- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Monday, 31 October 2016 17:03
- Hits: 3981
บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส : บทวิเคราะห์ภาวะตลาดหุ้นรายวัน
ปัจจัย&กลยุทธ์ทางปัจจัยพื้นฐาน : ตลาดหุ้นไทยเคลื่อนไหวกรอบแคบเช่นเดียวกับตลาดหุ้นทั่วโลก (ปิดตลาด -3.92 จุดที่ 1494.44 จุด)
นักลงทุนระมัดระวังการลงทุนก่อนการประชุมเฟดวันที่ 1-2 พ.ย.59 และก่อนการเลือกตั้งปธน.สหรัฐวันที่ 8 พ.ย.59 นักลงทุนต่างชาติขายทำ
กำไรต่อ โดยวันศุกร์ขายสุทธิ 970 กว่าล้านบาท สถาบันในประเทศขายสุทธิ 730 กว่าล้านบาท รายย่อยนำซื้อสุทธิ 1.4 พันล้านบาทและ
พอร์ตบล.ซื้อสุทธิ 280 กว่าล้านบาท
สำหรับ สัปดาห์นี้ ติดตามผลประชุม FOMC วันที่ 1-2 พ.ย.59 ซึ่งตลาดประเมินว่าโอกาสที่จะปรับขึ้นดอกเบี้ยยังไม่มาก ส่วนหนึ่งเป็นเพราะ
สหรัฐจะมีเลือกตั้งปธน.วันที่ 8 พ.ย.59 ด้วย อย่างไรก็ตาม โอกาสที่จะปรับขึ้นในเดือนธ.ค.นั้นมีสูงกว่าอย่างมีนัยสำคัญ และเมื่อพิจารณาจาก
ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐที่ออกมาแข็งแกร่ง ทั้งภาคแรงงาน ที่อยู่อาศัย และภาคบริการ เราก็เห็นว่าสหรัฐควรจะเริ่มทยอยทำ Policy
Normailsaton ส่วนรายงานผลประกอบการ 3Q59 ยังคงเป็นปัจจัยพยุงตลาดในช่วงนี้ไปจนถึงกลางเดือนพ.ย.59 กลยุทธ์ : เน้นการซื้อขาย
ตามรอบเป็นหลัก ระยะสั้นระวังการแกว่งก่อน/หลังประชุมเฟด (เรายังไม่แนะนำให้ลงทุนหรือถือครองหุ้นในสัดส่วนที่มากเพราะตลาดโดย
ภาพรวมตลาดยังมีความไม่แน่นอนหลายประการโดยเฉพาะภายนอก ที่มีประเด็นเรื่องการปรับขึ้นดอกเบี้ยของเฟด, การเปลี่ยนแปลง
นโยบายของสหรัฐหลังได้ปธน.คนใหม่, ผลกระทบจาก BREXIT, กรณีค่าปรับของดอยซ์แบงค์, การฟื้นตัวที่ช้าของเศรษฐกิจจีนและญี่ปุ่น
ฯลฯ) ส่วนการลงทุนระยะกลาง-ยาว แนะนำให้ทยอยซื้อสะสมหุ้นพื้นฐานดี (ถอยรับเป็น Step แบบ Rebalancing) สำหรับหุ้นกลยุทธ์
แนะนำวันนี้เป็น STA
การวิเคราะห์ทางเทคนิค : ระยะสั้นสัญญาณป็นลบเล็กๆ ซื้อใหม่เน้นตามด้วยค่าบวกของดัชนีและราคาหุ้น แนวฟิวเตอร์ที่ไม่ควรหลุด คือ
1490 จุด ถ้าต่ำกว่าแนวนี้ก็ควรลดพอร์ต/Stop Loss เพราะมีโอกาสลงต่อจนต่ำกว่า 1450 จุดได้ การเด้งมีแนวต้าน 1500, 1510-1520 จุด
สำหรับการ SCAN หุ้นที่มีสัญญาณเทคนิคดี มีโอกาสทำ New High พบว่าที่เข้ามาใหม่เป็น BGT, WICE ส่วนหุ้นที่ยังอยู่ใน List เป็น CWT,
CSC, JASIF สำหรับหุ้นที่แนะนำไปแล้ว & ให้หาจังหวะ Take Profit ได้แก่ STA, BCH
ปัจจัยต่างประเทศ
+ สหรัฐ : GDP Growth เบื้องต้นของงวด 3Q59 ดีกว่าคาด
ตัวเลขประมาณการเบื้องต้นสำหรับการขยายตัวของจีดีพีประจำไตรมาส 3 อยู่ที่ระดับ 2.9% โดยสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์
ที่ระดับ 2.5% และสูงสุดในรอบ 2 ปี (ในงวด 1H59 เฉลี่ยแล้ว +1.1%) จากแรงหนุนของการส่งออก และการลงทุนด้าน
สินค้าคงคลัง ถึงแม้การใช้จ่ายของผู้บริโภคชะลอตัวลง การส่งออกของสหรัฐเพิ่มขึ้น 10% ในไตรมาส 3 ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้น
มากที่สุดนับตั้งแต่ไตรมาส 4 ของปี 56 และช่วยหนุนตัวเลขจีดีพีคิดเป็นสัดส่วน 0.83% จากที่ช่วยหนุนเพียง 0.18% ใน
ไตรมาส 2 ส่วนการลงทุนด้านสินค้าคงคลังเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 1.26 หมื่นล้านดอลลาร์ในไตรมาส 3 และช่วยหนุนตัวเลข GDP
คิดเป็นสัดส่วน 0.61% อย่างไรก็ดี การใช้จ่ายของผู้บริโภคได้ชะลอตัวลงสู่ระดับ 2.1% ในไตรมาส 3 เมื่อเทียบกับระดับ
4.3% ในไตรมาส 2
• สหรัฐ : จับตาผลประชุมเฟด 1-2 พ.ย.นี้
การประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จัดขึ้นในวันที่ 1-2 พ.ย.59 ซึ่งตลาดคาดการณ์ว่าเฟดมีแนวโน้มคงอัตราดอกเบี้ย
ขณะที่อาจมีการส่งสัญญาณการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนธ.ค.59
- สหรัฐ : มีข่าวว่า FBI อาจรื้อคดีการใช้อีเมล์ส่วนตัวของนางฮิลลารี
สำนักงานสอบสวนกลางสหรัฐ (FBI) เตรียมรื้อคดีการใช้เซิร์ฟเวอร์อีเมล์ส่วนตัวของนางฮิลลารี คลินตัน ผู้สมัครชิง
ตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐจากพรรคเดโมแครต หลังจากมีรายงานข่าวว่านายเจมส์ โคมีย์ ผู้อำนวยการ FBI ได้ส่ง
หนังสือไปยังสภาคองเกรสเมื่อ 28 ต.ค.59 โดยระบุว่า FBI พบว่ามีอีเมล์ใหม่ของนางฮิลลารี ซึ่งเกี่ยวข้องกับคดีการใช้
เซิร์ฟเวอร์อีเมล์ส่วนตัวในช่วงที่เป็นรมว.ต่างประเทศ แม้ว่า FBI ประกาศปิดคดีดังกล่าวไปในเดือนก.ค.ก็ตาม
• ตลาดหุ้นสหรัฐ : อ่อนลงเล็กน้อยก่อนประชุมเฟดสัปดาห์นี้
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 18,161.19 จุด ลดลง 8.49 จุด หรือ -0.05% ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 5,190.10 จุด
ลดลง 25.87 จุด หรือ -0.50% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,126.41 จุด ลดลง 6.63 จุด หรือ -0.31% ปัจจัยที่กดดัน คือ ข่าวว่า
FBI อาจจะรื้อคดีการใช้อีเมล์ส่วนตัวของนางฮิลลารี และการเติบโตของ GDP งวด 3Q59 ที่ดีกว่าคาดของสหรัฐ ทำให้
โอกาสในการปรับขึ้นดอกเบี้ยในเดือนธ.ค.59 มีมากขึ้น
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนธ.ค.ร่วงลง 1.02 ดอลลาร์ หรือ 2.1% ปิดที่ 48.70 ดอลลาร์/บาร์เรล ด้าน BRENT
ลดลง 76 เซนต์ หรือ 1.5% ปิดที่ 49.71 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังการประชุมประเทศกลุ่มโอเปก 14 ประเทศนอกรอบเมื่อ 28
ต.ค.59 ไม่สามารถหาข้อยุติเรื่องการปรับลดปริมาณการผลิต อิหร่านและอิรักคัดค้านแผนการปรับลดปริมาณการผลิต
ส่วนการประชุมร่วมกับประเทศผู้ผลิตน้ำมันนอกกลุ่มโอเปก 29 ต.ค.59 ที่กรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย โดยมีตัวแทนจาก
รัสเซีย บราซิล เม็กซิโก คาซัคสถาน โอมาน อาเซอร์ไบจัน และโบลิเวีย เข้าร่วมประชุมด้วย อย่างไรก็ตาม ที่ประชุมไม่ได้มี
การทำข้อตกลงใดๆในประเด็นลดกำลังการผลิต แต่ระบุเพียงว่าจะมีการประชุมกันอีกครั้งในเดือนพ.ย.59 ก่อนที่การ
ประชุมอย่างเป็นทางการจะมีขึ้นในวันที่ 30 พ.ย.59
• ราคาทองคำ : ขยับขึ้นเล็กน้อย
สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค.เพิ่มขึ้น 2.9 ดอลลาร์ หรือ 0.23% ปิดที่ระดับ
1,269.50 ดอลลาร์/ออนซ์ ทั้งนี้ได้แรงหนุนจากความต้องการทองคำในอินเดียที่ปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจากเป็นช่วงการเฉลิม
ฉลองเทศกาลของชาวฮินดู และนิยมมอบทองคำเป็นของขวัญให้กัน
ปัจจัยในประเทศ & หุ้นเด่น
+ ผู้ได้รับการคัดเลือกโรงไฟฟ้าขยะอุตสาหกรรมเมื่อ 28 ต.ค.59
กกพ. ออกประกาศการรับซื้อในราคารับซื้อไฟฟ้าขยะอุตสาหกรรมแบบ Feed-in Tariff (FiT) ในช่วง 5.78-7.78 บาท/
หน่วย ขึ้นอยู่กับเทคโนโลยีที่ใช้ในโรงไฟฟ้า และเพิ่มอีก 0.50 บาท/หน่วย สำหรับ 3 จังหวัดภาคใต้ พบว่าบริษัทจดทะเบียน
ในตลาดฯที่ผ่านการคัดเลือกอย่างเป็นทางการ คือ 1) PSTC ได้ 2.5 MW, 2) WHA (ร่วมมือกับ GLOW) ได้ 6.9 MW, 3)
BWG ได้ 3.0 MW และ 4) SCC ได้ 7.0 MW โดยผู้ได้รับการคัดเลือกจะต้องลงนามในสัญญาภายในวันที่ 25 ก.พ.2560
Thailand Daily Trading Focus: 31 October 2016
+ กลุ่มยางพารา : ราคาปรับขึ้นจากอุปทานตึงตัวขึ้น
ประชาสัมพันธ์สภาเครือข่ายยางและสถาบันเกษตรกรยางพาราแห่งประเทศไทย (สยยท.) เปิดเผยว่าขณะนี้สถานการณ์
ยางพาราเกิดภาวะตึงตัวเนื่องจากภาคใต้ของไทยอยู่ในช่วงปิดหน้ายางเพราะเข้าสู่ฤดูฝน และอุตสาหกรรมแปรรูป
ยางพาราในประเทศมาเลเซียประสบปัญหายางไม่เพียงพอจึงเริ่มซื้อจากไทยประมาณ 2 หมื่นตัน/เดือน ราคายางแท่งปรับ
ขึ้นสูงกว่า 1.45 พันล้านUS$/ตัน และคาดว่าจะสูงกว่า 1.4 พันล้านUS$/ตันได้ในอีก 1-2 ไตรมาสข้างหน้า เนื่องจากการ
เติบโตของอุปสงค์ที่ดี ขณะทีอุปทานลดลงจากปัจจัยฤดูกาลและชาวสวนยางตัดต้นยางทิ้งไปมากในช่วงที่ผ่านมาที่ราคา
ตกต่ำ บริษัทจดทะเบียนที่มีธุรกิจเกี่ยวข้องโดยตรงกับยางพารา คือ STA และ TRUBB
# STA (ราคาปิด 13.50 บาท) : ผลประกอบการ 1H59 มีรายได้ 3.6 หมื่นล้านบาท กำไรสุทธิ 636 ล้านบาท โดยมี
อัตรากำไรสุทธิ 1.8% ใกล้เคียงกับปี 58 ทั้งนี้บริษัททำกำไรสุทธิมาได้โดยตลอดในช่วง 4 ปีครึ่งที่ผ่านมา โดยมีกำไรสุทธิปี
ละ 1.04-1.81 พันล้านบาท สัดส่วนหนี้สินต่อทุน ณ สิ้นมิ.ย.59 เท่ากับ 1.06 เท่า ด้าน BVS เท่ากับ 16.66 บาท/หุ้น ณ
ราคาปัจจุบันซื้อขายที่ P/BV เท่ากับ 0.8 เท่า
# TRUBB (ราคาปิด 1.53 บาท) : ผลประกอบการ 1H59 มีรายได้ 3.86 พันล้านบาท ขาดทุนสุทธิ 66 ล้านบาท ทั้งนี้
บริษัทมีผลประกอบการขาดทุนสุทธิมาหลายปี (ปี 55 ขาดทุนสุทธิที่ -275 ล้านบาท, ปี 56 เป็น -155 ล้านบาท, ปี 57 เป็น
-123 ล้านบาท, ปี 58 เป็น -76 ล้านบาท และครึ่งแรกปีนี้ -66 ล้านบาท) สัดส่วนหนี้สินต่อทุน ณ สิ้นมิ.ย.59 สูงถึง 2.85
เท่า ด้าน BVS อยู่ที่ 2.12 บาท/หุ้น ณ ราคาปัจจุบันซื้อขายที่ P/BV เท่ากับ 0.7 เท่า
เมื่อเปรียบเทียบตัวเลขจากงบการเงินในเบื้องต้นแล้ว เราเห็นว่า STA มีความแข็งแกร่งมากกว่า TRUBB อย่างมีนัยสำคัญ
ทั้งในด้านฐานะการเงินและความสามารถในการทำกำไร ขณะที่ P/BV แตกต่างกันไม่มาก