- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Tuesday, 15 November 2016 19:15
- Hits: 2517
บล.ฟินันเซีย ไซรัส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
Today’s Report : Commodities WoW, ARROW, MAJOR, ORI, SAPPE, SPALI
Our Portfolio Nov 2016 : BEM, EKH, KTC, PDG, ROBINS
แม้ SET จะปรับลงแรงกว่าคาด แต่ยังลุ้นโอกาสดีดกลับขึ้นได้ตามคาด
ตลาดหุ้นวานนี้ : SET ยังปรับตัวลงแรงเป็นวันที่ 2 ติดต่อกัน ตามภาวะตลาดหุ้นเอเชียที่ร่วงลงแรงเช่นกัน เนื่องจากค่าเงินในภูมิภาคส่วนใหญ่อ่อนตัว หลังค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นเร็ว จากความคาดหวังเกี่ยวกับนโยบายฟื้นฟูเศรษฐกิจสหรัฐของประธานาธิบดีสหรัฐคนใหม่ ประกอบกับราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกก็ยังอ่อนแรงลงอีก ทำให้หลังจาก SET ปรับลงมาแกว่งทรงในช่วงเช้าแล้ว ก็ยังมีแรงขายกดดันให้ไหลลงต่อเนื่องจนปิดต่ำ
แนวโน้มตลาดวันนี้ : เนื่องจาก SET ปรับตัวลงมาค่อนข้างแรงมากแล้วในช่วง 2 วันที่ผ่านมา ขณะที่เช้านี้ตลาดหุ้นเอเชียแม้จะยังปรับตัวลดลงอีก แต่ก็พอจะมีแรงซื้อกลับเข้ามาหนุนให้ดัชนีตลาดหุ้นแต่ละแห่งเริ่มลบน้อยลงบ้างส่วนตลาดหุ้นสหรัฐเริ่มลดช่วงบวกลง และค่าเงินดอลลาร์ก็เริ่มชะลอการแข็งค่า ทำให้ค่าเงินบาทมีจังหวะแข็งค่ากลับมาเล็กน้อย นอกจากนี้ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกก็เริ่มมีจังหวะฟื้นตัวมาปิดเป็นลบน้อยลง ทำให้ FSS คาดว่ากรอบปรับลงของ SET น่าจะมีค่อนข้างจำกัด และยังลุ้นโอกาสที่จะมีแรงซื้อกลับเข้ามาหนุนต่อเนื่องให้ตลาดหุ้นไทยสามารถพลิกกลับไปขยับบวกใหม่อีกครั้งได้ตามคาด แต่อาจต้องระวังจังหวะแกว่งตัวผันผวนในช่วงนี้ไว้ด้วย
กลยุทธ์ : ดังนั้นเรายังแนะนำให้เน้นถือต่อเนื่องไว้ก่อน เพื่อรอรอบบวกของตลาดก่อนดีกว่า
แนวรับ 1467-1463 , 1460-1454 , 1452-1448 จุด
แนวต้าน 1474-1476 , 1480-1485 จุด
หุ้นเด่นทางเทคนิค : BIG , APCS , HMPRO(short)
Fund Flow วานนี้กระแสเงินทุนไหลออกจากภูมิภาคยังคงหนาแน่นUS$1,038ล้าน นำโดยไต้หวัน US$473ล้าน เกาหลีใต้ US$299ล้าน ส่วนไทยมีเม็ดเงินไหลออก US$72ล้าน แนวโน้มกระแสเงินทุนมีทิศทางไหลออกจากภูมิภาคตามค่าเงินดอลลาร์ที่ยังแข็งค่าขึ้นต่อจากนโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจของทรัมป์ ขณะที่ตลาดกังวลต่อการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐ
ข่าว/หุ้นเด่นมีประเด็น
• (-) เม็ดเงินไหลออกต่อจากหุ้นเอเชียและสินทรัพย์ปลอดภัย Bond Yield ของรัฐบาลไทยอายุ 10 ปีวานนี้พุ่งขึ้นเป็น 2.537% สูงสุดนับตั้งแต่ ม.ค. ที่ผ่านมา และเป็นเช่นนี้ในหลายประเทศในเอเชียทั้งอินโดนีเซีย มาเลเซีย เกาหลี ไต้หวัน ฮ่องกง รวมถึงสหรัฐ (Bond yield สหรัฐปรับขึ้นเพราะการคาดการณ์ว่า Supply พันธบัตรน่าจะมีออกมาอีกมากจากนโยบายของ Trump ที่ต้องใช้เงินเยอะซึ่งอาจทำให้เงินเฟ้อเร่งตัวขึ้นด้วย)สอดคล้องกับที่ต่างชาติขายพันธบัตรไทย 18,747 ล้านบาท และ short Index futures16,442 สัญญา รวมเป็นการขายทั้ง 3 ตลาด 24,331 ล้านบาท กดดันเงินบาทอ่อนค่าต่อ
• (+) กำไรสุทธิ 3Q16 ของบจ.ใน FSS Coverage ใกล้เคียงคาด -14% Q-Q,+570% Y-Y การฟื้นก้าวกระโดด Y-Y มาจาก Stock gain/loss ของกลุ่มพลังงาน ส่วนกำไรปกติ -16% Q-Q ตามฤดูกาล (ยกเว้นกลุ่มอิเล็คทรอนิคส์ อาหารและเครื่องดื่ม และโรงพยาบาล), +10% Y-Y เป็นการโตแทบทุกกลุ่มโดยเฉพาะไฟแนนซ์ พลังงานทดแทนค้าปลีก อาหารและเครื่องดื่ม โรงพยาบาล หุ้นที่กำไรดีกว่าคาดมากและปรับกำไรขึ้นได้แก่BEAUTY, MTLS, BCH หุ้นที่แนวโน้มดีและยังแนะนำซื้อแม้จะคงประมาณการเดิม มี SCB,KKP, BEM, EKH, BJC หุ้นที่ปรับกำไรและราคาเป้าหมายลงได้แก่ ICHI, XO, BKD, BEC
• (0) ORI กำไรดีกว่าคาด +117% Q-Q, +402% Y-Y โตก้าวกระโดดสวนทางกลุ่มอสังหาฯที่ -32% Q-Q เพราะหมดมาตรการเร่งโอนของภาครัฐ และ -22% Y-Y ตามรายได้โอน แต่สำหรับ ORI เนื่องจากตุน Backlog ไว้มากสุดในกลุ่ม (สิ้น 3Q16 = 1.35หมื่นล้านบาท) และมีคอนโดสร้างเสร็จพร้อมทยอยโอนต่อเนื่องทุกไตรมาส ทำให้เรายังคาดกำไรปีนี้ +88% ปีหน้า +49% แต่จำนวนหุ้นที่เพิ่มขึ้นถึง 67% จากการออกหุ้นปันผล 1.5 : 1 (XD 24 พ.ย.) ทำให้ราคาเป้าหมายปีหน้าของเรา dilute เหลือ 12 บาท จึงลดคำแนะนำจากซื้อ เป็นถือรับปันผล
• (0) MAJOR แม้กำไรปกติ 3Q16 จะดีกว่าที่เราคาดแต่แนวโน้ม 4Q16 จะลดลงมากและน่าจะต่อเนื่องถึง 1Q17 จากบรรยากาศที่โศกเศร้าซึ่งกระทบโดยตรงต่อธุรกิจโรงหนัง เราปรับกำไรปกติปี 2016-17 ลง 15% และ 7% กลายเป็นกำไรปกติปีนี้ -1% แต่ +27% ในปีหน้า ปรับราคาเป้าหมายปีหน้าลงจาก 37 บาทเป็น 35 บาท ยังคงแนะนำซื้อ ผลกระทบเป็นเพียงชั่วคราวแต่ยังมีหนังฮอลลี่วู๊ดเด่นๆเข้าฉายในปีหน้าอีกมาก
• (+) BCH กำไร 3Q16 เติบโตอย่างโดดเด่น +56% Q-Q, +69% Y-Y เราอยู่ระหว่างปรับประมาณการและราคาเหมาะสมขึ้น คงคำแนะนำซื้อ
• (+) SAPPE กำไรอ่อนแอตามคาด -38% Q-Q, +74% Y-Y แนวโน้มกำไร 4Q16 น่าจะอ่อนตัวลงเพราะเป็นช่วง Low season แต่คาดกลับมาสดใสในปีหน้าจากการส่งออกไปจีนที่กลับมาเท่ากับที่เคยทำได้ในระดับสูงสุดในปี 2014 ยังแนะนำซื้อ ราคาพื้นฐาน 39 บาท
ปัจจัยที่ต้องติดตาม
15 พ.ย. - MSCI Semi-annual Index Review
- สหรัฐ: ยอดค้าปลีก (ต.ค.)
- ยูโรโซน: 3Q16 GDP, ZEW Survey Expectations (พ.ย.)
17 พ.ย. - ฟิลิปปินส์: 3Q16 GDP
- อินโดนีเซีย: ธนาคารกลาง (BI) ประชุม
- ยูโรโซน: อัตราเงินเฟ้อ (ต.ค.)
- สหรัฐ: Housing Starts & Building Permits (ต.ค.)
20 พ.ย. - ไทย: ยอดขายรถ (ต.ค.)
21 พ.ย. - ไทย: 3Q16 GDP
- สิงคโปร์: 3Q16 GDP
23 พ.ย. - สหรัฐ: คำสั่งซื้อสินค้าคงทน (ต.ค.), ยอดขายบ้านใหม่ (ต.ค.)
- ยูโรโซน: Markit Eurozone Composite PMI (พ.ย.)
24 พ.ย. - สหรัฐ: ตลาดหุ้นปิด วัน Thanksgiving, FOMC Meeting Minutes
(0) ตลาดหุ้นสหรัฐฯเมื่อคืนที่ผ่านมาปิดทรงตัว แต่ DJIA บวกได้เป็นวันที่ 6 ติดต่อกันและยังทำ Record High โดยนักลงทุนให้น้ำหนักและจับตาดูการประชุม FED ครั้งสุดท้ายของปีในเดือนหน้า
(+) ด้านตลาดหุ้นยุโรปเมื่อคืนที่ผ่านมาปิดบวกได้โดยยังคงมีแรงซื้อเข้ามา ซึ่งตอบรับผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯที่ดคาดหวังว่าจะมีนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจออกมา
(0) ขณะที่ตลาดหุ้นเอเชียเช้านี้เปิดทรงตัวจากบรรยากาศการลงทุนที่ยังไร้ปัจจัยบวกใหม่
(-) ค่าเงินบาทเริ่มมีจังหวะแข็งค่าขึ้นเล็กน้อยหลังจากอ่อนค่าแรง 3วันติดต่อกัน ล่าสุดเคลื่อนไหวในกรอบ 35.30-35.45 บาท/ดอลลาร์
(-) ราคาน้ำมันดิบ NYMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค. ลดลง 0.09 ดอลลาร์/บาร์เรล มาอยู่ที่ 43.32 ดอลลาร์/บาร์เรล โดยตลาดยังคงคาดว่าตลาดจะยังอยู่ในสภาวะ Oversupply ต่อไปอีกหนึ่งปี และยังไม่มั่นใจว่ากลุ่มOPEC จะร่วมมือกันลดกำลังการผลิตได้ตามแผนหรือไม่
ราคาทองคำ COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค. ลดลง 2.60 ดอลลาร์/ออนซ์มาอยู่ที่ 1,221.70 ดอลลาร์/ออนซ์ อย่างไรก็ตาม ราคาทองคำเริ่มฟื้นตัวได้เช้านี้หลังจากที่ร่วงลงต่ำสุดในรอบ 5 เดือนครึ่ง
Contact person : Somchai Anektaweepon Register : 002265
Tel: 02-646-9967, 02-646-9852 www.fnsyrus.com
FB: Finansia Syrus Research, IG: fss_research