WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

DBS copyบล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน

 

'ซื้อค่าบวก/หรืออ่อนตัวแต่ไม่หลุด 1500'

หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : HANA (จาก Fully Valued เป็น ถือ)

          ปัจจัย&กลยุทธ์ทางปัจจัยพื้นฐาน : SET Index เมื่อวานนี้แกว่งตัว โดยปรับขึ้นดีในช่วงแรกแล้วเจอแรงขายทำกำไรในช่วงท้ายตลาด ดัชนีขึ้นไปสูงสุด 1523.63 (+13.39 จุด) แต่ปิดตลาดลดช่วงบวกลงเหลือ 2.14 จุดปิดที่ 1512.38 นักลงทุนสถาบันในประเทศนำซื้อสุทธิ 2.4 พันล้านบาท ต่างชาติพลิกเป็นซื้อสุทธิ 830 กว่าล้านบาท รายย่อยขายสุทธิ 3.5 พันล้านบาท ส่วนปัจจัยสำคัญในระยะสั้นมาก ได้แก่

          + ตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรสหรัฐที่จะรายงานวันศุกร์นี้ตลาดเชื่อว่าเฟดจะปรับขึ้นดอกเบี้ยในกลางเดือนธ.ค.นี้

          + PMI ภาคผลิตและบริการของจีนกระเตื้องขึ้นในเดือนพ.ย.และอยู่เหนือ 50

          + แรงซื้อ LTF โค้งสุดท้ายปลายเดือนธ.ค.ช่วยหนุน

          + มองข้ามไปปี 60 เพื่อเฟ้นหาหุ้นที่มีกำไรเติบโตสูง พบว่าหุ้นที่น่าสนใจใน DBSV Coverage และเราให้เป็น Top picks ในเดือนธ.ค.59 คือ ANAN, MTLS, TKN, CHG ส่วนหุ้นที่คาดว่าจะจ่ายปันผลสูงทั้งในปี 59-60 คือ TMT, PSH

          กลยุทธ์ : การซื้อเล่นรอบยังเน้นตามด้วยค่าบวกของราคาหุ้นและดัชนี, ถือหุ้นดีที่จ่ายปันผลสม่ำเสมอ และทยอยสะสมหุ้นเติบโตแกร่งช่วงราคาปรับฐาน/อ่อนตัว หุ้นแนะนำเชิงกลยุทธ์วันนี้เป็น CHG

          การวิเคราะห์ทางเทคนิค : ระยะสั้นสัญญาณเป็นบวกน้อยลง (ปิดเหนือ SMA10 แต่เริ่มติดแนวต้านสำคัญ) ซื้อใหม่เน้นตามด้วยค่าบวก ต่ำกว่า 1495 ลดพอร์ตตาม/ตัดขายขาดทุน แนวต้านระยะสั้น 1520, 1530-1540 จุด

          ส่วนการ SCAN หุ้น พบว่าหุ้นที่เข้ามาใหม่ คือ SCP, UTP

          หุ้นที่ยังอยู่ใน List ได้แก่ SMT, BRR, RS, PAP, GLOBAL, STPI, SYNEX, GPSC, KTB, CKP, AJ

          หุ้นที่แนะนำไปแล้วและให้หาจังหวะขายทำกำไร คือ TPOLY, ESSO ส่วนหุ้นหลุด List คือ TCAP

          นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค - [email protected]

 

Need to know TODAY

ปัจจัยต่างประเทศ

+ จีน : PMI ภาคการผลิตและบริการกระเตื้องขึ้นในเดือนพ.ย.59

          สำนักงานสถิติแห่งชาติจีน (NBS) รายงานว่าดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตเดือนพ.ย.อยู่ที่ระดับ 51.7 เพิ่มขึ้นจากเดือนต.ค.ที่ 51.2 ส่วนดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการเดือนพ.ย. อยู่ที่ระดับ 54.7 เพิ่มขึ้นจากเดือนต.ค.ที่ 54.0 ดัชนีที่เคลื่อนไหวเหนือระดับ 50 บ่งชี้ว่ามีการขยายตัวเมื่อเทียบ MoM

 

ตลาดหุ้นสหรัฐ : สถิติปิดที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์

          ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 19,191.93 จุด เพิ่มขึ้น 68.35 จุด หรือ +0.36% ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 5,251.11 จุด ลดลง 72.57 จุด หรือ -1.36% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,191.08 จุด ลดลง 7.73 จุด หรือ -0.35% โดยดาวโจนส์ทำสถิติปิดที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ เพราะได้แรงหนุนจากการพุ่งขึ้นของหุ้นกลุ่มพลังงาน หลังจากราคาน้ำมันดิบปรับตัวขึ้นขานรับมติของที่ประชุมกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) ในการปรับลดกำลังการผลิต อย่างไรก็ตาม ดัชนี NASDAQ และดัชนี S&P500 ปิดลบ เพราะได้รับแรงกดดันจากการร่วงลงของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี

 

ราคาน้ำมันดิบ : ปิดพุ่ง $1.62 รับโอเปกบรรลุข้อตกลงลดการผลิต

          สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนม.ค.พุ่งขึ้น 1.62 ดอลลาร์ หรือ 3.3% ปิดที่ 51.06 ดอลลาร์/บาร์เรล  ส่วนเบรนท์ส่งมอบเดือนก.พ.เพิ่มขึ้น 2.10 ดอลลาร์ หรือ 4.1% ปิดที่ 53.94 ดอลลาร์/บาร์เรล  โดยสัญญาน้ำมันดิบปิดพุ่งขึ้นติดต่อกัน 2 วันทำการ เนื่องจากนักลงทุนยังคงขานรับกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) ที่สามารถบรรลุข้อตกลงปรับลดกำลังการผลิตน้ำมัน ในการประชุมเมื่อวันพุธที่ผ่านมา 

 

ราคาทองคำ : ปิดร่วง 4.5 ดอลล์ ตลาดจับตาตัวเลขจ้างงานสหรัฐ

          สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนก.พ.ร่วงลง 4.5 ดอลลาร์ หรือ 0.38% ปิดที่  1,169.40 ดอลลาร์/ออนซ์  เนื่องจากนักลงทุนเทขายทองคำซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่ปลอดภัย และหันไปลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า ซึ่งรวมถึงตลาดหุ้นและตลาดน้ำมัน นอกจากนี้นักลงทุนยังชะลอการซื้อขายก่อนที่ทางการสหรัฐจะเปิดเผยตัวเลขจ้างงานนอกภาคการเกษตรประจำเดือนพ.ย.

 

ปัจจัยในประเทศ & หุ้นเด่น

ไทย : เงินเฟ้อเพิ่มขึ้นแต่ไม่มาก...คาดดอกเบี้ยนโยบายทรงตัวต่ำต่อในปี 60

          ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไป (CPI) เดือน พ.ย.59 อยู่ที่ 106.79 ขยายตัวที่ +0.60%YoY แต่ -0.06%MoM ส่งผลให้ CPI ช่วง 11 เดือนปี 59 (ม.ค.-พ.ย.59) +0.10%YoY ด้าน Core CPI เดือนพ.ย.อยู่ที่ 106.89 ขยายตัว +0.72%YoY และ +0.03%MoM ส่งผลให้ Core CPI ช่วง 11 เดือนปี 59 (ม.ค.-พ.ย.59) +0.74%

สำหรับทั้งปี 59 ทางกระทรวงพาณิชย์คาดว่า CPI จะเติบโต 0-1.0% และปี 60 ขยายตัวที่ +1.5% ถึง +2.0% โดยมีสมมติฐานว่าเศรษฐกิจปี 60 ขยายตัว 3.0-3.5% การใช้จ่ายภาคครัวเรือน รายได้ภาคเกษตร และการลงทุนโครงการภาครัฐเพิ่มขึ้น, ราคาน้ำมันดิบขยับขึ้นสูงขึ้นจากอุปสงค์ที่เพิ่มตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก ขณะที่อุปทานเพิ่มไม่มาก และอัตราแลกเปลี่ยนอยู่ที่ 35.5-37.5 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ

          ความแห็นเชิงกลยุทธ์ Retail Research : เราคาดว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยจะทรงตัวต่ำต่อในปี 60 แม้ว่าอัตราเงินเฟ้อจะขยับขึ้นแต่ก็ยังไม่มาก โดยปัจจัยที่คาดว่าจะมีผลต่ออัตราเงินเฟ้อมากคือราคาน้ำมัน ส่วนอุปสงค์ยังไม่เป็นแรงกดดันนักเพราะการบริโภคและการลงทุนในประเทศน่าจะฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป ขณะที่อัตราค่าแรงขั้นต่ำก็ปรับขึ้นไม่มาก

          หุ้นที่อิงกับอุปสงค์ในประเทศที่คาดว่าจะมีกำไรสุทธิเติบโตดีในปี 60 คือ กลุ่มค้าปลีก (นำโดย CPALL) ,  กลุ่มไฟแนนซ์ (นำโดย GL, MTLS), กลุ่มโรงพยาบาล (นำโดย CHG, LPH), กลุ่มสื่อ (นำโดย WORK), กลุ่มที่พักอาศัย (นำโดย ANAN, AP) และกลุ่มท่องเที่ยว (นำโดย ERW)

          นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค - [email protected]

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!