- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Monday, 28 November 2016 16:25
- Hits: 2068
บล.ฟินันเซีย ไซรัส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
Today’s Report : PDG, K
Our Portfolio Nov 2016 : BEM, EKH, KTC, PDG, ROBINS
SET อาจจะผันผวน แต่ก็ลุ้นไต่ระดับขึ้นต่อได้ จึงเลือกซื้อลบแล้วถือต่อ
ตลาดหุ้นวานนี้ : SET รีบาวด์กลับมาแกว่งบวกอีกครั้งเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาหลังปรับพักตัวย้อนลบไปบ้างเมื่อวันก่อนหน้า โดยได้รับแรงหนุนจากการแข็งค่าของเงินบาท และการขยับขึ้นของตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชีย นอกจากนี้ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่ยังแกว่งทรงตัวได้ดี ก็มีส่วนช่วยให้ยังมีหุ้นกลุ่มพลังงานช่วยพยุงตลาด แต่ SET ยังมีจังหวะผันผวนในระหว่างวัน เนื่องจากนักลงทุนยังรอดูความชัดเจนจากการประชุมโอเปกในช่วงกลางสัปดาห์นี้อีกครั้งแนวโน้มตลาดวันนี้ : ถึงแม้ว่าตลาดหุ้นสหรัฐและยุโรปส่วนใหญ่ยังปิดบวกได้จากแรงซื้อเก็งกำไรในหุ้นกลุ่มค้าปลีกที่คาดว่าจะได้ประโยชน์จากยอดขายที่พุ่งขึ้นในวัน Black Friday (25 พ.ย.) ซึ่งเป็นวันลดราคาสินค้าครั้งใหญ่ประจำปี ก่อนถึงเทศกาลคริสต์มาส แต่ไม่ได้ช่วยหนุนบรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นเอเชียเช้านี้มากนัก หลังราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกกลับมาร่วงลงเกือบ 4% จากความกังวลว่ากลุ่มโอเปกจะไม่สามารถบรรลุข้อตกลงที่จะปรับลดการผลิตในการประชุมวันพุธที่ 30 พ.ย.นี้ เนื่องจากซาอุดิอาระเบียประกาศถอนตัวจากการประชุมกับกลุ่มนอกโอเปกที่จะมีขึ้นในวันนี้(28 พ.ย.) ทำให้FSS คาดว่า SET อาจจะแกว่งผันผวนและย้อนลบได้ แต่เชื่อว่ากรอบลบยังจำกัด และมีลุ้นแกว่งไต่ระดับขึ้นต่อตามคาดเดิมได้ในช่วงถัดไป
กลยุทธ์ : ยังน่าสนใจเลือกหุ้นซื้อช่วงลบ แล้วเน้นถือเพื่อรอขายสูงต่อไป
แนวรับ 1497-1495 , 1493-1490 จุด
แนวต้าน 1505-1510 , 1514-1520 จุด
หุ้นเด่นทางเทคนิค : ERW , RS , CBG(short)
Fund Flow เมื่อวันศุกร์กระแสเงินทุนไหลออกจากภูมิภาคเล็กน้อย US$9ล้านอินโดนีเซียมีเงินทุนไหลออกมากที่สุด US$46ล้าน ตามด้วยไทย US$15ล้าน และเวียดนาม US$13ล้าน ขณะที่ไหลเข้าเกาหลีใต้ US$53ล้าน และไต้หวัน US$16ล้าน แนวโน้มกระแสเงินทุนมีทิศทางผันผวนตลาดขาดปัจจัยใหม่ ยังรอผลการประชุมธนาคารกลางสหรัฐเพื่อประเมินทิศทางอัตราดอกเบี้ยในระยะถัดไป
ข่าว/หุ้นเด่นมีประเด็น
• (+) ความเสี่ยงในต่างประเทศยังมีแต่กลุ่ม Domestic จะประคองตลาดได้ ปัจจัยต่างประเทศยังถ่วงตลาดสัปดาห์นี้ การรายงาน GDP 3Q16 (ครั้งที่ 2) ของสหรัฐซึ่งมีแนวโน้มดี บวกกับการลงประชามติร่างรธน.ของอิตาลีและการเลือกตั้งปธน.ออสเตรีย 4ธ.ค. จะทำให้การแข็งค่าของดอลลาร์เร่งตัวขึ้น เร่งให้เงินไหลออกจากเอเชีย ขณะที่MSCI Reshuffle พุธนี้จะทำให้หุ้นที่ถูก add ในดัชนีถูก take profit แรงซื้อของกองทุนในประเทศอาจชะลอจากสัปดาห์ก่อนที่เพิ่งเปิดกอง LTF ใหม่ แต่กลุ่มที่ได้มาตรการรัฐหนุนเช่นค้าปลีกและท่องเที่ยวจะยังแกร่ง การประชุมครม. 1-2 สัปดาห์นี้ยังจะมีมาตรการกระตุ้นการบริโภคเพิ่ม ส่วนการประชุม OPEC แม้จะตกลงกันได้และทำให้ราคาน้ำมันขึ้นแต่มักไม่ค่อยมีผลกับกลุ่มพลังงาน แนะนำ ROBINS, GLOBAL, HMPRO, BIGC, BIG,BEAUTY, KAMART, MTLS, AOT, MINT
• (+) PDG แนวโน้มกำไร 4Q16 จะทำ new high จากยอดขายขวดน้ำมันพืชที่เพิ่มขึ้นตาม high season และการเพิ่มสต็อกของ TVO ขณะที่ยอดขายขวดน้ำดื่ม แม้จะเป็น Lowseason แต่ก็ดีกว่าทุกปีเพราะเพิ่งได้ลูกค้ารายใหม่อีก 1 ราย (ประมาณ 7% ของรายได้ขวดน้ำดื่ม) ทำให้คาดว่ากำลังการผลิตจะเพิ่มขึ้นเป็น 72% จาก 68% ใน 3Q16 ส่วนปี2017-19 เราคาดกำไรสุทธิโตเฉลี่ย 6% ต่อปีตามการเติบโตของอุตสาหกรรม และมีโครงการขยายธุรกิจไปผลิตหลอดพรีฟอร์มที่มีการแข่งขันต่ำ คาดก่อสร้างโรงงาน 1Q17เริ่มรับรู้รายได้ 4Q17 ราคาหุ้นปัจจุบันคิดเป็น 2017PE เพียง 11 เท่าและคาดให้Dividend yield 5-6% เราแนะนำซื้อ ราคาพื้นฐานปีหน้า 5.30 บาท
• (+) K เราปรับราคาพื้นฐานปีหน้าลงเป็น 7.30 บาทจาก 7.90 บาทเพราะอัตรากำไรขั้นต้นที่น้อยกว่าคาด แต่ยังแนะนำซื้อเพราะผลประกอบการผ่านจุดต่ำสุดแล้วใน 3Q16กำไรจะดีขึ้นใน 4Q16 เพราะงานที่เลื่อนมาจาก 3Q16 ส่วนปี 2017 จะโดดเด่นขึ้น เราคาด +23% เพราะการเปิดห้างใหม่ๆเพิ่มขึ้น 20-25% ต่อปี และการรับงานตกแต่งโรงแรมและออฟฟิศมากขึ้น รวมถึงลดค่าใช้จ่าย ปัจจุบันมี 2017PE 16 เท่าหรือ PEG 0.6เท่า ต่ำกว่ากลุ่มที่มี PE 25 เท่า แนะนำซื้อ
• (0) MAKRO เราคาดกำไร 4Q16 ยังโตได้แม้บรรยากาศการจับจ่ายจะไม่สดใสนักเพราะเปิดสาขาใหม่ถึง 7 แห่ง ส่วนปีหน้าคาดว่าจะเปิดสาขาน้อยลงเหลือ 7-8 แห่งเพราะเร่งเปิดไปมากแล้วในปีนี้ สำหรับการซื้อหุ้น 80% ใน Indoguna ซึ่งจัดหาอาหารให้โรงแรมและภัตตาคาร คาดการเข้าซื้อแล้วเสร็จต้นปีหน้า เราคาดกำไรปีนี้ +1% ปีหน้า +18%คงราคาพื้นฐาน 38 บาทแนะนำถือเพราะ upside จำกัด
• หุ้นที่ถูกเพิ่มในดัชนี MSCI มีผล 30 พ.ย. นี้ หุ้นขนาดใหญ่มี BJC และ KCE ส่วนหุ้นSmall cap. มี COM7, MALEE, TKN, TFG
ปัจจัยที่ต้องติดตาม
28 พ.ย. - ไทย: ดุลการค้า (ต.ค.), ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (ต.ค.), HREIT เข้าเท
รด (ราคา IPO 10 บาท/หน่วย)
29 พ.ย. - ไทย: TNR เข้าเทรด (ราคา IPO 16 บาท)
- สหรัฐ: 3Q16 GDP (ครั้งที่ 2; ตลาดคาด +3% annualized)
- ยูโรโซน: ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคและภาคธุรกิจ (พ.ย.)
30 พ.ย. - การประชุม OPEC
- ไทย: ธปท.รายงานภาวะเศรษฐกิจเดือน ต.ค.
- อินเดีย: 3Q16 GDP
1 ธ.ค. - ไทย: ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคและภาคธุรกิจ (พ.ย.), อัตราเงินเฟ้อ(พ.ย.)
- จีน: Manufacturing & Non-manufacturing PMI (พ.ย.)
- สหรัฐ: Fed Beige Book, ISM Manufacturing (พ.ย.)
- ยูโรโซน: Markit Eurozone Manufacturing PMI (พ.ย.)
(+) ตลาดหุ้นสหรัฐฯเมื่อคืนวันศุกร์ปิดบวกและทำจุดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ต่อเนื่อง ขณะที่นักลงทุนจับตาดูหุ้นในกลุ่มค้าปลีกจากอานิสงส์ของ Black Friday
(0) ด้านตลาดหุ้นยุโรปเมื่อคืนวันศุกร์ยังปิดในแดนบวกได้เล็กน้อยท่ามกลางการซื้อขายที่เบาบาง จากผลของเทศกาลขอบคุณพระเจ้าในสหรัฐฯ
(0) ขณะที่ตลาดหุ้นเอเชียเช้านี้ปรับตัวผสม โดยตลาดหุ้นญี่ปุ่นถูกกดดันจากค่าเงินเยนที่แข็งค่า
(+) ค่าเงินบาทเริ่มมีจังหวะแข็งค่าขึ้น ล่าสุดเคลื่อนไหวในกรอบ35.50-35.60 บาท/ดอลลาร์
(-) ราคาน้ำมันดิบ NYMEX ส่งมอบเดือน ม.ค. ร่วงลง 1.90 ดอลลาร์/บาร์เรล มาอยู่ที่ 46.06 ดอลลาร์/บาร์เรล โดยนักลงทุนลดความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนของการประชุม OPEC ในช่วงกลางสัปดาห์ว่าจะสามารถบรรลุข้อตกลงได้หรือไม่
ราคาทองคำ COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค. ร่วงลง 10.90 ดอลลาร์/ออนซ์ มาอยู่ที่ 1,178.40 ดอลลาร์/ออนซ์ ลดลงต่ำสุดในรอบกว่า 9เดือน โดยนักลงทุนยังตอบรับกับกระแสการขึ้นดอกเบี้ยของ FED ในเดือนหน้าที่คาดว่าจะเกิดขึ้นค่อนข้างแน่
Contact person : Somchai Anektaweepon Register : 002265
Tel: 02-646-9967, 02-646-9852 www.fnsyrus.com
FB: Finansia Syrus Research, IG: fss_research