- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Wednesday, 07 December 2016 15:01
- Hits: 8972
บล.เอเซียพลัส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
กลยุทธ์การลงทุน
ค่าเงินโลกยังผันผวน ความกังวลอิตาลีจะออกจากยุโรปเพิ่ม ขณะที่แรงขายต่างชาติยังมีอยู่แม้เบาบางลง ส่วนราคาน้ำมันที่ฟื้นตัวเหนือ 50 เหรียญฯ ยังหนุนหุ้นน้ำมัน บวกต่อ PTTEP (FV@B102) วันนี้เลือก BTS(FV@B10) เป็น Top pick จะปรับเพิ่มมูลค่าพื้นฐานขึ้น หลังบริษัทร่วมค้า (STEC, BTS, RATCH) ชนะประมูลรถไฟฟ้าชมพูและเหลือ
(++) ปรับเพิ่มประมาณการ STEC และทบทวน BTS หลังชนะประมูลรถไฟฟ้าชมพู&เหลือง
วานนี้ รฟม. ประกาศว่า กลุ่มกิจการร่วมค้า BSR (ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่าง BTS 75%, STEC 15% และ RATCH 10%) ชนะการประมูลรถไฟฟ้าสายสีชมพู (แคราย-มีนบุรี) และสายสีเหลือง (ลาดพร้าว-สำโรง) สำหรับขั้นตอนหลังจากนี้ จะต้องทำการเจรจาต่อรอง และสรุปเพื่อนำเสนอ ครม. อนุมัติภายในเดือน มี.ค. – เม.ย. 2560 และลงนามสัมปทานภายใน เม.ย. 2560
ผลการประมูลดังกล่าวถือว่าเป็นไปตามคาดหมาย เนื่องจาก BSR JV (BTS+STEC+RATCH) แสดงความสนใจและมีความพร้อมในทั้ง 2 เส้นทาง โดยสายสีชมพูมีจุดเด่นที่มีจุดเชื่อมต่อรถไฟฟ้าเส้นทางอื่นๆทั้งสายสีม่วง สีเขียวเหนือ และสีส้ม นอกจากนี้ BTS ยังมีการยื่นข้อเสนอเพิ่มเติมในซองที่ 3 ที่จะขยายเส้นทางเพิ่มเพื่อเข้าไปยัง Impact เมืองทองธานี (เส้นทางเพิ่มเติมนี้จะเป็นการลงทุนระหว่าง BTS และ BLAND และจัดเก็บค่าโดยสารเอง) ส่วนสายสีเหลือง ทาง BTS ก็ได้มีการยื่นข้อเสนอเพิ่มเติมเช่นเดียวกันเพื่อขยายเส้นทางเพิ่มอีก 2.6 ก.ม. เพื่อไปเชื่อมต่อกับสายสีเขียวเหนือที่สถานีรัชโยธิน
เชื่อว่าการเก็งกำไร และ Sentiment ระยะสั้นจากการประมูลรถไฟฟ้า น่าจะทำให้ราคาหุ้น BTS มีการขยับขึ้น ทั้งนี้ ประมาณการเดิมรวมการชนะประมูลไว้เพียง 1 สาย (สายสีชมพู) ตามหลักอนุรักษ์นิยม ซึ่งหลังจากนี้ยังมีประเด็นที่ต้องติดตามคือเรื่องผลตอบแทนจากการลงทุนของโครงการ เนื่องจากรูปแบบการลงทุนที่เป็น PPP Net Cost ซึ่งเอกชนต้องลงทุนเองทั้งงานโยธา, วางระบบ และเดินรถไฟฟ้าเอง รวมถึงต้องแบกรับความเสี่ยงจากรายได้ค่าโดยสารอาจทำให้ผลตอบแทนของโครงการในช่วงเริ่มต้นขาดทุนได้ ส่วนกำไรในระยะ 1-2 ปี ของ BTS จะยังไม่เด่นเนื่องจากธุรกิจทุกภาคส่วนอยู่ในช่วงลงทุน แต่ในระยะยาวกำไรจะเข้าสู่ช่วง High Growth ตั้งแต่ปี 2561/62 เป็นต้นไปจากการเข้าสู่ช่วงพีคของการโอนอสังหาฯ BTS-SIRI JV ตามด้วยการทยอยเปิดรถไฟฟ้าหลายเส้นทาง เริ่มจากเขียวใต้ในปี 2561 และเขียวเหนือในปี 2563
ส่วน STEC ซึ่งจะได้เป็นผู้รับเหมาหลักในงานก่อสร้าง มูลค่ารวมกว่า 4หมื่นล้านบาท รวมกับโอกาสได้งานก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีส้มที่ร่วมประมูลกับ CK และรถไฟทางคู่ หากประเมินให้ STEC ชนะงานประมูลในสัดส่วน 20% คาดว่าปี 2560 STEC จะได้งานรวมกันไม่ต่ำกว่า 8หมื่นล้านบาท มากกว่าสมมุติฐานเดิมถึง 2 เท่า ฝ่ายวิจัยจึงปรับประมาณการกำไร ปี 2560-2561 ขึ้น 8% และ 14% ตามลำดับ จึงปรับเพิ่ม Fair Value ขึ้นเป็น 32.75 บาท และเพิ่มคำแนะนำเป็น ซื้อ (ติดตามอ่านรายละเอียด BTS และ STEC ใน Equity Talk วันนี้)
(+) ต่างชาติเริ่มสลับมาซื้อหุ้นบ้างเป็นบางประเทศ รวมถึงไทย
แรงขายต่างชาติเริ่มตัวลง และวานนี้ได้สลับมาซื้อหุ้นภูมิภาคเป็นรายประเทศ ด้วยมูลค่าราว 289 ล้านเหรียญ (หลังจากขายสุทธิ 2 วัน) โดยยังขายอยู่ 2 ประเทศ คือ อินโดนีเซียถูกขายสุทธิ 45 ล้านเหรียญ (ขายสุทธิเป็นวันที่ 20) และฟิลิปปินส์ 1 ล้านเหรียญ (ขายสุทธิเป็นวันที่ 3) สำหรับ 3 ประเทศที่สลับมาซื้อสุทธิ คือ ไต้หวันถูกซื้อสุทธิราว 203 ล้านเหรียญ (หลังจากขายสุทธิ 2 วัน) ตามมาด้วยเกาหลีใต้ 97 ล้านเหรียญ (หลังจากขายสุทธิ 2 วัน) และไทยซื้อสุทธิราว 35 ล้านเหรียญ หรือ 1.25 พันล้านบาท แม้แรงซื้อหุ้นไทยยังไม่มาก แต่ถือเป็นการกลับมาซื้อสุทธิที่สูงสุด นับตั้งแต่ต้นเดือน ต.ค. 59 เป็นต้นมา เช่นเดียวกับนักลงทุนสถาบันฯที่สลับมาซื้อสุทธิราว 201 ล้านบาท (หลังจากซื้อสุทธิเพียงวันเดียว)
ส่วนทางด้านตราสารหนี้ไทย นักลงทุนสถาบันฯยังคงซื้อสุทธิราว 1.69 หมื่นล้านบาท ต่างกับนักลงทุนต่างชาติที่สลับมาขายสุทธิเล็กน้อยเพียง 47 ล้านบาท (ขายสุทธิเป็นวันที่ 3)
(+) ราคาน้ำมันยืน 50 เหรียญฯ ประเทศนอกโอเปคเตรียมประชุมลดกำลังผลิต
ภายหลังผลการประชุม OPEC สุดสัปดาห์ที่ผ่านมา มีมติลดกำลังผลิตของกลุ่มลง 1.2 ล้านบาร์เรล จากกำลังผลิตเดือนตุลาคม ขณะเดียวกันกลุ่มประเทศนอก OPEC ที่ได้ตกลงจะลดกำลังผลิตลง 600,000 บาร์เรลต่อวัน โดยมีรัสเซียยอมตัดลด 300,000 บาร์เรล ซึ่งทำให้มีการจัดประชุมระหว่างประเทศ Non-Opec อีกครั้ง ซึ่งขณะนี้มีความชัดเจนว่าจะ ประชุม ในวันเสาร์ที่ 10 พ.ย. นี้ที่กรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย
ปัจจัยดังกล่าวมีน้ำหนักหักล้าง การรายงานกำลังการผลิตของกลุ่ม OPEC เดือน พ.ย. รายงานเพิ่มขึ้น 1.09% ทำจุดสูงสุดใหม่ที่ระดับ 34.16 ล้านบาร์เรลต่อวัน ก็ตาม และและการประกอบเงินดอลลาร์ชะลอการแข็งค่าต่อเนื่อง ยังคงหนุนราคาน้ำมันให้ยกตัวขึ้นเหนือ 50 เหรียญฯ ต่อบาร์เรล ได้ต่อเนื่อง ดีต่อหุ้นน้ำมัน ทั้ง PTTEP(FV@B102) และ PTT(FV@B400)
(-) ค่าเงินโลกผันผวน ให้น้ำหนักกับปัญหาการเมืองในอิตาลี
ความกังวลที่อิตาลีจะออกจากการเป็นสมาชิกสหภาพยุโรป น่าจะยังกดดันตลาดเงินและตลาดหุ้นโลก เช่นเดียวกับ การลงประชามติ Brexit เพราะอิตาลี เป็น 1 ในประเทศสมาชิกที่ใช้สกุลเงินยูโร (single currency มี 19 ประเทศ vs อังกฤษใช้เงินปอนด์) ขนาดเศรษฐกิจอิตาลีอยู่ในลำดับ 4 ของ สหภาพยุโรป (รองจากเยอรมัน อังกฤษ และฝรั่งเศส) และหากพิจารณาสัดส่วนการค้าโลกพบว่ากระจุกตัวในสหภาพยุโรป 54% ของการค้ารวม (นำเข้า+ส่งออก vs อังกฤษกระจุกตัว 58%) ประเทศคู่ค้าหลักในยุโรป คือ เยอรมัน (26%) ฝรั่งเศส (18%) สเปน (9.2%) อังกฤษ (8%) เบลเยี่ยม (7.7%) เนเธอร์แลนด์ (7.3%) โปรแลนด์ (4.7%) ออสเตรีย (4.1%)
ในปี 2552 เมื่อเกิดวิกฤติหนี้สาธารณะ อิตาลี เป็นหนึ่งใน 5 ประเทศ หรือเรียกว่า PIIGS ซึ่งประกอบ โปรตุเกส อิตาลี ไอร์แลนด์ กรีซ และ สเปน ที่มีอัตราส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP สูงสุด และ ปัจจุบันพบว่าหนี้สาธารณะของทั้ง 5 ประเทศ มิได้ลดลงเลย (ภาพด้านล่าง) เพราะรัฐฯ ไม่สามารถตัดลดงบประมาณ เพื่อลดปัญหาขาดดุลงบประมาณ (สเปนขาดดุล 4.5%ของ GDP ไอร์แลนด์ขาดดุล 3.1% โปรตุเกส 2.4% อิตาลี 2.1% กรีซ 1.4% ) ทำให้ประชาชนหลายประเทศออกมาต่อต้าน การตัดลดงบประมาณ (ตัดลดสวัสดิการ) เช่น กรณีของกรีซ
ปัญหาหนี้สาธารณะที่พอกหางหมู และการแก้ไขปัญหาทางการเงินของอิตาลี ยังเป็นไปอย่างล่าช้า ตราบที่ไม่มีแก้ไขกฎหมายรองรับ และ หากรัฐบาลใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้น จากฝ่ายค้าน (พรรคห้าดาว หรือ Five Star Movement) ซึ่งจะเข้ามาแทนนายกฯมัตเตโอเรนซี ฯ ที่เพิ่งยื่นใบลาออก (หลังประชาชนลงประชามติ ไม่สนับสนุนให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อเปิดทางแก้ไขปัญหาทางการเงินของประเทศ) พรรคฝ่ายค้านนอกจากไม่เห็นด้วยกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ยังมีแนวคิดจะถอนตัวออกจากสหภาพยุโรป ซึ่งถือว่าเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่จะกดดันเศรษฐกิจของยุโรป โดยเชื่อว่าเหตุผลไม่น่าจะแตกต่างจากอังกฤษ กล่าวคือ ปัจจุบัน อิตาลีมีภาระในการรับผู้อพยพเข้าประเทศจำนวนมากเช่นปี 2558 สูง 8.32 หมื่นคนเพิ่มขึ้น 31% จากปี 2557 (รองจากเยอรมันรับสูงสุด 4.42 แสนคน รองลงมาคือ ฮังการี 1.74 แสนคน สวีเดน 1.56 แสนคน ออสเตรีย 8.55 หมื่นคน และ อังกฤษ 3.83 หมื่นคน) และต้องส่งเงินเข้ากองทุนผู้อพยพ สูงสุดเป็นลำดับ 4 ราว 4.61 พันล้านยูโรปีล่าสุด (รองจากเยอรมัน 16.32 พันล้านยูโร อังกฤษ 10.76 พันล้านยูโร ฝรั่งเศส 9.05 พันล้านยูโร)
ด้วยเหตุนี้จึงคาดว่าจะกดดันค่าเงินโลกผันผวน กล่าวคือ เงินยูโร มีแนวโน้มอ่อนค่าอีกครั้ง เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ (หลังจากที่อ่อนค่านานติดต่อกันกว่า 1 สัปดาห์ ) ซึ่งภาพไม่น่าจะแตกต่างกับช่วงที่เหลือ Brexit คือ ค่าเงินปอนด์ และ เงินยูโรป อ่อนค่ารวดเร็วเมื่อเทียบกับดอลลาร์ (อ่อนค่าราว13.2% และ 12% นับจาก Brexit ) และ ตรงกันข้ามค่าเงินเอเชีย มีแนวโน้มหยุดการอ่อนค่า หรือ กลับมาแข็งค่าชั่วคราว (หลังจากอ่อนค่าช่วง 1 สัปดาห์ที่ผ่านมา ทั้งเงิน เยน บาท รูเปียะห์ เปโซ และริงกิต เป็นต้น) และน่าจะทำให้ตลาดหุ้นผันผวนในช่วงดังกล่าว
(0) หุ้นเข้าคำนวณ SET50 เด่น BJC
ฝ่ายวิจัยฯได้ทบทวนรายชื่อหุ้นที่มีโอกาสถูกนำเข้าและคัดออกจาก SET50, SET100 รอบ 1H60 อีกครั้ง หลังจากได้ข้อมูลครบถ้วน (1 ธ.ค. 2558 - 30 พ.ย. 2559) พบว่า รายชื่อหุ้นมีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย เนื่องจากหุ้นบางบริษัทมีการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไข เช่น ลำดับ Market Cap. เฉลี่ยในช่วง 3 เดือน (ก.ย. – พ.ย. 59) รวมถึงมูลค่าซื้อขายและ %Turnover ของแต่ละบริษัทในเดือน พ.ย.59 เป็นต้น อย่างไรก็ตามรายชื่อหุ้นดังกล่าวยังไม่ถือเป็นที่สิ้นสุด raกรณีเกิดเหตุการณ์ที่ไม่ได้ระบุไว้ในหลักเกณฑ์ของตลาดฯ อีกทั้งผลลัพธ์สุดท้ายขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของตลาดฯ เป็นสำคัญ แต่เบื้องต้นสรุปรายชื่อได้หุ้นที่เข้า/ออก SET50 8 ชุด และหุ้นที่เข้า/ออก SET100 อีก 14 ชุด ดังตารางด้านล่าง
และจากการวิเคราะห์เชิงปริมาณ โดยใช้ข้อมูลตั้งแต่ปี 2548 จนถึงปัจจุบัน พบว่า หุ้นที่คาดว่าจะเข้า SET50 มักจะให้ผลตอบแทนเป็นบวก กล่าวคือ ราคาหุ้นมีโอกาสปรับขึ้น ก่อนที่จะมีนำเข้าคำนวณจริงราว 1 เดือน โดยจะให้ผลตอบแทนเฉลี่ยถึง 6.5% ด้วยมีความน่าจะเป็นที่ให้ผลตอบแทนเป็นบวกกว่า 75% ส่วนหุ้นที่คาดว่าจะเข้า SET100 นั้นไม่ค่อยมีนัยสำคัญต่อการปรับตัวเพิ่มขึ้นของราคาหุ้นมากนัก และมักให้ผลตอบแทนที่น้อยกว่าหุ้นที่ถูกคัดเข้า SET50 ส่วนหุ้นถูกคัดออกทั้ง SET50 และ SET100 แม้ราคาหุ้นจะปรับตัวลดลงก่อนก่อนวันบังคับใช้ แต่หลังจากถูกเข้าคำนวณราคาหุ้นจะค่อยๆฟื้นกลับขึ้นมา
สภาวะตลาดหุ้นไทยที่เผชิญกับหลากหลายปัจจัยลบจากภายนอก ทั้ง Fund Flow ที่ไหลออก และการเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยของ Fed อาจต่อเนื่องถึงปี 60 กลยุทธ์การลงทุนเน้นหุ้นพื้นฐานแกร่ง และมีปัจจัยบวกหนุน จากการที่มีโอกาสเข้าทั้ง SET50 และ SET100 รอบ 1H60 อย่าง BJC(FV@B64) หลังจากที่ได้ถูกคัดเข้าคำนวณทั้งในดัชนี MSCI Global Standard แล้ว ยังถูกเข้าคำนวณใน ดัชนี FTSE SET Large Cap อีก (ประกาศผลเย็นวานนี้) และฝ่ายวิจัยฯคาดว่ายังมีโอกาสถูกคัดเลือกเข้าทั้ง SET50 และ SET100 ต่ออีก นอกจากนี้แนวโน้มกำไรงวด 4Q59 อาจสร้างสถิติสูงสุดใหม่ จากช่วงฤดูกาลที่ BIGC มียอดขายดีสุด และยังรุกขยายสาขาต่อเนื่อง ซึ่งยังคาดว่าจะได้เห็น Synergies ของการควบรวมกับ BIGC จะช่วยให้มีพัฒนาการเติบโตอย่างต่อเนื่อง
ภรณี ทองเย็น เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004146
เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004132
พบชัย ภัทราวิชญ์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 052647
ภราดร เตียรณปราโมทย์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 075365
พาสุ ชัยหลีเจริญ ผู้ช่วยนักวิเคราะห์
ฐกฤต ชาติเชิดศักดิ์ ผู้ช่วยนักเศรษฐศาสตร์