- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Friday, 11 November 2016 17:43
- Hits: 1645
บล.ไอร่า : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
ทิศทางตลาด
ย่ำฐานบริเวณ 1,510 จุด? โดยแม้ว่าตลาดหุ้นสหรัฐ ได้ทำจุดสูงสุดใหม่ไปเรียบร้อยแล้ว แต่เรามองว่าหลังจากนี้จะเข้าสู่โหมด Wait & See โดยเฉพาะตลาด Emerging รวมถึงไทย โดยแม้ว่าจาก Indicator ต่างๆ บ่งชี้ว่า นักลงทุนสหรัฐกำลัง Position เพื่อให้สอดคล้องกับ Potential growth ที่จะเกิดจากนโยบายของนายทรัมป์ ซึ่งจะเข้าสาบานตน ใน 20 ม.ค. 2017 สะท้อนจาก ผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐ ที่ปรับตัวขึ้นพร้อมกับการแข็งค่าของเงินดอลลาร์ อย่างไรก็ตาม เราพบว่าความกังวลต่อประเด็นต่อนโยบายในลักษณะ Anti-globalization ยังคงมีอยู่สะท้อนจากหุ้นในกลุ่มลาตินอเมริกาและอเมริกากลาง ที่ยังปรับตัวลดลง
โดยรวมเราจึงมองว่าหุ้นในส่วนอื่นของโลก จะยังอยู่ในลักษณะรีรอเพื่อดูความชัดเจนจากนโยบายต่างประเทศของนายทรัมป์ ที่ค่อนข้าง Aggressive ในช่วงหาเสียง ขณะที่ตลาดหุ้นสหรัฐ อาจจะยังมี Momentum ได้ต่อเนื่อง จากนโยบายลดภาษีนิติบุคคล ที่จะเพิ่มความสามารถในการทำกำไรให้กับ บ. ในสหรัฐ ย่างทันทีทันใด ประกอบกับตลาดอาจจะมองว่า แนวโนยบายจาก FED จะสอดคล้องกับ White House มากขึ้น โดยนางเยลเลน จะหมดวาระลงในปี 2018 ขณะเดียวกันยังมีตำแหน่ง คณะกรรมการ FED ที่ยังว่างอยู่ 2 ตำแหน่ง ซึ่งรวมแล้วจะทำให้ทาง Republican เข้าไปมีอิทธิพลได้มากขึ้น
นอกจากนี้เรายังแนะให้ติดตามสัญญาณของเฟด ซึ่งพร้อมส่งสัญญาณขึ้นอัตราดอกเบี้ย แม้จะเป็นประเด็นที่อยู่ในความคาดหมาย แต่คาดยังเป็นปัจจัยที่สร้างความผันผวนและกดดันตลาดฯ หลังจากนี้จนถึงวันประชุม(13 – 14/12/59) โดยล่สุดตลาด Fed Fund Future สะท้อนโอกาสในการขึ้นดอกเบี้ยในช่วงการประชุมดังกล่าวราว 80%
ส่วนทางด้านประเด็นในประเทศ จับตาโครงการ MEGA Project ของรัฐบาลที่ทยอยประมูลช่วยหนุนหุ้นในกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง เช่น โครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพูและสีเหลือง ที่ยื่นซองประมูลไปแล้ว เปิดซองภายในธนวานี้ นี้ และใช้เวลา 3 เดือนในการประกาศรายชื่อผู้ชนะการประมูล , โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ยื่นซอง 31 ต.ค. ที่มาผ่านมา เปิดซองภายใน ม.ค.60 , โครงการรถไฟทางคู่ประจวบฯ-ชุมพร ประมูลวันที่ 3 ก.พ.60 , รถไฟทางคู่นครปฐม-หัวหิน เคาะราคาวันที่ 10 ก.พ.60 , รถไฟทางคู่มากะเบา-จิระ , รถไฟฟ้าทางคู่ลพบุรี-ปากน้ำโพ และ รถไฟทางคู่หัวหิน-ประจวบ นอกจากนั่นยังมีแรงเก็งกำไรผลประกอบการไตรมาส 3Q59 ของบริษัทจดทะเบียนที่ทยอยประกาศจนถึงกลางเดือนนี้
SET SET50 SET100
1,514.26 +4.83 946.79 +2.72 2,133.55 -6.19
ปัจจัยที่มีผลต่อตลาดวันนี้
(+/-) ตลาดต่างประเทศ DJIA +218.19, NASDAQ -42.28, S&P +4.22, FTSE -83.86, CAC -12.53 และ DAX -15.89
โดยตลาดหุ้นสหรัฐปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อจากวันก่อน โดยดัชนีดาวโจนส์ขึ้นสู่ระดับ New High ในรอบ 52 สัปดาห์ โดยนักลงทุนพากันเข้าเก็งกำไรหุ้นที่คาดว่าจะได้ประโยชน์จากนโยบายของนายโดนัลด์ ทรัมป์ โดยหุ้นกลุ่มการเงินพุ่ง 3.70% สู่ระดับสูงสุดนับตั้งแต่เกิดวิกฤติปี 2008 รวมสองวัน 7.9%
ด้านตลาดหุ้นยุโรปปรับลดลงเล็กน้อย หลังจาก Price-in ประเด็นนายโดนัลด์ ทรัมป์ ได้รับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ราคาน้ำมันดิบ (NYMEX) ส่งมอบเดือน ธ.ค. -US$ 0.61 หรือ 1.4% สู่ระดับ 44.66 ดอลลาร์/บาร์เรล โดยตลาดน้ำมันกลับไปสนใจความวิตกเกี่ยวกับผลผลิตส่วนเกิน และการตัดสินใจของ OPEC ในการประชุมกันที่กรุงเวียนนาในวันที่ 30 พ.ย.นี้ เพื่อเจรจาเกี่ยวกับการปรับลดการผลิตน้ำมัน ซึ่งยังคงมีความไม่แน่นอนสูง
ราคาทองคำ (COMEX) ส่งมอบเดือน ธ.ค. US$-7.10 มา อยู่ที่ US$1,266.40 ต่อออนซ์ หลังดอลลาร์ทะยานขึ้นสู่ระดับสูงสุดในรอบ 3 เดือนครึ่งเทียบเยน และตลาดทองคำได้สะท้อนความกังวลที่ลดลงต่อนโยบายของนายโดนัลด์ ทรัมป์
(-) เม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศสุทธิ -2,046 ล้านบาท สะสม YTD +103,056 ล้านบาท (ปี’57 และ 58 ยอดขายสุทธิสะสม 36,173 ล้านบาท และ 154,346 ล้านบาท ตามลำดับ)
P/E (เท่า) P/BV (เท่า) Dividend Yield (%)
20.08 1.92 3.1
ที่มา: www.set.or.th
มูลค่าการซื้อขาย หน่วย(ลบ.)
มูลค่าการซื้อขาย 93,328.59
สถาบัน 2,699.98
บัญชีหลักทรัพย์ 140.67
ต่างประเทศ -2,046.08
ในประเทศ -794.57
ประเด็นที่ต้องติดตาม 11 พ.ย. 2559
11/11/1959
ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคช่วงช่วงต้นเดือน พ.ย.
และยังแนะจับตา
(1) กลุ่มปิโตรเคมี ได้รับประโยชน์จากปริมาณการผลิตที่เพิ่มขึ้น เช่น IVL
(2) กลุ่มวัสดุก่อสร้าง ที่คาดได้รับประโยชน์ต่อเนื่องจากส่วนต่างผลิตภัณฑ์ที่สูงขึ้น เช่น EPG และ SCC
(3) กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ มีปัจจัยบวกจากยอดโอนในช่วงที่เหลือของปี 59 ยังคงอยู่ในเกณฑ์ดี เช่น ANAN, AP และ SPALI
(4) กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง ที่ได้รับประโยชน์จากงานภาครัฐ เช่น CK, SYNTEC
(5) กลุ่มพลังงาน เช่น PTT ได้รับประโยชน์จากธุรกิจก๊าซที่แนวโน้มกำไรเติบโตดี ขณะที่ TOP และ SPRC แนวโน้มผลการดำเนินงานดี ค่าการกลั่นปรับตัวสูงขึ้น ส่วน BANPU ได้รับประโยชน์จากราคาถ่านหินที่อยู่ในระดับสูง
(6) กลุ่มค้าปลีก เช่น CPALL, HMPRO, KAMART และ ROBINS คาดได้รับประโยชน์หลังรัฐบาลอัดฉีดกำลังซื้อรากหญ้าอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา ส่วนหนึ่งจากโครงการที่เกี่ยวข้องกับการดูแลเกษตรกร 3 โครงการวงเงิน 93,000 ล้านบาท
(7) กลุ่มขนส่ง ในส่วนของธุรกิจการบินและสนามบิน เช่น AAV และ BA
ผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐ 10 ปี +0.0697 อยู่ที่ 2.1378% (ระดับสูงสุด 3.77% เมื่อ กพ.’54)
ดัชนีความเสี่ยง (VIX) +0.36 อยู่ที่ 14.74
หุ้นแนะนำ : PTTGC
นักวิเคราะห์ : พลเทพ วงษ์นาค โทร .02-684-8796