- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Friday, 25 November 2016 17:25
- Hits: 1990
บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
ตลาดหุ้นไทยวานนี้
SET INDEX วานนี้แกว่งในกรอบระหว่าง 1,490-1,500 จุด หุ้นหลักที่ขยับขึ้นเด่นก่อนหน้าไม่ว่าจะเป็น PTT / SCB/ SCC เผชิญกับแรงขายทำกำไร อีกทั้งบรรยากาศรอบเอเชียเกิดแรงขายทำกำไรเช่นกัน ปิด ณ สิ้นวัน SET INDEX ลบ 6.25 จุด มาอยู่ที่ 1,490.11 จุด มูลค่าการซื้อขาย 33,752 ล้านบาท
ต่างชาติขายสุทธิตลาดหุ้นไทยเป็นวันที่ 24 เร่งขึ้นเป็น 1,316 ล้านบาท กลับมา Short สุทธิใน SET50 Index Futures เป็นวันแรกในรอบ 4 วันทำการ 5,064 สัญญา และกลับมาซื้อสุทธิตลาดตราสารหนี้เป็นวันแรกในรอบ 11 วันทำการ 2,198 ล้านบาท
ปัจจัยสำคัญวันนี้
ต่างชาติเริ่มกลับมาซื้อสุทธิตลาดตราสารหนี้ไทยอีกครั้ง
ครม.เตรียมพิจารณาโครงการช็อปช่วยชาติใน 1-2 สัปดาห์นี้
ปัจจัยสำคัญสัปดาห์หน้า
ติดตามการประชุมสนช.นัดพิเศษ บ่ายวันที่ 29 พ.ย.
ติดตามรายงานเศรษฐกิจไทยเดือนต.ค. วันที่ 30 พ.ย.
ติดตามการประชุมโอเปก วันที่ 30 พ.ย.
การปรับดัชนี MSCI Thailand ณ ราคาปิดวันที่ 30 พ.ย.
มุมมองต่อตลาดวันนี้: กลาง - Sideways (วันที่ 14)
บรรยากาศการซื้อขายวันสุดท้ายของสัปดาห์ เราคาดว่า SET INDEX จะยังแกว่งในกรอบแคบระหว่าง 1,485-1,495 จุด มูลค่าการซื้อขายเบาบาง 3.0-4.0 หมื่นล้านบาท/วัน เพราะขาดปัจจัยบวกใหม่เข้าหนุนการลงทุนในวันนี้ อีกทั้งปัจจัยสำคัญที่จะกำหนดทิศทางตลาดหุ้นไทยตกอยู่ในวันที่ 30 พ.ย. แทบทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็น
การประชุมโอเปก ซึ่งจะมีผลต่อทิศทางราคาน้ำมันดิบ และกลุ่มพลังงาน /ปิโตรเคมี
ตัวเลขเศรษฐกิจไทยเดือนต.ค. นักลงทุนสถาบันทั้งในและต่างประเทศต่างรอดูตัวเลขกำลังซื้อภายในประเทศจะชะลอตัวลงมากน้อยเพียงใด กับเหตุการณ์ถวางอาลัยในช่วงครึ่งหลังของเดือนต.ค.
และการปรับดัชนี MSCI Thailand ณ ราคาปิดวันที่ 30 พ.ย.
ดังนั้นนักลงทุนที่มีพอร์ตสะสมมาก่อนหน้านี้ย่อมถือข้ามสัปดาห์ เพื่อรอความชัดเจนของประเด็นข้างต้น แต่หากจะเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในวันนี้ ก็อาจจะเป็นไปอย่างจำกัดเช่นกัน ทำให้ SET INDEX แกว่งในกรอบแคบ
กลยุทธ์การลงทุนโดยรวม เรายังคงแนะนำ "ถือพอร์ตเพื่อรอขายทำกำไรบริเวณ 1,520 จุด +/-" ทั้งนี้อาจสะสมหุ้นเป้าหมายเพิ่มเติม หาก SET INDEX ย่อตัวลงสู่แนว 1,480-1,485 จุด
Strategy of the Day
1. สะสม IRPC : ราคาปิด 4.80 บาท ราคาเหมาะสม 5.70 บาท
a) MBKET คาดว่าหุ้นกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี จะมี Momentum บวก เพื่อเก็งกำไรการประชุม OPEC ในสัปดาห์หน้า หาก OPEC มีมติลดกำลังการผลิตลง เชื่อว่าจะส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบ NYMEX ปรับตัวขึ้นทะลุผ่าน US$50.00/barrel
b) คาดกำไรจากกการดำเนินงานปกติ 4Q59 จะเติบโต qoq เนื่องจากเป็นไตรมาสแรกที่โครงการ UHV เดือนเครื่องเต็มที่ 100% ซึ่งจะช่วยหนุน GIM ให้ปรับตัวขึ้น นอกจากนั้น คาดว่าจะได้ข้อสรุปค่าปรับงานล่าช้าภายในปีนี้ และบันทึกเป็นกำไรพิเศษใน 1Q60
c) คงมุมมองเชิงบวกต่อผลประกอบการปี 2560 ที่คาดว่ากำไรสุทธิจะเติบโต +10% yoy เป็น 11,412 ล้านบาท จากการรับรู้รายได้โครงการ UHV เต็มปี และมี Upside Risk จาก Stock Gain เนื่องจากเชื่อว่าราคาน้ำมันดิบเฉลี่ยในปี 2560 จะเพิ่มสูงขึ้นจากปี 2559 นอกจากนั้น ยังมีจุดเด่นที่จ่ายเงินปันผลปีละ 1 ครั้ง จึงให้ผลตอบแทนจากจากเงินปันผลปี 2559 สูงถึง 4.8%
2. เก็งกำไร TPOLY : ราคาปิด 3.60 บาท เป้าหมายทางเทคนิค 4.00 บาท
a) MBKET คาดว่าหุ้นขนาดกลาง-เล็ก จะเคลื่อนไหวได้ดีกว่าตลาด เนื่องจากภาพรวมตลาดจะแกว่งตัวในกรอบแคบ เพราะเป็นวันสุดท้ายของสัปดาห์ และรอปัจจัยใหม่ในการลงทุนในสัปดาห์หน้า เช่น การประชุม OPEC และการปรับน้ำหนักดัชนี MSCI
b) ประเด็นลงทุนในหุ้น TPOLY อยู่ที่มูลค่า NAV จากการถือหุ้น TPCH สัดส่วน 41.2% หากอิงราคาตลาดของ TPCH วานนี้ที่ 17.70 บาท จะเทียบเท่า NAV ต่อหุ้น TPOLY หุ้นละ 5.20 บาท หากให้ Discount 20% จาก NAV จะได้มูลค่าต่อหุ้น TPOLY ราว 4.10 บาท
c) สัญญาณทางเทคนิคจะเป็นบวกหากปรับตัวผ่านบริเวณ 3.80 บาทได้ จะมีโอกาสขึ้นทดสอบบริเวณ 4.00 บาท
d) TPOLY ไม่ได้อยู่ใน Coverage ของเรา จึงเป็นคำแนะนำเพื่อเป็น Trading Idea เท่านั้น
Fund Flow Analysis
Fund Flow in Emerging Markets
กลับมาขายสุทธิเป็นวันแรกในรอบ 3 วันทำการ US$339 ล้าน จากวันก่อนหน้าซื้อสุทธิ US$60 ล้าน
และเป็นการกลับมาขายสุทธิทุกตลาดอีกครั้ง
Foreign Investors Action วานนี้
ต่างชาติลดน้ำหนักตลาดหุ้นไทยเป็นวันที่ 24 สอดคล้องกับตลาดหุ้นอื่นๆ ใน TIP Markets
นักลงทุนต่างชาติ ยังคงขายสุทธิตลาดหุ้นไทยเป็นวันที่ 24 ขยับขึ้นเป็น 1,316 ล้านบาท รวม 24 วันทำการต่างชาติขายสุทธิ 38,319 ล้านบาท ส่งผลให้ YTD นักลงทุนกลุ่มนี้ซื้อสุทธิลดลงเป็น 83,088 ล้านบาท
ด้าน SET50 Index futures นักลงทุนกลุ่มนี้กลับมา Short สุทธิเป็นวันแรกในรอบ 4 วันทำการ 5,064 สัญญา คาดว่าเป็นการกลับมาเปิดสถานะ Short อีกครั้ง ส่งผลให้ QTD ใน 4Q59 นักลงทุนกลุ่มนี้มีสถานะ Short สุทธิขยับขึ้นเป็น 9,894 สัญญา และกดให้ S50Z16 ปิดต่ำกว่า SET50 Index เป็นวันที่ 17 เท่ากับ 2.13 จุด จากวันก่อนหน้า Discount เท่ากับ 1.60 จุด
อย่างไรก็ตามนักลงทุนกลุ่มนี้กลับมาซื้อสุทธิตลาดตราสารหนี้เป็นวันแรกในรอบ 11 วันทำการ 2,198 ล้านบาท เทียบกับ 10 วันทำการก่อนหน้าขายสุทธิ 84,371 ล้านบาท เทียบกับ 3 วันทำการก่อนหน้าซื้อสุทธิ 2,695 ล้านบาท เมื่อราคาพันธบัตรไทยแกว่งในกรอบแคบเป็นวันที่ 4 ผ่านผลตอบแทนพันธบัตรไทยอายุ 10 ปี เพิ่มขึ้น 0.54bps จากวันก่อนหน้าลดลง 1.30bps ปิดที่ 2.600%
Short-Selling วานนี้
เท่ากับ 489 ล้านบาท จากวันก่อนหน้า 774 ล้านบาท ด้วยจำนวนหุ้น 63 หลักทรัพย์ จากวันก่อนหน้า 51 หลักทรัพย์
NVDR Movement
NVDR ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 6 เป็นการปรับน้ำหนักระหว่างกลุ่มหลัก
การซื้อขายผ่าน NVDR วานนี้ซื้อสุทธิลดลงเหลือ 52 ล้านบาท จากวันก่อนหน้าซื้อสุทธิ 1,912 ล้านบาท รวม 6 วันทำการซื้อสุทธิ 4,715 ล้านบาท โดยเป็นการปรับน้ำหนักระหว่างกลุ่มหลัก ซื้อสุทธิกลุ่มปิโตรเคมี 188 ล้านบาท และกลุ่มวัสดุก่อสร้าง 123 ล้านบาท และขายสุทธิกลุ่มพลังงาน 221 ล้านบาท และกลุ่ม ICT 208 ล้านบาท
ประเด็นสำคัญด้านเศรษฐกิจ - การเงินรายภูมิภาค
สหรัฐอเมริกา
ไม่มี
ยุโรป
IEA คาดการณ์เงินลงทุนในธุรกิจน้ำมันจะลดลงเป็นปีที่ 3: IEA รายงานเงินลงทุนในธุรกิจน้ำมันลดลงตั้งแต่ปี 2558-2559 และมีความเป็นไปได้สูงที่จะลดลงต่อในปี 2560 เป็นปีที่ 3 ถือเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ธุรกิจน้ำมันกับเงินลงทุนที่ลดลงติดต่อกัน 3 ปี ด้านราคาน้ำมันดิบ หากราคาเข้าใกล้ระดับ US$60/barrel IEA คาดว่าผู้ผลิต Shale oil ในสหรัฐฯ จะกลับมาเร่งการผลิตภายใน 9-12 เดือน รวมถึงผู้ผลิตน้ำมันดิบที่มีต้นทุนสูงรายอื่นๆ ด้วยเช่นกัน
ECB เตือนตลาดต่อความเสี่ยงทางการเมือง: รายงานของ ECB เตือนว่า ความเสี่ยงที่จะส่งผลกระทบต่อตลาดทั่วโลกคือ ความเสี่ยงทางการเมือง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเลือกตั้งในหลายประเทศ ย่อมส่งผลกระทบต่อระบบสถาบันการเงิน และการเติบโตทางเศรษฐกิจ
ผู้ถือหุ้นธนาคาร Monte dei Paschi อนุมัติแผนเพิ่มทุน: การประชุมผู้ถือหุ้นของธนาคาร ได้อนุมัติการเพิ่มทุน 5.0 พันล้านยูโร ซึ่งเป็นการเพิ่มทุนครั้งที่ 3 ในรอบหลายปีของธนาคาร เป็นผลสืบเนื่องจากหนี้เสียที่เพิ่มขึ้น แม้ว่าจะได้มีการขายหนี้เสียออกไปบ้างแล้วก็ตาม รวมถึงการทดสอบ Stress Test ในเดือนก.ค. พบว่าธนาคารมีฐานะทุนที่อ่อนแอสุดในกลุ่มอียู ทั้งนี้แผนการเพิ่มทุนจะเริ่มขึ้นในช่วงวันที่ 7-8 ธ.ค. และสรุปก่อนคริสมาสต์
จีน
จีนวานแผนเน้นการเจรจาการค้าเพิ่มขึ้น ไม่ว่า TPP หรือ RCEP จะเกิดขึ้นหรือไม่: โฆษกกระทรวงพาณิชย์ของจีน ออกมายืนยันถึงแนวทางการปฎิรูปการค้าของจีนจะมุ่งเน้นการเจรจากับคู่ค้าแบบ Bilateral และ Multilateral เพื่อเป็นการเปิดตลาดใหม่ แม้ว่าจะมีความไม่แน่นอนใน TPP หรือ RCEP อย่างไรก็ตาม จีนจะผลักดันการเจรจา RECP ให้ได้ข้อสรุปในเร็วๆ นี้
ทางการจีนเริ่มเข้าไปตรวจสอบเหมืองถ่านหิน และโรงเหล็กที่ขยายกำลังการผลิตผิดกฎหมาย: ทางการจีนเตรียมส่งทีมตรวจสอบ เพื่อเข้าตรวจสอบเหมืองถ่านหินและบริษัทเหล็กที่ขยายกำลังการผลิตผิดกฎหมาย ตามแผนที่ประกาศไว้ในเดือนก.พ.คือ ทางการต้องการลดกำลังการผลิตเหมืองถ่านหิน 500 ล้านตัน และสินแร่เหล็ก 100-150 ล้านตันในช่วง 3-5 ปีข้างหน้า เพื่อลดระดับอุปทาน
เอเชียแปซิฟิก
อินเดียวางแผนขยายกำลังการผลิตโรงกลั่น US$5.5 พันล้าน ร่วมมือกับอิหร่าน: บริษัท Indian Oil Corp ประกาศแผนการลงทุนขยายกำลังการกลั่นน้ำมันเป็น 300,000 บาร์เรล/วัน ด้วยงบลงทุน US$5.5 พันล้าน และร่วมลงทุนกับอิหร่านในโครงการนี้ เพื่อให้สอดรับกับความต้องการใช้น้ำมันสำเร็จรูปภายในประเทศที่ขยายตัว
อัตราเงินเฟ้อญี่ปุ่นลดลงเป็นเดือนที่ 8: อัตราเงินเฟ้อที่แท้จริงเดือนต.ค. ลดลง 0.4% yoy เท่ากับ Reuters Poll เป็นการหดตัวเดือนที่ 8
ไทย
คลังเตรียมเสนอมาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายต่อครม.: กระทรวงการคลังเตรียมมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ให้กับประชนไว้แล้ว โดยจะเสนอให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาเห็นชอบ 1-2 สัปดาห์หน้า โดยมาตรการแรก จะเป็นการลดหย่อนภาษีจากการซื้อสินค้าและบริการ ที่เคยใช้เมื่อปีที่ผ่านมา แต่จะมีการทบทวนระยะเวลาของมาตรการให้นานขึ้น เพื่อให้มีผลในการขับเคลื่อนทั้งเศรษฐกิจปีนี้และปีหน้า สำหรับมาตรการเว้นภาษีสินค้าฟุ่มเฟือยเพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยว เป็นเรื่องที่ทำได้แต่ต้องมีระยะเวลาที่จำกัด
คลังคาดเศรษฐกิจไทยปีหน้าแตะระดับ 4.0-4.5%: นายสมชัย สัจจพงษ์ ปลัดกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า เศรษฐกิจไตรมาส 4 ปีนี้ค่อนข้างซบเซามีอัตราการขยายตัวต่ำกว่าช่วง 3 ไตรมาสที่ผ่านมา จึงเตรียมออกมาตรการเพื่อกระตุ้นการบริโภคในประเทศและการท่องเที่ยว ขณะที่การลงทุนของภาคเอกชน การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของรัฐบาลปีหน้าจะเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้ขยายตัวได้อย่างเต็มศักยภาพ โดยคาดว่าปีหน้าจีดีพีจะขยายตัวร้อยละ 4.0-4.5 ได้แน่นอน
Strategist Team
Mayuree Chowvikran, CISA Strategist / Analyst 662-6586300 x 1440
Padon Vannarat Equity Analyst 662-6586300 x 1450
Krittapol Itthithumsakul Assistant Analyst