WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

ASP copyบล.เอเซียพลัส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน

 

กลยุทธ์การลงทุน
   เลือกหุ้นที่ได้รับกระแสเชิงบวกจากนโยบายของภาครัฐ เช่น รับเหมาฯ ซึ่งเห็นความคืบหน้า ที่เป็นรูปธรรมของโครงการลงทุนภาครัฐฯ และค้าปลีก ที่มีมาตรการกระตุ้นในกลุ่มเกษตรกร Top Picks เลือก CK (FV@B 37.50) และ BJC (FV@B 64) ส่วนหุ้นที่มีผลประกอบการโดดเด่นอาจเป็นตัวเลือกเพิ่มเติมเช่น (ASK,

(0) ผลประชุม BOJ ตรงตามคาด วันนี้รอผลประชุม Fed
  สรุปผลประชุมธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) เป็นไปตามตลาดคาด คือ ยังคงดอกเบี้ยนโยบายฯ ที่ติดลบ 0.1% ตามเดิม พร้อมคงฐานเงิน (Money Base) ผ่านการซื้อคืนพันธบัตรรัฐบาล (ปีละ 80 ล้านล้านเยน) ควบคู่กับการรักษาเส้นผลตอบแทน หรือ Yield curve ทุกช่วงอายุ ทำให้ BOJ มีความคล่องตัว ในการแทรกแซงปริมาณเงินในระบบ ผ่านการซื้อ/ขายพันธบัตร ทุกช่วงอายุ โดยค่าเงินเยน กลับมามีทิศทางแแข็งค่าติดต่อกัน ตั้งแต่ 28 ต.ค. จากที่ก่อนหน้ามีทิศทางอ่อนค่าต่อเนื่อง จากความคาดหวังมาตรการกระตุ้นประกอบกับทิศทางค่าเงิน Dollar ที่แข็งค่า
  ส่วนการประชุมธนาคารกลางสหรัฐ(Fed) วันนี้เป็นวันสุดท้าย คาดว่าจะทราบผลอย่างเป็นทางการในวันพฤหัสบดีที่ 3 พ.ย. (ช่วงเช้าตามเวลาไทย) คาดยังคงดอกเบี้ยที่ 0.25-0.5% ตามเดิม แต่ยังให้น้ำหนักการขึ้นดอกเบี้ยไปที่รอบ 13-14 ธ.ค. 2559 (ความน่าจะเป็น ราว 68%) แต่เชื่อว่าตลาดน่าจะรับรู้ไปแล้ว และยังเชื่อว่าการขึ้นดอกเบี้ยยังค่อยเป็นค่อยไป เพราะดัชนีชี้นำเศรษฐกิจสหรัฐ ภาคครัวเรือนและภาคผลิต ยังมีพัฒนาการเชิงบวกต่อเนื่อง แต่ยังเห็นสัญญาณขัดแย้งกัน คือ ฝั่งภาคการผลิต ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิต โดยสถาบันมาร์กิต เดือน ต.ค. เพิ่มขึ้นมากกว่าที่ตลาดคาดอยู่ที่ระดับ 53.4 จุด (เพิ่มขึ้นติดต่อกัน 4 เดือนทำสถิติสูงสุดในรอบ 1 ปี สอดคล้องกับ (PMI) ภาคการผลิต โดยสถาบัน ISM ที่เพิ่มขึ้นติดต่อกัน 3 เดือน แม้สวนทางกับ ดัชนีภาคการผลิต ที่ทำจุดต่ำสุดตั้งแต่ มิ.ย. 2559 ขณะที่ฝั่งการบริโภค PMI ภาคบริการ สำรวจโดยสถาบันมาร์กิต เพิ่มขึ้นติดต่อกัน 5 เดือน แม้สวนทางกับยอดสั่งสร้างบ้าน ที่ลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 อย่างไรก็ตาม
  เงินเฟ้อที่สหรัฐ ล่าสุดพุ่งเป็น 1.5% จาก 1.1% ใน ส.ค. หนุนให้ Fed มีความเชื่อมั่นต่อการขึ้นดอกเบี้ยเดือน ธ.ค. มากขึ้น แต่เป็นที่สังเกตว่า ค่าเงิน Dollar ชะลอการแข็งค่า ซึ่งน่าจะเป็นช่วงสั้น (และน่าจะกลับมาแข็งค่าอีกครั้งช่วงใกล้การประชุมรอบ ธ.ค.) ซึ่งช่วยหนุนราคาน้ำมันกลับมายืน 46-47 เหรียญฯ อีกครั้ง หลังจากหลุด 50 เหรียญฯ
  ขณะที่ไทย เงินเฟ้อ เดือน ต.ค. เพิ่มขึ้นที่ระดับ 0.34%yoy (เฉลี่ย ytd อยู่ที่ 0.06% และต่ำกว่าเป้าหมายที่ ASPS ประเมินไว้ 0.8%) โดยยังแรงหนุนมาจากการเพิ่มขึ้นราคา ผัก ผลไม้สด เนื้อสัตว์ และราคาน้ำมันขายปลีก ทั้งนี้หากพิจารณา ดอกเบี้ยรับสุทธิ ปัจจุบัน ยังเป็นบวกเล็กน้อย (ดอกเบี้ยนโยบาย – อัตราเงินเฟ้อ) ทำให้เชื่อว่ายังหนุนให้ กนง.คงดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมที่เหลืออีก 2 ครั้งจนถึงสิ้นปีนี้ (ครั้งถัดไป 9 พ.ย.59)

(-) Earning สหรัฐ, ยุโรป ดีกว่าคาด แต่ตลาดตอบรับไปแล้ว
  นอกจากนี้ ประเด็นข่าวเรื่องผลสำรวจการเลือกตั้งของประธานาธิบดีสหรัฐยังคงมีต่อตลาดหุ้น รวมทั้งการรายงานผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน ก็มีผลเช่นกัน ซึ่งโดยภาพรวมกำไรออกมาค่อนข้างดี กล่าวคือ มีกว่า 70% ของบริษัทที่ประกาศงบฯ แล้วราว 328 บริษัท มีกำไรดีกว่าคาด เช่น Citi Group, Bank of America Corp, Goldman Sachs Group Inc แต่หลายบริษัทยักษ์ใหญ่ กลับมีผลการดำเนินงานที่ทรงตัว อาทิ Apple, Wells Fargo & Co
  ขณะที่ฝั่งยุโรปนั้น ตลาด STOXX600 รายงานงบฯ ออกมาแล้วกว่าครึ่ง โดย 62% มีผลกำไรดีกว่าคาด อาทิ JPMorgan Chase & Co. ผลการดำเนินงานดีสุดนับตั้งแต่ 2Q58 ตรงข้ามกับ Standard Chartered ผลการดำเนินงานย่ำแย่จนทำให้ราคาหุ้นร่วงลงต่ำสุดนับตั้งแต่ 11 ก.ค. อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นยุโรปกลับปรับลดลงในเดือน ต.ค. กว่า 1.2% จากแรงขายทำกำไรเนื่องจากขึ้นไปทำจุดสูงสุดในช่วงเดือน ก.ย. มาก่อนหน้า บวกกับนักลงทุนต้องการหลีกเลี่ยงความไม่น่นอนของการเลือกตั้งสหรัฐ จึงทำให้ตลาดหุ้นสหรัฐ ยุโรปยังอยู่ในช่วงแกว่ง sideway หรือมีแนวโน้มลงต่อ

(+) รัฐให้ความเห็นชอบโครงการรถไฟทางคู่ 3 เส้นทาง ยังบวกต่อกลุ่มรับเหมา CK, ITD, STEC
  รัฐบาลกำลังเร่งดำเนินการโครงการก่อสร้างระบบคมนาคมให้ได้ตามแผน หลังจากที่วันก่อนหน้าได้มีผู้รับเหมายื่นซองประมูลโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม (ศูนย์วัฒนธรรม–มีนบุรี) ซึ่ง รฟม. จะเปิดซองข้อเสนอด้านคุณสมบัติ (ซองที่ 1) ในวันที่ 4 พ.ย. นี้ จากนั้นจะเปิดซองทางเทคนิค (ซองที่ 2) ของผู้ที่ผ่านเกณฑ์ด้านคุณสมบัติ วันที่ 1 ธ.ค. และเปิดซองข้อเสนอด้านราคา (ซองที่ 3) ของผู้ผ่านเกณฑ์ด้านเทคนิควันที่ 6 ม.ค. 2560 และคาดจะลงนามสัญญาว่าจ้างผู้รับจ้างงานโยธาได้ในราว พ.ค. 2560 ซึ่งคาดว่าผู้รับเหมาที่ Joint Venture น่าจะมีโอกาสชนะการประมูลสูง
  ขณะที่โครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู (แคราย-มีนบุรี) และสายสีเหลือง (ลาดพร้าว-สำโรง) รฟม. กำหนดให้ยื่นเอกสารประมูลในวันที่ 7 พ.ย. นี้ โดย 2 เส้นทางหลังนี่ จะเป็นการเปิดให้เอกชนร่วมลงทุนรูปแบบ PPP (รัฐ-เอกชนร่วมลงทุน) ซึ่งพบว่าผู้ประกอบการรายใหญ่ทุกรายทั้ง ITD CK STEC และ UNIQ พร้อมเปิดตัวพันธมิตรที่มีความชำนาญในการเดินรถไฟฟ้าเพื่อเข้าร่วมประมูล
  ในส่วนของโครงการรถไฟทางคู่นั้น ล่าสุด ที่ประชุม ครม. วานนี้มีมติเห็นชอบให้ รฟท. ดำเนินโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ 3 เส้นทาง ระยะเวลาดำเนินการ 5 ปีงบประมาณ (2559-2563) ประกวดราคาจ้างก่อสร้างด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ (e-auction) ประกอบด้วย
  1. รถไฟทางคู่ ช่วงลพบุรี – ปากน้ำโพ ระยะทาง 148 กิโลเมตร วงเงิน 24,722.28 ล้านบาท ระยะเวลาก่อสร้าง 6 ปี (ปีงบประมาณ 2559 – 2564) โครงการนี้ผ่าน EIA แล้ว
  2. ช่วงนครปฐม – หัวหิน ระยะทาง 165 กิโลเมตร จำนวน 27 สถานี วงเงิน 20,046.41 ล้านบาท คาดจะสามารถประมูลแล้วเสร็จภายในเดือน มี.ค. 2560 และก่อสร้างแล้วเสร็จราวเดือน มี.ค. 2563
  3. ช่วงหัวหิน – ประจวบคีรีขันธ์ ระยะทาง 90 กิโลเมตร จำนวน 13 สถานี วงเงิน 10,239.58 ล้านบาท คาดเริ่มดำเนินการก่อสร้างได้ราว พ.ค. 2560 และเปิดบริการได้ภายในต้นปี 2563
  นอกจากนี้ยังมีโครงการอื่นๆ ที่คาดจะหนุน backlog หุ้นรับเหมาก่อสร้าง คือ โครงการรถไฟทางคู่เส้นทางประจวบคีรีขันธ์-ชุมพร วงเงินลงทุน 1.7 หมื่นล้านบาท ซึ่งอยู่ระหว่างการจ้างที่ปรึกษาสำรวจและคิดค่าทดแทน และเส้นทางมาบกะเบา-ชุมทางถนนจิระ วงเงินลงทุน 2.9 หมื่นล้านบาท อยู่ระหว่างขั้นตอนการนำขึ้นทูลเกล้าฯ โดยทั้ง 2 เส้นทางคาดว่าจะสามารถประกาศประกวดราคาในเดือน พ.ย. และทั้ง 2 เส้นทางนี้คาดว่าจะลงนามในสัญญาได้ในเดือน ก.พ. 2560 ขณะที่รถไฟฟ้าสายสีแดงอ่อน และรถไฟฟ้าสายสีแดงเข้ม กำลังอยู่ระหว่างเตรียมประมูลและจัดทำ TOR
  รวมถึงโครงการที่อยู่ในระหว่างการประมูลไปแล้ว แต่ยังไม่เสร็จสิ้น มี 4 โครงการ ได้แก่ มอเตอร์เวย์เส้นพัทยา-มาบตาพุด (ประมูลไปแล้ว 13 สัญญา จาก 14 สัญญา) ,เส้นบางปะอิน-โคราช(ประมูลไปแล้ว 25 สัญญา จาก 40 สัญญา), เส้นบางใหญ่-กาญจนบุรี(ประมูล 9 สัญญาจาก 25 สัญญา) สุวรรณภูมิเฟส 2 (ประมูล 3 สัญญาจาก 7 สัญญา) และที่ผ่านการคัดเลือกผู้รับเหมาแล้ว มี 3 โครงการคือ ท่าเทียบเรือชายฝั่ง (NWR ชนะการประมูล) ศูนย์ขนส่งสินค้าแหลมฉบัง (ITD – WH Consortuimได้งานประมูล) และรถไฟทางคู่ ช่วงจิระ-ขอนแก่น (กิจการร่วมค้า CKCH ชนะการประมูล)
  ถือเป็นปัจจัยหนุนต่อบริษัทก่อสร้างที่มีประวัติการทำงานต่อเนื่อง คือ ITD, CK, STEC และ UNIQ ยังเลือก CK([email protected]) เป็น Top Pick เพราะโอกาสได้งานดังกล่าวเพิ่มเติม ทั้งความพร้อมด้านการเงิน กระแสเงินสด และ พันธมิตร

(-) ต่างชาติยังขายหุ้นไทยติดต่อกันเป็นวันที่ 7
  วานนี้ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์หยุดทำการต่ออีก 1 วัน เนื่องจากเป็นวัน All Saint Day ส่วนตลาดหุ้นอื่นๆยังคงเปิดทำการเป็นปกติ โดยภาพรวมแล้วพบว่า แม้ต่างชาติยังคงขายสุทธิหุ้นในภูมิภาคต่อเนื่องเป็นวันที่ 6 แต่ด้วยมูลค่าเพียง 22 ล้านเหรียญ ซึ่งเป็นการสลับมาซื้อสุทธิอยู่ 2 ประเทศ คือ ตลาดหุ้นเกาหลีถูกซื้อสุทธิราว 59 ล้านเหรียญ (ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 2) และอินโดนีเซีย 38 ล้านเหรียญ ส่วนที่เหลืออีก 2 ประเทศต่างชาติยังคงขายสุทธิ คือ ไต้หวันถูกขายสุทธิราว 76 ล้านเหรียญ (ขายสุทธิเป็นวันที่ 5) และไทยที่ต่างชาติยังคงขายสุทธิราว 42 ล้านเหรียญ หรือ 1.5 พันล้านบาท (ขายสุทธิเป็นวันที่ 7 โดยมียอดขายสุทธิรวมถึง 8.4 พันล้านบาท) สวนทางกับนักลงทุนสถาบันฯที่ซื้อสุทธิราว 2.3 พันล้านบาท (ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 2)
  ส่วนทางด้านตราสารหนี้ไทย นักลงทุนสถาบันฯยังคงซื้อสุทธิราว 2.9 หมื่นล้านบาท เช่นเดียวกับนักลงทุนต่างชาติที่สลับมาซื้อสุทธิสูงถึง 1.8 หมื่นล้านบาท (หลังจากขายสุทธิมา 3 วัน)

ภรณี ทองเย็น เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004146
เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004132
พบชัย ภัทราวิชญ์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 052647
ภราดร เตียรณปราโมทย์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 075365
พาสุ ชัยหลีเจริญ ผู้ช่วยนักวิเคราะห์
ฐกฤต ชาติเชิดศักดิ์ ผู้ช่วยนักเศรษฐศาสตร์

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!