธบัตรรัฐบาลไทยเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ผ่านผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปี ลดลง 0.93bps ปิดที่ 3.638%
Short-Selling วานนี้
มูลค่า Short-selling เท่ากับ 934 ล้านบาท ใกล้เคียงกับวันก่อนหน้าที่ 938 ล้านบาท
Stock Total Value(mn Bt) % of trading Volume Avg.Price(Bt)
TRUE 98.06 3.74% 9.03
PTT 83.53 5.01% 320.91
KBANK 62.01 8.59% 213.92
ADVANC 44.20 4.33% 212.00
PTTEP 43.59 5.12% 165.19
NVDR กลับมาซื้อสุทธิเป็นวันแรกในรอบ 3 วันทำการ เน้นกลุ่มธนาคาร และพลังงานเป็นหลัก
การซื้อขายผ่าน NVDR วานนี้กลับมาซื้อสุทธิอีกครั้ง 888 ล้านบาท เทียบกับตลอด 2 วันทำการก่อนหน้าขายสุทธิ 938 ล้านบาท สรุปได้ดังต่อไปนี้
1.กลุ่มธนาคาร ถูกซื้อสุทธิสูงสุดอีกครั้ง 798 ล้านบาท จากวันก่อนหน้าขายสุทธิ 110 ล้านบาท ตามมาด้วยกลุ่มพลังงาน ซื้อสุทธิ 408 ล้านบาท กลุ่มอสังหาฯ ซื้อสุทธิ 201 ล้านบาท และกลุ่มอาหาร ซื้อสุทธิ 135 ล้านบาท จากวันก่อนหน้าซื้อสุทธิ 161 ล้านบาท
2.ตามมาด้วยกลุ่ม ICT ถูกขายสุทธิสูงสุด 590 ล้านบาท จากวันก่อนหน้าขายสุทธิ 344 ล้านบาท ตามมาด้วยกลุ่มขนส่งขายสุทธิ 115 ล้านบาท และกลุ่มวัสดุก่อสร้าง ขายสุทธิ 88 ล้านบาท
ซื้อสุทธิสูงสุด มูลค่าสุทธิ(ล้านบาท) % มูลค่าการซื้อขาย ขายสุทธิสูงสุด มูลค่าสุทธิ(ล้านบาท) % มูลค่าการขาย
BBL 440.95 25.04 JAS -294.99 6.00
KBANK 206.05 51.23 INTUCH -260.19 15.01
PTTEP 201.38 28.23 SCC -75.53 24.05
BANPU 162.44 20.39 THAI -58.41 13.28
CPF 125.30 16.27 BTS -50.77 5.81
Strategist Team Maybank KimEng
Mayuree Chowvikran, CISA
Strategist / Analyst
662-6586300 x 1440
Padon Vannarat
Equity Analyst
662-6586300 x 1450
Rinrada Lianghathaitham
Assistant Analyst
662-6586300 x 1530
Twitter Channel
http://twitter.com/YipNgenYipTong