- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Friday, 04 November 2016 16:33
- Hits: 14765
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
'ซื้อ/ถือเมื่อ SET ยังเหนือ 1485'
หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : LPN (จาก Fully Valued เป็น ขาย)
ปัจจัย&กลยุทธ์ทางปัจจัยพื้นฐาน : ตลาดหุ้นไทยเมื่อวานนี้แกว่งในกรอบแคบเกือบทั้งวัน แต่เมื่อใกล้ปิดตลาดมีแรงขายเพิ่มทำให้ดัชนีปิด -5.57 จุดที่ 1493.08 นำโดยแรงขายหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ ซึ่งยังต้องเผชิญกับการเติบโตของสินเชื่อที่จำกัด, รายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยชะลอตัวหลังใช้พรอมพ์เพย์ตั้งแต่ต้นปี 60, การตั้งสำรองค่าเผื่อฯที่ยังสูง และต้องลงทุนในระบบดิจิตอลแบงค์กิ้งเพิ่มขึ้น (ซึ่งทาง DBSV ได้ทยอยปรับลดคาดการณ์กำไรปี 60 ของธนาคารมาหลังจากรายงานกำไร 3Q59 และในเชิงกลยุทธ์แนะให้ลดน้ำหนักการลงทุนในกลุ่มนี้ลง) นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิเพิ่มเป็น 2.1 พันล้านบาท สถาบันในประเทศและรายย่อยซื้อสุทธิ
ตลาดยังไม่มีปัจจัยใหม่ ส่วนที่ติดตาม คือ ตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนต.ค.ของสหรัฐที่จะออกมาคืนนี้ (เวลาไทย) และผลการเลือกตั้งปธน.สหรัฐวันที่ 8 พ.ย. อย่างไรก็ดี ผลสำรวจและแบบจำลองหลายสำนักยังประเมินว่าฮิลลารี่จะชนะการเลือกตั้งรอบนี้ ซึ่งแนวนโยบายของฮิลลารี่เป็นมิตรต่อตลาดหุ้นมากกว่าทรัมป์ ส่วนในประเทศเป็นการเก็งกำไรผลประกอบการ 3Q59 ซึ่งคาดว่า Core Profit ของบริษัทขนาดกลาง-เล็กจะเติบโตดีกว่าบริษัทขนาดใหญ่
กลยุทธ์ : ยังเน้นลงทุนตามรอบเป็นรายบริษัท เรายังไม่แนะนำให้ถือครองหุ้นในสัดส่วนที่มากเพราะตลาดโดยภาพรวมตลาดยังมีความไม่แน่นอนหลายประการโดยเฉพาะภายนอก ส่วนการลงทุนระยะยาว แนะนำให้ถอยซื้อสะสมเป็น Step ในจังหวะที่ราคาหุ้นอ่อนตัว หุ้นเชิงกลยุทธ์แนะนำวันนี้เป็น ATP30
การวิเคราะห์ทางเทคนิค : ระยะสั้นสัญญาณป็นลบ ซื้อใหม่เน้นตามด้วยค่าบวกของดัชนีและราคาหุ้น ค่าลบดูไม่ดีเพราะมีโอกาสลงไปที่ 1480-1470, 1450 จุดได้ ส่วนแนวต้านระยะสั้นให้ไว้ที่ 1500-1505, 1510 จุด ส่วนการ SCAN หุ้นที่มีสัญญาณเทคนิคดี มีโอกาสทำ New High พบว่าที่เข้ามาใหม่เป็น STPI, INET, TU, ASIMAR, LOXLEY ส่วนหุ้นที่ยังอยู่ใน List เป็น RCI, THCOM, BJC, BCH, RJH, GPSC, GLOBAL, TNH, AJ, PYLON, BCP สำหรับหุ้นที่แนะนำไปแล้ว & ให้หาจังหวะ Take Profit ได้แก่ TMT
นักวิเคราะห์ อาภาภรณ์ แสวงพรรค - [email protected]
Need to know TODAY
ปัจจัยต่างประเทศ
/+ สหรัฐ : บริการต.ค.โตต่อ ประสิทธิภาพแรงงาน 3Q เพิ่ม ยอดสั่งซื้อภาคโรงงานแข็งแกร่ง
# ผลสำรวจของสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) พบว่าดัชนีภาคบริการของ ISM อยู่ที่ 54.8 ในเดือนต.ค. ลดลงจากระดับ 57.1 ในเดือนก.ย. รวมทั้งต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 56.0
# ด้านประสิทธิภาพการผลิตของแรงงานนอกภาคเกษตร +3.1%YoY ในไตรมาส 3 มากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะปรับขึ้นที่ +2%YoY
# ยอดสั่งซื้อภาคโรงงานของสหรัฐ +0.3%MoM ในเดือนก.ย. มากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะ +0.2%MoM และเป็นการเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3
สหรัฐ : ชาวสหรัฐที่ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกเพิ่มขึ้น...จับตาตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตร
# กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่าจำนวนชาวอเมริกันที่ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกเพิ่มขึ้น 7,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว สู่ระดับ 265,000 ราย ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนส.ค.
# จับตาตัวเลขจ้างงานนอกภาคการเกษตรประจำเดือนต.ค.ของสหรัฐ ซึ่งกระทรวงแรงงานสหรัฐจะเปิดเผยในวันนี้ เวลา 19.30 น.ตามเวลาไทย ซึ่งผลการสำรวจความคิดเห็นของนักวิเคราะห์ระบุว่า นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดการณ์ว่า ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนต.ค.จะเพิ่มขึ้น 175,000 ตำแหน่ง และคาดว่าอัตราการว่างงานจะลดลงสู่ระดับ 4.9% จากเดิมที่ระดับ 5.0%
/+ อังกฤษ : BOE คงดอกเบี้ยและวงเงิน QE และปรับเพิ่มคาดการณ์ GDP Growth ปี 59-60
# ธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) มีมติเป็นเอกฉันท์ 9-0 เสียงคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 0.25% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ และ BoE ประกาศคงวงเงินในโครงการซื้อพันธบัตรรัฐบาลตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ที่ระดับ 4.35 แสนล้านปอนด์ และคงวงเงินซื้อหุ้นกู้ในภาคเอกชนที่ระดับ 1 หมื่นล้านปอนด์ต่อไป
# นอกจากนั้น BoE ได้ปรับเพิ่มคาดการณ์ GDP Growth ของอังกฤษในปี 59 สู่ระดับ 2.2% (เพิ่มจาก 2.0% ในการประเมินเดือนส.ค.59) และปรับเพิ่มของปี 60 สู่ระดับ 1.4% (เพิ่มจาก 1.2%) โดยได้แรงหนุนจากการใช้จ่ายของครัวเรือนและตลาดที่อยู่อาศัยที่ฟื้นตัว แต่ได้ปรับลดของปี 61 เป็น 1.5% (ลดจาก 1.8%)
# ด้านเงินเฟ้อปี 60 ปรับขึ้นเป็น 2.7% (จาก 2.0% ในการประเมินเดือนส.ค.59) เพราะการอ่อนค่าของปอนด์หลังการทำประชามติ Brexit ซึ่ง 2.7% เป็นระดับสูงสุด ก่อนที่จะอ่อนลงสู่ 2.5% ในปลายปี 62 และใกล้ 2.0% ในปี 63 ซึ่งเป็นเป้าหมายในระยะยาว
- ตลาดหุ้นสหรัฐ : ปิดลดลงเล็กน้อยแม้กังวลความไม่แน่นอนทางการเมือง
ดัชนี DJIA ปิดที่ 17,930.67 จุด ลดลง 28.97 จุด หรือ -0.16% ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 5,058.41 จุด ลดลง 47.16 จุด หรือ -0.92% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,088.66 จุด ลดลง 9.28 จุด หรือ -0.44% โดยความไม่แน่นอนเรื่องการเลือกตั้งสหรัฐเป็นปัจจัยกดดัน ทั้งนี้ตลาดกังวลว่าถ้าทรัมป์เป็นปธน.อาจเกิดความปั่นป่วนทางเศรษฐกิจและการค้าจากนโยบายต่อต้านการค้าเสรีของเขา อย่างไรก็ตาม ผลสำรวจหลายสำนักวิจัยข้อมูลและหลายแบบจำลองขององค์กรชั้นนำยังออกมาว่าฮิลลารี่จะชนะเลือกตั้งครั้งนี้ทำให้ตลาดหุ้นไม่ได้ปรับลดลงมากนัก
- สหรัฐ : หุ้นกลุ่มเวชภัณฑ์ปรับตัวลง
ราคาหุ้นกลุ่มเวชภัณฑ์สหรัฐอ่อนตัวลงหลังมีรายงานว่ากระทรวงยุติธรรมสหรัฐเตรียมยื่นดำเนินคดีกับบริษัทยาบางแห่ง ในข้อหากำหนดราคายาสูงเกินไป โดยหุ้นมายแลน ร่วงลง 7% หุ้นเทว่า ฟาร์มาซูติคัล ดิ่งลง 9.5% หุ้นเอนโด อินเตอร์เนชั่นแนล ร่วงลง 19.5%
- ราคาน้ำมันดิบ : ลดลงต่อ
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนธ.ค.ลดลง 68 เซนต์ หรือ 1.5% ปิดที่ 44.46 ดอลลาร์/บาร์เรล ด้าน BRENT ส่งมอบเดือนม.ค.ลดลง 51 เซนต์ หรือ 1.1% ปิดที่ 46.35 ดอลลาร์/บาร์เรล ปัจจัยที่กดดัน คือ สต็อกน้ำมันดิบสหรัฐที่พุ่งขึ้นถึง 14.4 ล้านบาร์เรล สู่ระดับ 482.6 ล้านบาร์เรล ในสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 28 ต.ค. (เพราะโรงกลั่นลดการกลั่นน้ำมันลง & มีการนำเข้าน้ำมันดิบเพิ่ม) และมีรายงานว่าการผลิตน้ำมันดิบเดือนต.ค.ของกลุ่มโอเปกพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 33.82 ล้านบาร์เรล/วัน จากเดือนก.ย.ที่ระดับ 33.69 ล้านบาร์เรล/วัน
แต่....ราคาน้ำมันดิบไม่ได้ลดลงรุนแรงเพราะมีกระแสข่าวว่ากลุ่มกบฎไนจีเรียได้โจมตีท่อส่งน้ำมันทางตอนใต้ของสามเหลี่ยมไนเจอร์ ซึ่งดำเนินการโดยบรรษัทปิโตรเลียมแห่งชาติของไนจีเรีย
- ราคาทองคำ : ลดลงจากแรงขายทำกำไร
สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค.ลดลง 4.9 ดอลลาร์ หรือ 0.37% ปิดที่ระดับ 1,303.30 ดอลลาร์/ออนซ์ โดยเป็นผลจากแรงขายทำกำไร
ปัจจัยในประเทศ & หุ้นเด่น
- ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนต.ค.59...ลดลงครั้งแรกในรอบ 4 เดือน
# ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า ในเดือน ต.ค.59 ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค อยู่ที่ 73.1 จาก 74.2 ในเดือน ก.ย.59 ซึ่งเป็นการปรับตัวลดลงเป็นครั้งแรกในรอบ 4 เดือน
# ปัจจัยลบที่สำคัญในเดือน ต.ค. ได้แก่ ราคาพืชผลทางการเกษตรหลายชนิดยังทรงตัวอยู่ในระดับต่ำ ประกอบกับ ผลผลิตบางชนิด เช่น ข้าว เกิดความเสียหายจากภาวะฝนตกหนัก จึงทำให้ราคาข้าวปรับตัวลดลง, ราคาน้ำมันขายปลีกในประเทศปรับตัวเพิ่มขึ้น, ผู้บริโภคยังมีความวิตกกังวลต่อปัญหาค่าครองชีพ และราคาสินค้าที่ยังทรงตัวในระดับสูง, ความกังวลต่อสถานการณ์น้ำท่วมในบางพื้นที่ และความกังวลต่อสถานการณ์ความไม่แน่นอนในการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก ที่อาจจะส่งผลกระทบในเชิงลบต่อการส่งออกและเศรษฐกิจไทยในอนาคต
# ส่วนปัจจัยบวกที่สำคัญ ได้แก่ การส่งออกในเดือน ก.ย.59 ขยายตัว 3.43% เป็นการขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2, สศค.ประมาณการ GDP Growth ของไทยในปี 60 ว่าจะ +3.4% ส่วนปี 59 คงไว้ที่ +3.3%, ความคาดหวังว่ารัฐบาลจะลงทุนและกระตุ้นเศรษฐกิจมากขึ้น, ภัยแล้งเริ่มคลี่คลาย และเงินบาทอ่อนค่าลงเล็กน้อย
/+ การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานน่าจะเห็นความคืบหน้ามากขึ้นใน 1Q59 (เดือนก.พ.เป็นต้นไป)
กระทรวงคมนาคมเปิดความคืบหน้าลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่งจำนวน 20 โครงการ วงเงิน 1.4 ล้านล้านบาท ดังต่อไปนี้
# โครงการรถไฟทางคู่ ช่วงประจวบคีรีขันธ์-ชุมพร ระยะทาง 167 กม. วงเงินลงทุน 17,249 ล้านบาท คาดว่าวันที่ 25 พ.ย.2559 จะเสนอให้จะเสนอทีโออาร์ให้บอร์ดการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) พิจารณาเห็นชอบ เปิดขายซองประกวดราคาในวันที่ 26 พ.ย. และจะมีการเคาะราคาในวันที่ 3 ก.พ. 2560 คาดว่าจะลงนามในสัญญาได้ในวันที่ 27 ก.พ.2560 ส่วนอีก 4 เส้นทาง คือ หัวหิน-ประจวบคีรีขันธ์ ระยะทาง 90กม. วงเงินลงทุน 10,301 ล้านบาท , มาบกะเบา-ชุมทางจิระ ระยะทาง 132 กม. วงเงินลงทุน 29,449 ล้านบาท,นครปฐม-หัวหิน ระยะทาง 165 กม. วงเงินลงทุน 20,036 ล้านบาท และลพบุรี-ปากน้ำโพ ระยะทาง 148 กม. วงเงินลงทุน 24,840 ล้านบาท จะขายซองประกวดราคาระหว่างวันที่ 3-9 ธ.ค.59 และเคาะราคาวันที่ 10 ก.พ. 60 ตั้งเป้าที่จะลงนามในสัญญาพร้อมกันทั้ง 4 เส้นกลางเดือนมี.ค.2560
# รถไฟฟ้าความเร็วสูง สำหรับ 2 เส้นทางแรกที่จะเปิดให้เอกชนเข้าร่วมทุนแบบพีพีพี คือ 1.เส้นกทม.-หัวหิน ระยะทาง 211 กม. วงเงินลงทุน 94,673ล้านบาท ขณะนี้เสนอให้สคร.พิจารณาแล้วคาดว่าจะสรุปเรื่องเสนอให้คณะกรรมการพีพีพิจารณาได้ในเดือนม.ค.2560 และ 2. เส้นกทม.-พัทยา-ระยอง ระยะทาง 193 กม. วงเงินลงทุน 152,528 ล้านบาท ให้รฟท.กลับไปทบทวนข้อมูลโดยจัดทำรายละเอียดเกี่ยวกับอัตราผลตอบแทนจากการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์บริเวณรอบสถานีมาประกอบเพิ่มเติมด้วย โดยให้เสนอกลับมาที่กระทรวงคมนาคมภายในเดือยพ.ย.2559
# รถไฟความเร็วสูงไทย-ญี่ปุ่น เส้นทางระยะแรกกทม-พิษณุโลก ระยะทาง 382 กม. ญี่ปุ่นจะส่งรายงานผลการศึกษาความเหมาะสมโครงการมาให้ไทยในเดือนก.พ.2560 คาดว่าจะนำเสนอให้ครม.พิจารณาอนุมัติโครงการในระยะแรกได้ในเดือนเม.ย. 2560
# โครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงเตาปูน-ราษฎร์บูรณะ ระยะทาง 23.6 กม. วงเงิน 131,004 ล้านบาท คาดว่าจะเสนอให้ครม.พิจารณาอนุมัติโครงการในเดือนพ.ย.2559 เปิดประกวดราคาเดือนธ.ค.2559-พ.ค.2560 และเริ่มก่อสร้างในเดือนมิ.ย.2560 แล้วเสร็จในเดือนม.ค.2566
# โครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพูและเหลือง สายสีชมพู ช่วงแคราย-มีนบุรี ระยะทาง 34.5 กม. วงเงิน 56,691 ล้านบาท และสายสีเหลือง ช่วงลาดพร้าว-สำโรง ระยะทาง 29.1กม. วงเงินลงทุน 54,644 ล้านบาท จะเปิดให้เอกชนที่สนใจยื่นซองเสนอราคาในวันที่ 7 พ.ย.2559 คาดว่าจะพิจารณาคัดเลือกได้ในเดือนก.พ.2560 และเสนอขอครม. ให้พิจารณาเพื่อนุมัติลงนามสัญญาได้ในเดือน เม.ย. 2560 พร้อมกันทั้ง 2 เส้นทาง
# โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงศูนย์วัฒนธรรม-มีนบุรี ระยะทาง 21 กม. วงเงินลงทุน 109,540 ล้านบาท การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย(รฟม.) กำลังพิจรณาข้อเสนอของเอกชนจำนวน 4 รายที่ยื่นซองเสนอราคามาแล้ว คาดว่าภายในเดือนมี.ค.2560 จะเสนอให้บอร์ดรฟม. กระทรวงคมนาคม และครม.พิจารณาอนุมัติโครงการได้ จากนั้นจะลงนามในสัญญาจัดจ้างได้ในเดือนก.พ. 2560
ความเห็นเชิงกลยุทธ์ Retail Research : เราเห็นว่าโครงการลงทุนภาครัฐจะมีความคืบหน้าดีขึ้น โดยจะเห็นเรื่องการเปิดประกวด, ผลการคัดเลือกผู้รับเหมาฯ, การพิจารณาอนุมัติ และการลงนามในสัญญามากขึ้นในช่วง 1Q60 เมื่อพิจารณาจากแผนงานของกระทรวงคมนาคมดังที่ระบุไว้ข้างต้น อย่างไรก็ตาม โอกาสที่จะล่าช้ามีมากกว่าที่จะรวดเร็วขึ้นด้วยปัจจัยเสี่ยง/ไม่แน่นอนหลายประการทั้งจากภาวะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวและเติบโตช้า, การพิจารณาโครงการที่ต้องใช้ความรอบคอบ, การพิจารณาของภาคเอกชนที่จะเข้ามาร่วมทุนถึงความเป็นไปได้ของโครงการเมื่อบางโครงการมีรายได้ต่ำกว่าคาด (เช่น โครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง) เป็นต้น อย่างไรก็ดี เรายังคงมีมุมมองที่เป็นบวกในระยะยาวกับกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง และวัสดุก่อสร้าง ว่าจะมีงานและอุปสงค์เข้ามาต่อเนื่อง เพียงแต่มีความเสี่ยงเรื่องระยะเวลาของการรับรู้รายได้และกำไร กลยุทธ์ : ทยอยซื้อจังหวะราคาหุ้นอ่อนตัว ไม่ว่าจะเป็นการเล่นรอบหรือลงทุนยาว หุ้นเด่นในกลุ่มรับเหมาก่อสร้างของ DBSV คือ CK (ราคาพื้นฐาน 40 บาท) และในกลุ่มวัสดุก่อสร้างเป็น SCC (ราคาพื้นฐาน 580 บาท) และ TMT (ราคาพื้นฐาน 13.80 บาท)
+ ATP30 (ราคาปิด 1.87 บาท) : กำไร 3Q59 เติบโตแกร่ง 319%YoY
ทาง DBSV คาดการณ์ว่ากำไรสุทธิ 3Q59 จะเติบโต 319%YoY และ 17%QoQ เป็น 8 ล้านบาท เนื่องจากมีลูกค้าใหม่เข้ามา 3 รายระหว่างไตรมาส ทำให้รายได้เพิ่มขึ้น 12%YoY และ 2%QoQ เป็น 76 ล้านบาท และอัตรากำไรขั้นต้นสูงขึ้นเป็น 24.8% นอกจากนั้นยังนำเงินที่ได้จากการทำ IPO ไปชำระคืนหนี้ ทำให้ภาระดอกเบี้ยจ่ายลดลง
ทั้งนี้ จำนวนรถที่ให้บริการขนส่งบุคลากรเพิ่มขึ้นมากจาก 186 คันในปี 56 เป็น 260 คันในกลางปี 59 และจะเป็น 284 คันในสิ้นปี 59 ทั้งนี้บริษัทมีนโยบายว่าต้องมีสัญญาลูกค้าครอบคลุมก่อนจึงจะสั่งซื้อรถใหม่เข้ามา ทำให้ธุรกิจมีความเสี่ยงต่ำ
คาดการณ์กำไรสุทธิปี 59-60 เติบโต 117%YoY และ 50%YoY ตามลำดับ ซึ่งเป็นผลจาก 1) รายได้สูงขึ้นต่อเนื่อง, 2) อัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นจาก Economy of scales และค่าเสื่อมราคาที่ต่ำลงหลังรถรุ่นแรกๆตัดค่าเสื่อมหมดแล้วแต่ยังสร้างรายได้ แนวโน้มระยะยาวไปได้ดี คาดว่า ATP30 จะได้รับประโยชน์จากร่างพรบ.เขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกที่ครม.ได้อนุมัติไปแล้ว เพราะเป็นพื้นที่ให้บริการของบริษัท และบริษัทมีแผนเพิ่มการให้บริการรถตู้ VIP ให้กับลูกค้าหรือผู้บริหารระดับสูงเป็นรายวันด้วย (เดิมทำแต่รายเดือน) แนะนำซื้อ ทาง DBSV ให้ราคาพื้นฐาน 2.18 บาท เทียบเท่ากับ P/E ปี 60 ที่ 25 เท่า แต่คิดเป็น PEG ปี 60 เพียง 0.5 เท่า
นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค - [email protected]