- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Wednesday, 30 November 2016 23:16
- Hits: 6545
บล.เอเซียพลัส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
กลยุทธ์การลงทุน
ตลาดยังคงถูกกดดันจากแนวโน้มราคาน้ำมันดิบที่แกว่งตัวลง จนกว่าจะทราบผลการประชุม OPEC วันนี้ ขณะที่ตลาดผิดหวังหุ้นค้าปลีกได้อานิสงส์จากมาตรการกระตุ้นท่องเที่ยวในประเทศเพิ่มเติมน้อยกว่าโรงแรม ซึ่งดีต่อ ERW(FV@B6) มากสุด เลือกเป็น Top pick และ GFPT(FV@B19) ได้ประโยชน์จากเหตุการณ์ไข้หวัดนกในญี่ปุ่น
(-) ดัชนีชี้นำเศรษฐกิจสหรัฐหนุนขึ้นดอกเบี้ยปี 2560 อย่างน้อย 1%
ดัชนีชี้นำเศรษฐกิจสหรัฐที่ฟื้นตัวต่อเนื่อง ล่าสุด ดัชนีความเชื่อมั่น เดือน พ.ย. เพิ่มขึ้น 8.6%mom อยู่ที่ระดับ 107.1 จุด (ระดับสูงสุดในรอบ 9 ปี ผลจากความเชื่อมั่นนโยบายเศรษฐกิจของว่าที่ ประธานาธิบดี นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประกอบกับใกล้ช่วงฉลองเทศกาลปลายปี) ขณะที่ก่อนหน้า ดัชนีฝั่งผู้บริโภคมีสัญญาณที่ดีขึ้นต่อเนื่อง นำโดยยอดค้าปลีก (retail sale) และยอดขายบ้านมือสอง เพิ่มขึ้นสูงสุดในรอบเกือบ 3 เดือน และ 10 ปี ตามลำดับ เช่นเดียวกับภาคการผลิต พบว่าคำสั่งซื้อสินค้าคงทน เพิ่มขึ้น 3 เดือนติดต่อกันและเพิ่มสูงสุดในรอบ 1 ปี หนุน GDP Growth งวด 4Q59 น่าจะ เติบโต 1.8% (9M59เฉลี่ย 1.5% ทั้งปี 1.6%) และเงินเฟ้อที่สูงขึ้น 1.6% จนทำให้ช่องว่างระหว่างดอกเบี้ยนโยบาย และเงินเฟ้อ ติดลบมากขึ้น สนับสนุนให้ธนาคารกลางสหรัฐปรับขึ้นดอกเบี้ยในการประชุม 13-14ธ.ค. นี้อย่างน้อย 0.25% และจะเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 1% ในปี 2560 หากดัชนีชี้นำเศรษฐกิจยังฟื้นตัวต่อเนื่อง โดยไม่สะดุดจากปัจจุบันแวดล้อมที่อาจจะเกิดขึ้น โดยไม่คาดหวัง เช่น ผลกระทบของ Brexit อาจจะแรงกว่าคาด และนโยบายกีดกันทางการค้าและการจัดการกับแรงงานเถื่อนของรัฐบาลภายใต้การนำของนายทรัมป์ฯ เท่ากับหนุนความเชื่อมั่นต่อตลาดหุ้นสหรัฐ
(0) ตลาดผิดคาด ครม. กระตุ้นธุรกิจโรงแรมเพิ่มเติม ไม่มีช๊อปช่วยชาติ
ขณะที่ตลาดหุ้นไทย อาจจะผิดหวังจาก มติ ครม. ที่อนุมัติให้เฉพาะภาคท่องเที่ยวกล่าวคือให้นำค่าใช้จ่ายจากการพักโรงแรมในประเทศมาหักค่าลดหย่อนได้เพิ่มขึ้นจากเดิม 15,000 บาท (ม.ค. – ธ.ค. 2559) เพิ่มอีก 15000 บาท (เฉพาะเดือน ธ.ค. 2559) รวมเป็น 30,000 บาท นับเป็นการกระตุ้นภาคท่องเที่ยวต่อเนื่องจากสัปดาห์ที่ผ่านมา ที่ให้ยกเว้นค่าธรรมเนียมวีซ่า 1 พันบาท (1ธ.ค.59- 28ก.พ.60) และขยายระยะเวลา Long Stay VISA เป็น 10 ปี (เดิมไม่เกิน 1 ปี) (อ่านรายละเอียด Market talk 22 พ.ย.59) ซึ่งถือว่าดีต่อธุรกิจโรงแรม โดยน่าจะเห็นผลกำไรที่ดีขึ้นในงวด 4Q59 ซึ่งถือเป็นฤดูกาลท่องเที่ยวอยู่แล้ว (ไตรมาส 4 และ ไตรมาส 1 ของทุกปี) นำโดย ERW(FV@B6) ซึ่งมีรายได้หลักมาจากธุรกิจโรงแรมทั้งหมด และในจำนวนนี้มาจากคนไทยราว 15% ของรายได้รวม รองลงมาคือ จีน 15% และ สหรัฐ 10% (ที่เหลือกระจายอีกเกือบ 10 สัญชาติ) โดยประเมินว่าปี 2559 กำไรสุทธิจะเติบโต58% (จากการรับรู้รายได้จากโรงแรมใหม่ “HOP INN” ที่เปิดให้บริการปี 2558 5 แห่ง และอีก 8 แห่ง ในปี 2559) และเติบโตอีก 31% ในปี 2560 ขณะที่ราคาหุ้นมี upside 28.67%
รองลงมาคือ CENTEL(FV@B47) ซึ่งมีโครงสร้างรายได้มาจากธุรกิจโรงแรม และอาหาร สัดส่วน 50%: 50% และ จากสัดส่วนรายได้ธุรกิจโรงแรมพบว่ามาจากสัญชาติไทย 14% (ที่เหลือมาจากเอเชีย 37% และ ยุโรป 31%) และประเมินว่าปี 2559 กำไรปกติจากการดำเนินงานลดลง 4% จากผลกระทบจากการยกเลิกกิจกรรม เพราะผลกระทบจากเศรษฐกิจในประเทศที่ชะลอตัว แต่จะกลับมาเป็นบวก 7.2% ในปี 2560 ขณะที่ราคาหุ้นมี upside 21.3%
และ MINT(FV@B46) ซึ่งมีโครงสร้างรายได้มาจากธุรกิจโรงแรม และอาหาร สัดส่วนใกล้เคียงกัน แต่ส่วนใหญ่ธุรกิจจะกระจุกตัวในต่างประเทศ แต่อย่างไรก็ตามหากยึดรายได้จากธุรกิจโรงแรมพบว่ามาจากคนไทยประมาณ 5% (ที่เหลือมาจากยุโรป 38% และเอเซีย 30%) โดยรวมทำให้กำไรจากการดำเนินปกติ หดตัว 3.4% (ปี 2558 รับรู้กำไรจากการขายอสังหาริมทรัพย์ในงวด 4Q58 คือ Anantara Layan)ในปีนี้ แต่จะกลับมาเติบโต 17% ในปี 2560 ขณะที่ราคาหุ้น upside 32.16%
(+) ผลตอบแทนพันธบัตรไทยกระเตื้อง..เงินไหลออก ดีต่อ BLA
ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล (Bond Yield) อายุ 10 ปี ในภูมิภาคเอเซียยังคงอยู่ในระดับสูง เป็นผลจากนักลงทุนยังมีการเทขายพันธบัตรอย่างต่อเนื่อง และกระแสเงินได้มีการไหลกลับไปยังสหรัฐ เนื่องจากความคาดหมายต่อมาตรการเศรษฐกิจของโดนัลด์ ทรัมป์ ที่น่าจะผลักดันให้เศรษฐกิจสหรัฐขยายตัวดีขึ้น และทำให้อัตราเงินเฟ้อปรับเพิ่มขึ้นตามไปด้วย โดยวานนี้ Bond Yield 10 ปี ของฟิลิปปินส์ อยู่ที่ 4.82% (ขยับขึ้นจาก 4.78% เมื่อ 24 พ.ย. ที่ผ่านมา) อินโดนีเซีย อยู่ที่ 8.33% (ขยับขึ้นจาก 8.20% เมื่อ 24 พ.ย. ที่ผ่านมา) มาเลเซีย อยู่ที่ 4.46% (ขยับขึ้นจาก 4.33% เมื่อ 24 พ.ย. ที่ผ่านมา) ขณะที่ Bond Yield พันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปี ของไทย ตั้งแต่ปลายสัปดาห์ที่ผ่านมายังทรงตัวได้ในระดับสูงบริเวณ 2.60–2.61% (ล่าสุดวานนี้อยู่ที่ 2.6081%) สวนทางกับผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐที่เริ่มปรับลดลงในทุกช่วงอายุ โดย Bond Yield สหรัฐ 10 ปี อยู่ที่ 2.29% ลดลงจาก 2.36% เมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา
ทั้งนี้การที่ Bond Yield ของไทยยังทรงตัวได้ในระดับสูง ส่งผลบวกต่อหุ้นในกลุ่มธุรกิจประกันชีวิต เนื่องจากทำให้ภาพระในการตั้งสำรองภาระหนี้สินจากสัญญาประกันชีวิตลดลง ผลักดันให้กำไรของกิจการสูงขึ้น หุ้นเด่นในกลุ่มฯ ได้แก่ BLA (FV@B 62) กล่าวคือ ทำให้ไม่ต้องเพิ่มการตั้งสำรองพิเศษ (LAT Reserve) อย่างที่เคยคาดการไว้ในช่วงที่ผ่านมา ขณะที่แนวโน้มการเติบโตของเบี้ยประกันภัยรับสุทธิงวด 4Q59 จะเป็นในทิศทางเร่งเมื่อเข้าสู่ฤดูกาล คาดผลการดำเนินงานปี 2559-60 จะเท่ากับ 9.8% yoy และ 37.6% yoy ตามลำดับ โดยคาดเบี้ยประกันภัยรับปีแรกในปี 2560 น่าจะกลับมาเติบโตสูงขึ้นจากปี 2559 และยังคงเน้นส่วนผสมของผลิตภัณฑ์ในทิศทางเดียวกับปี 2559 คือค่อนไปทางระยะยาวมากขึ้น เพื่อผลบวกต่อฐานเงินกองทุนในระยะยาว
(-) ราคาน้ำมันแกว่งตัว 40-45 เหรียญฯ หากไม่มีผลประชุม OPEC วันนี้
ก่อนที่จะมีการประกาศสต็อกน้ำมันดิบ พรุ่งนี้ ซึ่งตลาดคาดว่าน่าจะลดลงต่อเนื่องเป็นสัปดาห์ที่ 2 ประกอบกับ dollar index ชะลอการแข็งค่า (อ่อนค่าจาก 101.7 เมื่อปลายสัปดห์ที่ผ่านมาลงมาอยู่ 100.9 ) หลังจากแข็งค่าเกือบ 5% นับจากการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐเสร็จสิ้น
แต่อย่างไรก็ตาม ขึ้นกับผลการประชุม OPEC ในวันนี้ ซึ่งมีวาระสำคัญที่จะร่วมกันตัดลดกำลังการผลิตที่เกินความต้องการโลก โดยหากสามารถบรรลุตกลงได้เหมือนที่มีการคุยกันอย่างไม่เป็นทางการเมื่อปลายเดือน ก.ย. ที่ผ่านมา กล่าวคือ สามารถลดกำลังผลิตลง 2-7 แสนบาร์เรลต่อวัน ทำให้กำลังผลิตรวมลดลงมาอยู่ระดับ 32.5-33 ล้านบาร์เรล (รัสเซียผู้ผลิตรายใหญ่นอกกลุ่ม OPEC แสดงเจตจำนงที่จะร่วมมือในการลดกำลังการผลิตเช่นกัน) ก็น่าจะทำให้กำลังการผลิตน้ำมันส่วนเกินของโลกที่คาดว่าจะเข้าสู่ภาวะสมดุลในกลางปี 2560 น่าจะเป็นไปได้ (ประเมินโดย EIA) แต่หากไม่สามารถบรรลุข้อตกลง กำลังการผลิตส่วนเกินจะยิ่งอยู่นาน เป็นการกดดันราคาน้ำมันดิบโลกแกว่งตัวต่ำกว่า 45 เหรียญฯต่อบาร์เรล แต่น่าจะยืน 40 เหรียญฯ อีกครั้ง
หากพิจารณาสมมติฐานราคาน้ำมันดิบดูไบที่นักวิเคราะห์ ASPSใช้ในการทำประมาณการปี 2559 และ 2560 อยู่ที่ 45 เหรียญฯต่อบาร์เรล (เฉลี่ย 41 เหรียญฯ จากต้นปีจนถึงปัจจุบัน) และ 55 เหรียญฯ ตามลำดับ ซึ่งอาจจะทำให้มีความเสี่ยงที่ราคาน้ำมันดิบอาจจะไม่เป็นไปตามเป้าหมาย โดยทุก 5 เหรียญ ฯ ที่ต่ำกว่าสมมติฐาน นักวิเคราะห์ ASPS ประมินว่ากำไรของ PTTEP หายไปราว 7.8% จากประมาณการเดิม และของ PTT หายไป 2.8% ซึ่งน่าจะทำให้กำไรกลุ่มพลังงานหายไป ราว 5 พันล้านบาท น่าจะกระทบต่อกำไรตลาดไม่มากนัก
(-) ต่างชาติยังคงขายหุ้นไทยหนัก เช่นเดียวกับกลุ่ม TIP
วานนี้แม้ต่างชาติซื้อสุทธิหุ้นในภูมิภาคเป็นวันที่ 3 ด้วยมูลค่าราว 228 ล้านเหรียญ แต่แรงซื้อหลักๆยังคงอยู่ในตลาดหุ้นในแถบเอเชียตะวันออก โดยเฉพาะตลาดหุ้นเกาหลีใต้ถูกซื้อสุทธิสูงถึง 400 ล้านเหรียญ (ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 3) และไต้หวันอีก 4 ล้านเหรียญ (ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 3) ตรงข้ามกับตลาดหุ้นในกลุ่ม TIP ที่ยังคงถูกขายสุทธิต่อเนื่อง คือ อินโดนีเซียขายสุทธิราว 63 ล้านเหรียญ (ขายสุทธิเป็นวันที่ 15), ฟิลิปปินส์ 28 ล้านเหรียญ (ขายสุทธิเป็นวันที่ 8) และไทยที่ต่างชาติสลับมาขายสุทธิสูงถึง 85 ล้านเหรียญ หรือราว 3.0 พันล้านบาท (หลังจากซื้อสุทธิเล็กน้อยในวันก่อนหน้า) เช่นเดียวกับนักลงทุนสถาบันฯที่ขายสุทธิราว 374 ล้านบาท (ขายสุทธิเป็นวันที่ 3)
และหากมองย้อนกลับไปตั้งแต่ต้นเดือน ต.ค. จนถึงปัจจุบัน พบว่า ต่างชาติซื้อสุทธิหุ้นไทยเพียง 5 วันเท่านั้น และมียอดขายสุทธิสะสมรวมสูงถึง 5.29 หมื่นล้านบาท ส่งผลให้ยอดซื้อสุทธิสะสมตั้งแต่ต้นปี (ytd) ปรับตัวลดลงเรื่อยๆ จนล่าสุดเหลือเพียง 7.96 หมื่นล้านบาท (จากจุดสูงสุดที่ 1.36 แสนล้านบาท ณ วันที่ 22 ก.ย. 59) ซึ่งแรงขายน่าจะมีมาอย่างต่อเนื่อง ตราบที่ Fed ยังเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยในปี 2560 หลังจากขึ้นใน ธ.ค. นี้
(+) กลยุทธ์เลือกเป็นหุ้น : GFPT, ASK, BLA, ERW
ตลาดหุ้นยังอยู่ภายใต้อิทธิพล 1,500 จุด กลยุทธ์การลงทุน จึงยังแนะนำ selective buy เลือกลงทุนรายหุ้นที่แนวโน้มผลประกอบการเติบโตโดเด่น เช่น GFPT(FV@B19) น่าจะได้ประโยชน์หลังจากเกิดไข้หวัดนกในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งปัจจุบันนำเข้าผลิตภัณฑ์ไก่จากไทยคิดเป็น 50% ของยอกส่งออกทั้งประเทศ (ยุโรปราว40%) และ GFPT มีส่วนแบ่งในตลาดส่งออกญี่ปุ่นราว 13% เทียบกับ CPF มีส่วนแบ่ง 20% แต่ฐานกำไรสุทธิของ GFPT ที่เล็กกว่า CPF ทำให้ GFPT มีการเติบโตที่เด่นกว่า CPF ในปีนี้และปีหน้า (อ่านรายละเอียดใน Equity Talk วันนี้)
หุ้นที่ได้ประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นการใช้จ่าย Domestic Consumption : BJC (FV@B64) HMPRO ([email protected]) รวมทั้งหุ้นเช่าซื้อ-ลิสซิ่ง THANI ([email protected]) SAWAD (FV@B57)
หุ้นที่ได้ประโยชน์จากโครงการก่อสร้างภาครัฐ CK ([email protected]) UNIQ (FV@B25)
หุ้นผลประกอบการเติบโตโดดเด่น 4Q59 WHA ([email protected])
หุ้นที่ได้ประโยชน์จาก Bond Yield ที่ปรับสูงขึ้น BLA (FV@B62)
หุ้นปันผลสูง ASK (FV@B27)
หุ้นเติบโตสูง FSMART (FV@B21)
ภรณี ทองเย็น เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004146
เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004132
พบชัย ภัทราวิชญ์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 052647
ภราดร เตียรณปราโมทย์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 075365
พาสุ ชัยหลีเจริญ ผู้ช่วยนักวิเคราะห์
ฐกฤต ชาติเชิดศักดิ์ ผู้ช่วยนักเศรษฐศาสตร์