WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

ASP copyบล.เอเซียพลัส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน



กลยุทธ์การลงทุน
      ข้อตกลงในการปรับลดกำลังการผลิตของ OPEC น่าจะส่งผลบวกต่อราคาหุ้นพลังงาน ซึ่งนักวิเคราะห์ได้ปรับเพิ่มน้ำหนักเป็น มากกว่าตลาด และเลือกหุ้น PTTEP (FV@B 102) เป็น Top Pick ควบคู่ไปกับ GFPT (FV@B 19) ที่ได้แรงหนุนจากราคาไก่ที่ปรับขึ้น ส่วนภาพรวมตลาดยังคงมีแรงกดดันจาก Fund Flow ทีไหลออกทำให้ Upside มีอยู่อย่างจำกัด

(+) ผลประชุม OPEC ตัดลดกำลังการผลิต ดีต่อกลุ่มพลังงาน เพิ่มน้ำหนักเป็น มากกว่าตลาดฯ
ผลการประชุม OPEC วานนี้มีมติลดกำลังการผลิตของกลุ่มลง 1.2 ล้านบาร์เรลต่อวัน เหลือ 32.5 ล้านบาร์เรลต่อวัน (ยกเว้น ไนจีเรีย และ ลิเบีย ขณะอิหร่านจะสามารถผลิตได้ต่อจนถึงระดับก่อนถูกคว่ำบาตรที่ 3.9 ล้านบาร์เรล) เป็นไปตามการประชุมอย่างไม่เป็นทางการในเดือน ก.ย. ที่ผ่านมา โดยจะมีผลในเดือน ม.ค. ปี 2560 ถือเป็นการปรับลดครั้งแรกในรอบ 8 ปี โดย ผู้ผลิตอันดับ 1 และ 2 คือ ซาอุดิอาระเบียและ อิรัก จะลดกำลังผลิตลงราว 4.6% จากกำลังผลิตเดือน ต.ค. เหลือ 10.14 และ 4.27 ล้านบาร์เรล ด้านผู้ผลิตนอกกลุ่ม OPEC ก็มีการตกลงลดกำลังผลิตรวม 6 แสนบาร์เรลต่อวัน (ซึ่งในเบื้องต้นรัสเซียจะลด 3 แสนบาร์เรล) เหนือความคาดหมายจากก่อนหน้านี้ที่ออกมาตกลงเพียงคงกำลังการผลิตเพียงเท่านั้น ขณะที่รายงานสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐสิ้นสุดสัปดาห์ (25 ต.ค.) รายงานลดลง 0.9 ล้านบาร์เรลติดต่อกันเป็นสัปดาห์ที่สอง สวนทางกับน้ำมันสำเร็จรูปทั้งเบนซินและดีเซลเพิ่มขึ้น 2.1 และ 5 ล้านบาร์เรล แต่โดยรวมยังถือเป็นประเด็นบวกหนุนราคาน้ำมันนอกเหนือจากผลการประชุม

     ทั้งนี้ จากผลการประชุมของกลุ่ม OPEC นั้น น่าจะทำให้ปัญหา Over Supply ผ่อนคลายลง สนับสนุนคาดการณ์กำลังผลิตน้ำมันส่วนเกินของโลกที่จะสมดุลได้ใน 2H60 (ประเมินโดย EIA) ซึ่งเป็นการหนุนให้ราคาน้ำมันแกว่งตัว ระดับ 45- 50 เหรียญฯต่อบาร์เรล เป็นไปตามสมมติฐานราคาน้ำมันดิบดูไบที่นักวิเคราะห์ ASPS ใ ช้ในการทำประมาณการปี 2559 ที่ 45 เหรียญฯต่อบาร์เรล และ และมีโอกาสขึ้นไปยืนเหนือ 50 เหรียญฯในปี 2560 (สอดคล้องกับสมมุติฐาน ปี 60 ที่ 55 เหรียญฯ ) ทำให้วันนี้นักวิเคราะห์กลุ่มพลังงาน ASPS ปรับน้ำหนักการลงทุนของกลุ่มพลังงานทั้งปิโตรเลียมและถ่านหิน จาก “เท่ากับตลาด” เป็น “น้ำหนักมากว่าตลาด” (Overweight) (ติดตามได้ใน Equity Talk กลุ่มพลังงานวันนี้) ซึ่งน่าจะสร้าง Sentiment เชิงบวกให้กับกลุ่ม จึงแนะนำซื้อ PTT(FV@B400) upside 14.6% และ PTTEP(FV@B102) upside 23.64% รวมถึง BANPU(FV@B24) upside 28.3%

 

(0) ดัชนีชี้นำเศรษฐกิจสหรัฐอออกมาดี ยืนยัน Fed ขึ้นดอกเบี้ย ธ.ค. แต่ตลาดรับรู้แล้ว
โอกาสการขึ้นดอกเบี้ยของกลางสหรัฐ (Fed) ค่อนข้างแน่ชัดแล้วว่าจะเกิดขึ้นในการประชุมรอบปลายปี 13-14 ธ.ค. หลังจากดัชนีชี้นำเศรษฐกิจสหรัฐ มีพัฒนาการเชิงบวกต่อเนื่อง ล่าสุด ตลาดแรงงาน คือ ยอดการจ้างงานภาคเอกชน (ADP Employment) เดือน พ.ย. เพิ่มขึ้น 46%mom อยู่ที่ 2.16 แสนราย (ผลจากแรงงานภาคบริการเพิ่มขึ้น 2.28 ราย) หนุนดัชนีฝั่งผู้บริโภคดีขึ้นต่อเนื่องนำโดย รายได้ครัวเรือน (Personal income) เพิ่มขึ้น 0.6%yoy (ติดต่อกัน 4 เดือนและสูงสุดในรอบ 1 ปี) หนุนยอดค้าปลีก (retail sale) เพิ่มขึ้นสูงสุดในรอบเกือบ 3 เดือน ขณะที่ยอดขายบ้านมือสอง เพิ่มขึ้นสูงสุดในรอบ 10 ปี เช่นเดียวกับภาคการผลิต พบว่า คำสั่งซื้อสินค้าคงทน เพิ่มขึ้น 3 เดือนติดต่อกันและเพิ่มสูงสุดในรอบ 1 ปี และเงินเฟ้อที่สูงขึ้น 1.6% จนทำให้ช่องว่างระหว่างดอกเบี้ยนโยบาย และเงินเฟ้อ ติดลบมากขึ้น สนับสนุนให้ Fed ปรับขึ้นดอกเบี้ยในการประชุม 13-14ธ.ค. นี้อย่างน้อย 0.25% และจะเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 1% ในปี 2560 หากดัชนีชี้นำเศรษฐกิจยังฟื้นตัวต่อเนื่อง โดยไม่สะดุดจากปัจจุบันแวดล้อมที่อาจจะเกิดขึ้น เช่น ผลกระทบของ Brexit อาจจะแรงกว่าคาด และนโยบายกีดกันทางการค้าและการจัดการกับแรงงานเถื่อน การลดภาษีบุคคลธรรมดาของสหรัฐเหลือ 12 – 33% (3 ขั้น) จากเดิม 10 – 39.6% (7ขั้น) ลดภาษีนิติบุคคลเหลือ 15% จาก 35% ของรัฐบาลภายใต้การนำของนายโดนัล ทรัมป์ฯ ล้วนหนุนความเชื่อมั่นต่อตลาดหุ้นสหรัฐ ขณะที่ค่าเงิน Dollar ยังมีทิศทางแข็งค่า 4.63%mtd ล่าสุด 101.5 จุด ส่งผลให้ค่าเงินในภูมิภาคมีทิศทางอ่อนค่านำโดยริงกิตอ่อนค่าสูงสุด 7.3% mtd รองลงมา รูเปียะห์ 4% mtd เปโซ 3.8% mtd เงินบาทอ่อนค่าน้อยสุด 2.6%mtd

 

(-) เดือน ธ.ค. คาดต่างชาติยังมีโอกาสขายหุ้นไทยต่อเนื่อง
วานนี้ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์หยุดทำการ เนื่องจากเป็นวันหยุด แต่ตลาดหุ้นอื่นๆยังคงเปิดทำการเป็นปกติ โดยภาพรวมแล้วพบว่าต่างชาติยังคงซื้อสุทธิหุ้นในภูมิภาคเป็นวันที่ 4 ด้วยมูลค่าราว 79 ล้านเหรียญ โดยเป็นการซื้อสุทธิอยู่ 2 ประเทศ คือ เกาหลีใต้ถูกซื้อสุทธิราว 200 ล้านเหรียญ (ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 4) และไต้หวันอีก 18 ล้านเหรียญ (ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 4) ส่วนตลาดหุ้นในกลุ่ม TIP ยังคงถูกขายสุทธิ คือ อินโดนีเซียถูกขายสุทธิราว 79 ล้านเหรียญ (ขายสุทธิเป็นวันที่ 16) และไทย 59 ล้านเหรียญ หรือราว 2.1 พันล้านบาท (ขายสุทธิเป็นวันที่ 2) ต่างกับนักลงทุนสถาบันฯที่ซื้อสุทธิราว 585 ล้านบาท (หลังจากขายสุทธิ 3 วัน)
แนวโน้ม Fund Flow ในเดือน ธ.ค. คาดว่ายังอยู่ในทิศทางที่ไหลออก บนความคาดหมายว่า Fed จะเดินหน้าปรับขึ้นดอกเบี้ย เริ่มจาก ธ.ค. นี้เป็นต้นไป สอดคล้องกับสถิติย้อนหลัง 10 ปี ที่ต่างชาติมีโอกาสขายหุ้นไทยถึง 70% ในเดือนนี้ โดยขายสุทธิเฉลี่ยราว 9.9 พันล้านบาท

 

(+) Fund Flow ยังไหลออก แต่ผลกระทบต่อ SET Index จำกัด เน้นกลยุทธ์ Selective Buy
คาดว่าวันนี้ตลาดหุ้นไทยน่าจะได้แรงหนุนจากหุ้นในกลุ่มพลังงาน จาก sentiment เชิงบวกการประชุม OPEC วานนี้ที่บรรลุข้อตกลงในการตัดลดกำลังการผลิตได้ ดีต่อหุ้นผู้ผลิตน้ำมัน ทั้ง PTT และ PTTEP
อย่างไรก็ตาม ในเดือน ธ.ค. นี้ ตลาดหุ้นไทยยังคงมีแรงกดดันจากความเสี่ยงการไหลออกของกระแส Fund Flow จากนักลงทุนต่างชาติ หลังจากที่เคยซื้อสะสมสุทธิในตลาดหุ้นไทยสุงสุดเมื่อวันที่ 22 ก.ย. 2559 ที่ 1.36 แสนล้านบาท ก่อนที่จะทยอยขายออกมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ล่าสุดเหลืออยู่ที่ 7.7 หมื่นล้านบาท ซึ่งเหตุของการไหลออกก็มาจากหลายประเด็น ทั้งการขึ้นดอกเบี้ย Fed ในการประชุม 13-14 ธ.ค. ที่เป็นไปได้ค่อนข้างแน่นอน (โอกาส 100%) รวมทั้งแนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยในปี 2560 ที่น่าจะเร็วกว่าที่คาดจากเศรษฐกิจและเงินเฟ้อสหรัฐที่น่าจะขยับขึ้น (คาดการณ์ GDP Growth ปี 2559 และ 2560 โดย IMF เฉลี่ยที่ 1.6% และ 2% ตามลำดับ เทียบกับเงินเฟ้อเป้าหมาย 2%) ตามด้วยเงินดอลลาร์สหรัฐยังมีแนวโน้มแข็งค่าในระยะกลาง-ยาว จากแนวนโยบายเศรษฐกิจของโดนัลด์ ทรัมป์ ดึงดูดเงินไหลกลับเข้าประเทศ นอกจากนี้ จากสถิติย้อนหลัง 10 ปี นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิในตลาดหุ้นไทย เฉพาะในเดือน ธ.ค. ด้วยมูลค่าเฉลี่ยกว่า 9.8 พันล้านบาท ด้วยโอกาสถึง 70% (แต่หากนับเฉพาะปีที่ขาย จะมีมูลค่าสูงถึง 2.3 หมื่นล้านบาท)
แต่เชื่อว่าผลกระทบต่อ SET Index อันเนื่องมาจากแรงขายต่างชาติ ไม่น่าที่จะหนักหนารุนแรงมากนัก เพราะว่ายังมีแรงซื้อจากนักลงทุนสถาบันฯ ที่มักจะเข้ามาในช่วงปลายปี จากแรงหนุนของ LTF/RMF แม้ว่าอาจจะไม่หนาแน่นเท่าในอดีต ขณะที่ในเชิง Valuation ที่บริเวณ 1480 จุด เป็นจุดที่น่าสนใจในการเข้าซื้อ

กลยุทธ์การลงทุน จึงยังแนะนำ selective buy เลือกลงทุนรายหุ้นที่แนวโน้มผลประกอบการเติบโตโดเด่น ได้แก่
หุ้นที่ได้ประโยชน์จากการปรับขึ้นของราคาน้ำมัน : PTT (FV@B400) และ PTTEP (FV@B65)
หุ้นส่งออกที่ได้ sentiment เชิงบวก : GFPT(FV@B19) หลังจากเกิดไข้หวัดนกในประเทศญี่ปุ่น
หุ้นที่ได้ประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นการใช้จ่าย Domestic Consumption : BJC (FV@B64) HMPRO ([email protected]) รวมทั้งหุ้นเช่าซื้อ-ลิสซิ่ง THANI ([email protected]) SAWAD (FV@B57)
หุ้นที่ได้ประโยชน์จากโครงการก่อสร้างภาครัฐ CK ([email protected]) UNIQ (FV@B25)
หุ้นผลประกอบการเติบโตโดดเด่น 4Q59 WHA ([email protected])
หุ้นที่ได้ประโยชน์จาก Bond Yield ที่ปรับสูงขึ้น BLA (FV@B62)
หุ้นปันผลสูง ASK (FV@B27)
หุ้นเติบโตสูง FSMART (FV@B21)

ภรณี ทองเย็น เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004146
เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004132
พบชัย ภัทราวิชญ์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 052647
ภราดร เตียรณปราโมทย์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 075365
พาสุ ชัยหลีเจริญ ผู้ช่วยนักวิเคราะห์
ฐกฤต ชาติเชิดศักดิ์ ผู้ช่วยนักเศรษฐศาสตร์

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!