WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

DBS copyบล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน

 

'เลือกซื้อค่าบวก/ถือเหนือ 1470'
     หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : BJCHI (จาก Fully Valued เป็น ขาย) / SIRI (จากถือเป็น Fully Valued)
     ปัจจัย&กลยุทธ์ทางปัจจัยพื้นฐาน : ตลาดหุ้นไทยเมื่อวานนี้รีบาวด์หลังร่วงแรง ปิดตลาดดัชนีเพิ่มขึ้น 7.23 จุดที่ 1476.46 โดยมีแรงซื้อกลับในหุ้นที่มีแนวโน้มกำไรปี 60 ดีที่ราคาอ่อนตัวลงมาแรง นักลงทุนสถาบันในประเทศขายสุทธิลดลงเหลือราว 400 ล้านบาท ใกล้เคียงกับการขายสุทธิของพอร์ตบล. ต่างชาติขายสุทธิอีก 2.7 พันล้านบาท ด้านรายย่อยเป็นกลุ่มเดียวที่ซื้อสุทธิ
      ดัชนีค่าเงินดอลลาร์เริ่มนิ่งขึ้นในระดับ 100 แต่ก็ควรระวังการอ่อนตัวหลังตอบรับข่าวบวกเกี่ยวกับแผนกระตุ้นเศรษฐกิจของทรัมป์ไปมากแล้ว ซึ่งหากค่าเงินดอลลาร์อ่อนลงก็จะเป็น Sentiment บวกกับราคาทองคำและตลาดหุ้นเกิดใหม่ ซึ่งเรายังคงเชื่อว่าผลประกอบการของตลาดหุ้นเกิดใหม่จะยังเติบโตได้ดีกว่าตลาดหุ้นพัฒนาแล้ว (ถ้าไม่รวมผลบวกจากการปรับลดภาษีภาคธุรกิจสหรัฐของทรัมป์) ส่วนในประเทศ ก็จบรายงานกำไร 3Q59 แล้วในเช้าวันนี้ ซึ่งกำไร 3Q59 ที่เติบโตกว่า 30%YoY แต่อ่อนลง 10% กว่าเมื่อเทียบ QoQ เป็นไปตามคาดของเรา ในช่วงนี้จะยังมีการซื้อหุ้นดีและขายหุ้นที่แย่กว่าคาด ซึ่งทำให้ตลาดมีโอกาสแกว่งตัวต่อ
กลยุทธ์ : เนื่องจาก SET Index ได้ทดสอบระดับแนวรับ 1460+/- และมีเด้งเมื่อวานนี้ ในวันนี้การซื้อเก็งกำไรใหม่จึงควรตามด้วยค่าบวกของราคาหุ้นและตลาด, ยังคงให้ถือหุ้นดีที่จ่ายปันผลสม่ำเสมอและทยอยสะสมหุ้นเติบโตแกร่งช่วงที่ราคาอ่อนตัว (ดูได้จากตารางด้านใน) ส่วนหุ้นแนะนำเชิงกลยุทธ์วันนี้เป็น TCAP

      การวิเคราะห์ทางเทคนิค : ระยะสั้นสัญญาณป็นบวกเล็กๆ และมีโอกาสรีบาวด์ต่อโดยมีภาพ Oversold ในกราฟรายนาทีช่วยหนุน แนวต้านระยะสั้นอยู่ที่ 1480-1490, 1500 จุด
สำหรับหุ้นที่มีสัญญาณเทคนิคดีมีโอกาสทำ New High คือ TFG, MTSL, VIH
หุ้นที่ยังอยู่ใน List เป็น BCP, WIIK, BH, TWPC
หุ้นที่หลุด List คือ TISCO, ORI และหุ้นที่ให้หาจังหวะ Take profit เป็น CBG
นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค - [email protected]

Need to know TODAY
ปัจจัยต่างประเทศ
+ เยอรมนี : ตลาดมองแนวโน้มเศรษฐกิจจะดีขึ้น
       ดัชนีคาดการณ์ภาวะเศรษฐกิจของเยอรมนีอยู่ที่ระดับ 13.8 จุดในเดือนพ.ย. จากระดับ 6.2 จุดในเดือนต.ค. แต่ดัชนีภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 58.8 ในเดือนพ.ย. ลดลงจากระดับ 59.5 ในเดือนต.ค. นักวิเคราะห์ระบุว่าดัชนีความเชื่อมั่นได้รับปัจจัยบวกจากตัวเลขเศรษฐกิจจีนและสหรัฐที่สดใส

+ สหรัฐ : ยอดค้าปลีกต.ค.ดีกว่าคาด & ดัชนีการผลิตพ.ย.เติบโตดีขึ้น
       # ยอดค้าปลีกเดือนต.ค. +0.8%MoM สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะ +0.6%MoM โดยได้รับแรงหนุนจากยอดขายรถยนต์ และวัสดุก่อสร้างสำหรับการซ่อมแซมบ้านเรือนที่ได้รับความเสียหายจากพายุเฮอร์ริเคนแมทธิว ด้านเฟดสาขาแอตแลนตา เปิดเผยว่าแบบจำลองการคาดการณ์ GDP Now แสดงให้เห็นว่า เศรษฐกิจสหรัฐมีแนวโน้มขยายตัว 3.3% ในไตรมาส 4 หลังการเปิดเผยยอดค้าปลีกที่แข็งแกร่ง
# ดัชนีภาคการผลิต (Empire State Index) มีการขยายตัว 1.5 จุดในเดือนพ.ย. หลังจากหดตัวติดต่อกัน 3 เดือน และจาก -6.8 ในเดือนต.ค. (ดัชนีที่อยู่ต่ำกว่าระดับ 0 บ่งชี้ภาวะหดตัว ขณะที่เหนือระดับ 0 บ่งชี้ถึงภาวะขยายตัว)

+ ดัชนีดาวโจนส์ปิดบวก 54.37 จุดรับราคาน้ำมันพุ่ง และข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐสดใส
     ดัชนี DJIA ปิดที่ 18,923.06 จุด เพิ่มขึ้น 54.37 จุด หรือ +0.29% ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 5,275.62 จุด เพิ่มขึ้น 57.22 จุด หรือ +1.10% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,180.39 จุด เพิ่มขึ้น 16.19 จุด หรือ +0.75% ปัจจัยหนุน คือ ตัวเลขภาคค้าปลีกและดัชนีการผลิตสหรัฐที่ออกมาสดใส รวมทั้งการพุ่งขึ้นของราคาน้ำมันดิบเกือบ 6%

+ ราคาน้ำมันดิบ : พุ่งขึ้นแรง
      สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนธ.ค.พุ่งขึ้น 2.49 ดอลลาร์ หรือ 5.8% ปิดที่ 45.81 ดอลลาร์/บาร์เรล ด้าน BRENT ส่งมอบเดือนม.ค.เพิ่มขึ้น 2.52 ดอลลาร์ หรือ 5.7% ปิดที่ 46.95 ดอลลาร์/บาร์เรล โดยตลาดประเมินว่ากลุ่มโอเปกจะสามารถบรรลุข้อตกลงลดกำลังการผลิตในการประชุม 30 พ.ย.นี้ หลังได้ตกลงกันในการประชุมนอกรอบที่ประเทศแอลจีเรียเมื่อวันที่ 28 ก.ย.59 ว่าจะปรับลดกำลังการผลิตสู่ระดับ 32.50-33.0 ล้านบาร์เรล/วัน โดยปัจจัยหนุน คือ รายงานที่ระบุว่าอิรักและอิหร่านกำลังพิจารณาการปรับลดกำลังการผลิตน้ำมัน และมีรายงานข่าวเกี่ยวกับการโจมตีท่อส่งน้ำมันในไนจีเรีย

ราคาทองคำ : ขยับขึ้นเล็กน้อย
        สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค.เพิ่มขึ้น 2.8 ดอลลาร์ หรือ 0.23% ปิดที่ระดับ 1,224.50 ดอลลาร์/ออนซ์ ทั้งนี้ดัชนีค่าเงินดอลลาร์เริ่มนิ่งขึ้นในระดับ 100 แต่ก็ควรระวังการอ่อนตัวหลังตอบรับข่าวบวกเกี่ยวกับแผนกระตุ้นเศรษฐกิจของทรัมป์ไปมากแล้ว

ปัจจัยในประเทศ & หุ้นเด่น
กำไร 3Q59 ของบจ. (ประมาณ 90% ของทั้งหมด) +244%YoY แต่ -13%QoQ
# สำหรับผลประกอบการ 3Q59 บริษัทจดทะเบียนเท่าที่ออกมาแล้วราว 90% พบว่ามีกำไรสุทธิ 2.1 แสนล้านบาท เติบโตก้าวกระโดด 244%YoY เป็นเพราะกลุ่มพลังงานที่พลิกจากขาดทุน 6.9 หมื่นล้านบาทใน 3Q58 เป็นกำไร 4.9 หมื่นล้านบาทใน 3Q59 กลุ่มปิโตรเคมีมีกำไรเพิ่มจาก 3.6 พันล้านบาทเป็น 1.2 หมื่นล้านบาท (+238%YoY) และกลุ่มขนส่งขาดทุนลดลงจาก 6.2 พันล้านบาทใน 3Q58 เป็นขาดทุน 168 ล้านบาทในไตรมาสนี้ ทั้งนี้กำไรของทั้ง 3 กลุ่ม (พลังงาน & ปิโตรเคมี & ขนส่ง) คิดเป็น 29% ของกำไรบจ.ทั้งหมดใน SET & MAI
# ส่วนกลุ่มที่มีกำไรสุทธิ 3Q59 ลดลงทั้ง YoY และ QoQ คือ ธุรกิจเกษตร, รับเหมาก่อสร้าง, วัสดุก่อสร้าง, สื่อและบันเทิง, กระดาษและสิ่งพิมพ์, บริการ (Professional service)
# สำหรับงวด 9M59 มีกำไรสุทธิ 6.9 แสนล้านบาท (+34%YoY) ซึ่งเป็นไปตามที่เราคาดการณ์ไว้ โดยกลุ่มที่มีกำไรดีขึ้นในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน คือ พลังงาน, ปิโตรเคมี, ขนส่ง, เหล็ก, บรรจุภัณฑ์, ค้าปลีก, วัสดุก่อสร้าง, ไฟแนนซ์, แฟชั่น และเครื่องใช้ในครัวเรือน
# กลุ่มที่มีกำไรสุทธิลดลงมาก 30-50% ในงวด 9M59 คือ สื่อและบันเทิง และเหมืองแร่ ส่วนที่ลดลงปานกลาง 10-20% คือ สื่อสาร, ประกันภัย ส่วนกลุ่มที่กำไรลดลงเล็กน้อยต่ำกว่า 10% คือ ยานยนต์และชิ้นส่วน, รับเหมาก่อสร้าง และอิเลคทรอนิกส์
# แนวโน้ม 4Q59...คาดว่ากำไรสุทธิจะยังเติบโตได้สูงเมื่อเทียบ YoY แต่อาจอ่อนลง QoQ เพราะราคาน้ำมันดิบที่ต่ำลงประมาณ 10%QTD และการท่องเที่ยวและอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องใน 4Q ปีนี้ชะลอลงจากการจัดการทัวร์ศูนย์เหรียญและการงดจัดงานรื่นเริงที่เอิกเกริก การส่งออกจะอ่อนลงตามปัจจัยฤดูกาล (มีช่วงวันหยุดยาวเทศกาลคริสต์มาสไปจนถึงสิ้นปี) อย่างไรก็ดี เรายังคงประมาณการว่ากำไรสุทธิทั้งปี 59 ของบจ.ไทยจะเติบโตกว่า 30%YoY แต่ถ้าเป็นกำไรที่ไม่รวมกลุ่มพลังงาน & ปิโตรเคมีจะเติบโตได้ 7%YoY ส่วนกำไรที่ไม่รวมกลุ่มพลังงาน & ปิโตรเคมี & ขนส่งจะเพิ่มขึ้น 2%YoY ซึ่งไม่ได้มากนักและสอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจไทยโดยรวม
# หุ้นที่คาดว่าจะมีกำไรเติบโต Outperform ตลาดในปี 60 (พิจารณาจาก DBSV Coverage) เป็นดังนี้
MSCI Quarterly Reveiw รอบเดือนพ.ย.59 (มีผลบังคับใช้ 30 พ.ย.59)
# MSCI Global Standard Index มีหุ้นไทยเข้า 2 บริษัท คือ BJC และ KCE โดยไม่มีหุ้นออก
# MSCI Small Cap Index มีหุ้นไทยเข้าไปคำนวณในดัชนี 4 บริษัท คือ COM7, MALEE, TKN, TFG ส่วนหุ้นที่ออกจากดัชนีมี 8 บริษัท ได้แก่ ASP, BJCHI, CBG, COL, CGD, DNA, KCE, ROJNA
ทั้งนี้ การเลือกหุ้นเข้า/ออกจากการคำนวณดัชนี พิจารณาจากมูลค่าหลักทรัพย์ทางการตลาดและสภาพคล่องในการซื้อขายเป็นสำคัญ (ซึ่งก็มีความเกี่ยวข้องกับปัจจัยพื้นฐานโดยอ้อม) โดยหุ้นที่ได้รับการคัดเลือกเข้าไปคำนวณจะได้รับความสนใจจากนักลงทุนสถาบันต่างประเทศมากขึ้น ส่วนตัวที่ออกก็มีโอกาสที่จะถูกลดน้ำหนักการลงทุนลง (ถ้ายังมีหุ้นอยู่ในพอร์ต)

นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค - [email protected] 

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!