- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Friday, 16 December 2016 17:04
- Hits: 4265
บล.เอเซียพลัส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
กลยุทธ์การลงทุน
BOE คงดอกเบี้ยฯ ยังกังวลต่อ Brexit สวนทางสหรัฐที่เข้าสู่วงจรดอกเบี้ยขาขึ้น ซึ่งหนุน fund flow ไหลออกจากเอเชีย แต่ยังคาดหวังแรงหนุนจากกองทุนสถาบันในประเทศจากแรงซื้อ LTF ในช่วงที่เหลือ จึงทำให้ SET ยังแกว่งตัวใกล้ 1,500 จุด Top picks SCC (FV@B610), BJC(FV@B64) และ UNIQ(FV@B25)
SET Index 1,519.65
เปลี่ยนแปลง (จุด) -1.60
มูลค่าการซื้อขาย (ล้านบาท) 49,530.71
ยอดซื้อ-ขายสุทธิ นักลงทุนแต่ละประเภท (ล้านบาท)
นักลงทุนต่างชาติ -1,456.57
บัญชีบริษัทหลักทรัพย์ 480.46
นักลงทุนสถาบันในประเทศ -877.73
นักลงทุนรายย่อย 1,853.84
(0) BOE ยืนดอกเบี้ยตามตลาดคาด กังวล Brexit
ผลการประชุมธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) วานนี้ยังคงดอกเบี้ยนโยบายที่ 0.25% ตามตลาดคาด (BOE ได้ลดดอกเบี้ยนโยบายไป 1 ครั้ง เมื่อการประชุมเดือน ส.ค.59 เพื่อรองรับผลกระทบ Brexit) แม้ว่าดัชนีชี้นำเศรษฐกิจมีทิศทางที่ดีขึ้น (ดัชนี PMI ภาคก่อสร้างขยายตัว 4 เดือนติดต่อกันและทำจุดสูงสุดตั้งแต่ ก.พ.59 เช่นเดียวกับ ยอดค้าปลีก ยังเพิ่มขึ้น 5 เดือนติดต่อกัน หนุนอัตราการว่างงานลดลงอยู่ที่ระดับ 5% ระดับต่ำสุดในรอบ 9 ปี) หนุนให้อัตราการว่างงานลดลงอยู่ที่ระดับ 5% (ระดับต่ำสุดในรอบ 9 ปี) และ อัตราเงินเฟ้อล่าสุด เดือน พ.ย. เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดที่ 1.1% จาก 0.9% ในเดือน ต.ค. ยิ่งทำให้เงินเฟ้อ ทิ้งห่างจากดอกเบี้ยนโยบาย เนื่องจากยังกังวลต่อประเด็นของ Brexit (ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการออกจากยุโรป โดยรัฐบาลอังกฤษต้องขออนุมัติรัฐสภาเพื่อมอบอำนาจให้นายกฯ ใช้อำนาจภายใต้ภายใต้มาตรา 50 ของสนธิสัญญาลิสบอน เพื่อเริ่มดำเนินการออกสหภาพยุโรป เมื่อผ่านขบวนการนี้คาดว่าจะต้องใช้เวลาประมาณ 2 ปี) ทำให้ BOE ยังจำเป็นต้องใช้ดอกเบี้ยต่ำต่อไป
นับว่าสอดคล้องกับ มติที่ประชุมธนาคารกลางยุโรป (ECB) สัปดาห์ที่ผ่านมา ที่ยังคงนโยบายการเงินผ่อนคลาย (คงดอกเบี้ยนโยบายที่ 0% และจะขยายโครงการรับซื้อพันธบัตรอีก 9 เดือน (QE program) จากเดิมที่สิ้นสุด มี.ค. 2560 เป็น ธ.ค. 2560 แต่ได้ปรับลดวงเงิน QE เหลือเดือนละ 6 หมื่นล้านยูโร จากปัจจุบัน 8 หมื่นล้านยูโร จะเริ่มตั้งแต่ เม.ย. 2560 ทำให้รวมระยะเวลาโครงการ QE ทั้งสิ้น 34 เดือน มี.ค.2558–ธ.ค.2560 เม็ดเงินรวม 2.29 ล้านล้านยูโร หรือคิดเป็น 65.4% ของวงเงิน QE สหรัฐ) เพิ่มจากเดิมที่คาดว่าจะใช้เงินเพียง 1.75 ล้านล้านยูโร หรือคิดเป็น 50% ของวงเงิน QE สหรัฐ) หรือเม็ดเงินเพิ่มขึ้นจากเดิม 5.4 แสนล้านยูโร หรือเพิ่มขึ้น 32% เชื่อว่า ECB มีความกังวลต่อ Brexit และ Italexit
(0) เอเชีย ยังคงนโยบายผ่อนคลาย ล่าสุด ธนาคารกลางอินโดนีเซีย คงดอกเบี้ยฯ เช่นกัน
เช่นเดียวกับฝั่งเอเชียที่ยังคงใช้นโยบายการเงินผ่อนคลาย จากเศรษฐกิจที่ยังอยู่ในภาวะฟื้นตัว และ การเตรียมตัวรองรับผลกระทบที่จะเกิดจากการกีดกันทางการค้าของสหรัฐ ภายใต้การบริหารงานของนายทรัมป์ฯ ที่จะเข้าบริหารประเทศสหรัฐในวันที่ 20 ม.ค. 2560 ซึ่งสิ่งที่จะทำทันทีคือ การขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากประเทศที่ได้เปรียบดุลการค้ากับสหรัฐ โดยเฉพาะสินค้าที่นำเข้าหลักๆ คือ ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ สิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม และผลิตภัณฑ์เหล็ก ซึ่งประเทศที่นำเข้าหลักมาจากประเทศในแถบเอเซีย โดยเฉพาะจีน ซึ่งเป็นประเทศที่ได้ดุลการค้ากับสหรัฐมากสุด คือจีน รองลงมาคือ เยอรมัน ญี่ปุ่น เม็กซิโก เวียดนาม เกาหลีใต้ ไอร์แลนด์ อิตาลี อินเดีย มาเลเซีย แคนาดา และ ไทย ตามลำดับ
ทำให้เมื่อวานนี้ที่ประชุมธนาคารอินโดนีเซียล่าสุด วานนี้ ยังคงดอกเบี้ยนโยบายที่ 4.75% หลังจากที่ได้ลดดอกเบี้ยรวม 6 ครั้ง นับจากต้นปีจนถึงปัจจุบัน ซึ่งรวมการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงจาก BI-1 ปี เป็น RP-7 วัน (สั้นลง) เท่ากับลดดอกเบี้ยรวม 1.75% ซึ่งน่าจะเพียงพอต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจ และ เงินเฟ้อปัจจุบันล่าสุดเดือน พ.ย. 3.58% ขยับขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 จากจุดต่ำสุดเดือน (ต่ำกว่า 2.79%) และสำหรับประเทศไทยคาดว่าน่าจะยืนดอกเบี้ยนโยบายที่ 1.5% ต่อไปจนถึงกลางปี 2560 ภายใต้สมมติฐานเงินเฟ้อไม่เกิน 1.5% ในปี 2560
(+) สรุปสายสีส้มสัญญา 5 CK & STEC คว้างานอีกครั้ง
วานนี้ รฟม. ได้ประกาศรายชื่อผู้ชนะการประมูล สัญญาที่ 5 โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม (ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย – มีนบุรี) ซึ่งกิจการร่วมค้า CKST (CK+STEC) เสนอราคาต่ำสุด โดยสรุปรถไฟฟ้าสายสีส้ม 6 สัญญา ได้ผู้ชนะดังนี้
ในรอบ 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา มีการประกาศผลการประมูลรถไฟฟ้าแล้วถึง 3 เส้นทางคือ รถไฟฟ้าสายสีชมพู (แคราย-มีนบุรี) และสายสีเหลือง (ลาดพร้าว-สำโรง) ซึ่งกลุ่มกิจการร่วมค้า BSR (BTS 75%, STEC 15%, RATCH 10%) ชนะประมูล ตามด้วยรถไฟฟ้าสายสีส้ม (ศูนย์วัฒนธรรม-มีนบุรี) ซึ่งผู้รับเหมารายใหญ่งานไปทุกราย ทั้งนี้ ตามที่ฝ่ายวิจัยได้นำเสนอไปแล้วก่อนหน้าว่า หากประเมินมูลค่างานที่ได้รับเทียบกับ Backlog ณ สิ้น 3Q59 พบว่า UNIQ จะมี Impact แรงที่สุดเพราะงานใหม่คิดเป็น 57.3% เทียบกับ Backlog เดิมที่มี รองลงมาคือ CK และ STEC งานใหม่ที่ได้มาคิดเป็น 33-35% ของ Backlog เดิมที่มี ส่วน ITD มี Impact น้อยที่สุด เพราะงานที่ได้มาคิดเป็น 16% ของ Backlog เดิมที่มี ฝ่ายวิจัยเลือก UNIQ ([email protected]) เป็น Top Pick ตามด้วย CK ([email protected]) และ STEC(FV@B 32.75)
สำหรับกระแสเชิงบวกของกลุ่มรับเหมาฯ น่าจะกลับมาเป็นที่สนใจอีกครั้ง หลังการขายซองประกวดราคารถไฟทางคู่อีก 5 เส้นทาง ระยะทางรวม 702 กม. มูลค่ารวม 1 แสนล้านบาท ช่วงวันที่ 13 - 20 ธ.ค. 2559 เสร็จสิ้นลง และจะมีการประมูลจะเป็นแบบ e-Auction ในช่วงเดือน ม.ค.2560 ซึ่งจะทราบผลผู้ชนะทันที และจะลงนามในสัญญาก่อสร้างได้ช่วง มี.ค. 2560 จึงทำให้กระแสบวกต่อหุ้นกลุ่มรับเหมาฯ จะยังมีต่อเนื่องไปจนถึงปี 2560 จึงได้ให้น้ำหนักการลงทุนกลุ่ม “มากกว่าตลาด”
(-) ต่างชาติยังคงขายหุ้นในกลุ่ม TIP ต่อเนื่อง
วานนี้ต่างชาติสลับมาขายสุทธิหุ้นในภูมิภาคอีกครั้ง หลังจากซื้อสุทธิติดต่อกัน 7 วัน ด้วยมูลค่าราว 44 ล้านเหรียญ โดยแรงขายหลักๆยังคงมาจากตลาดหุ้นในกลุ่ม TIP คือ อินโดนีเซียขายสุทธิถึง 47 ล้านเหรียญ (ขายสุทธิติดต่อกันนานถึง 26 วัน) ตามมาด้วยฟิลิปปินส์ 36 ล้านเหรียญ (ขายสุทธิเป็นวันที่ 5) และไทย 41 ล้านเหรียญ หรือ 1.46 พันล้านบาท (ขายสุทธิเป็นวันที่ 3) ยกเว้นตลาดหุ้นในแถบเอเชียตะวันออก ยังคงซื้อสุทธิ แต่แรงซื้อเริ่มลดน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด คือ ตลาดหุ้นไต้หวันและเกาหลีใต้ที่ถูกซื้อสุทธิราว 43 ล้านเหรียญ และ 37 ล้านเหรียญ ตามลำดับ และเช่นเดียวกับนักลงทุนสถาบันฯที่ขายสุทธิราว 877 ล้านบาท (ขายสุทธิเป็นวันที่ 4)
ส่วนทางด้านตราสารหนี้ไทย นักลงทุนสถาบันฯสลับมาซื้อสุทธิราว 1.89 หมื่นล้านบาท ต่างกับนักลงทุนต่างชาติที่ขายสุทธิเล็กน้อยราว 336 ล้านบาท (ขายสุทธิเป็นวันที่ 2)
ข้อมูลแสดงเงินทุนต่างชาติไหลเข้าออกรายเดือนของแต่ละประเทศในภูมิภาค
ภรณี ทองเย็น เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004146
เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004132
พบชัย ภัทราวิชญ์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 052647
ภราดร เตียรณปราโมทย์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 075365
พาสุ ชัยหลีเจริญ ผู้ช่วยนักวิเคราะห์
ฐกฤต ชาติเชิดศักดิ์ ผู้ช่วยนักเศรษฐศาสตร์