- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Monday, 31 October 2016 16:13
- Hits: 1545
บล.เอเซียพลัส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
กลยุทธ์การลงทุน
การประชุมธนาคารกลางโลกสัปดาห์นี้ไม่น่าจะมีประเด็นใหม่ แต่แรงขายรับงบหุ้น non-bank ยังมีอยู่ พร้อมกับแรงขายต่างชาติ กดดันตลาดหุ้นไทยต่ำกว่า 1,500 จุด จึงยังให้สะสมหุ้นที่ผลกำไรเด่นใน 4Q59 (ASK, WHA, SAWAD, HMPEO) TOP picks คือ BJC(FV@B64) และ CK([email protected]) ซึ่งเห็นความคืบหน้าในการประมูลรถไฟฟ้าสายสีส้ม ชมพูและเหลือง เร็วๆนี้
(0) สัปดาห์นี้มีประชุมธนาคารกลางโลกหลายแห่ง ยังไม่มีอะไรใหม่
สัปดาห์นี้จะมีการประชุมธนาคารกลางหลายแห่งของโลก แต่เชื่อว่ายังไม่มีประเด็นใหม่ เริ่มจาก วันนี้ – 1 พ.ย. การประชุมธนาคารกลางญี่ปุ่น(BOJ) ตลาดคาดยังคงดอกเบี้ยนโยบายฯ เช่นเดิม หลังจากการประชุมครั้งก่อนหน้าได้ปรับเปลี่ยนนโยบายการเงิน จากเดิมที่มุ่งเน้นขยายฐานเงิน (Money Base) ผ่านการซื้อคืนพันธบัตรรัฐบาล (ปีละ 80 ล้านล้านเยน) มาเป็นรักษาเส้นผลตอบแทน (Yield curve) ทุกช่วงอายุ ซึ่งจะทำให้ BOJ มีความคล่องตัวในการแทรกแซงปริมาณเงินในระบบ ผ่านการซื้อ/ขายพันธบัตร ทุกช่วงอายุ
1-2 พ.ย. ธนาคารกลางสหรัฐ(Fed) ตลาดคาดยังคงดอกเบี้ยที่ 0.25-0.5% ตามเดิม แต่ให้น้ำหนักไปที่รอบ 13-14ธ.ค. ด้วยความน่าจะเป็น สำรวจโดย Bloomberg ราว 70% หลังดัชนีชี้นำเศรษฐกิจสหรัฐ ภาคครัวเรือนและภาคผลิตยังมีพัฒนาการเชิงบวกต่อเนื่อง แม้จะยังเห็นความขัดแย้งกันอยู่ก็ตาม และตอกย้ำจากแรงหนุนของรายงาน GDP Growth งวด 3Q59 ของสหรัฐดีกว่าที่ตลาดคาด คือ ขยายตัว 2.9%QoQ เร่งจาก 1.4%QoQ ในงวด 2Q59 (หรือขยายตัว 1.5%yoy เร่งจาก 1.3% ในงวด 2Q59)
และ 3พ.ย. ธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) คาดยังคงดอกเบี้ยที่ 0.25% ตามเดิม (ระดับต่ำสุดในประวัติศาสตร์)
อย่างไรก็ตามในระยะสั้น ค่าเงิน Dollar กลับมาทรงตัวที่ระดับ 98.4 จุด หลังจากที่แข็งค่าต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา หนุนให้ค่าเงินยูโร แข็งค่า และเงินสกุลในประเทศกลุ่ม TIPs อ่อนค่าเล็กน้อย น่าจะเป็นจากต่างชาติมีการซื้อ/สลับขายตราสารหนี้ และตราสารทุน
(+) วันนี้ ยื่นซองประมูลไฟฟ้าสายสีส้ม...เชิงบวกต่อหุ้นก่อสร้าง : CK, ITD, STEC, UNIQ
ย่างเข้าเดือน พ.ย. .ย. เข้าสู่ฤดูกาลจับจ่ายใสสอยช่วงเทศกาลปีใหม่ ซึ่งมักเป็นผลดีต่อหุ้นค้าลุ่มค้าส่ง-ปลีก และท่องเที่ยวแล้ว ยังมีอีกกลุ่มหนึ่งที่คาดว่าน่าจะผลที่สร้างความคึกคักต่อตลาดคือ กลุ่มก่อสร้างที่น่าจะได้ผลบวก จากความคืบหน้าของการประกาศรายชื่อผู้ประมูล การลงทุนภาครัฐ ตามแผนเร่งด่วนมูลค่า 1.4 ล้านล้านบาท ในปี 2559 ซึ่งผ่าน ครม. อนุมัติ แล้ว 13 โครงการ (อีก โครงการจะทยอยเดินหน้าปีหน้า) ทั้งนี้ ขั้นตอนการเปิดประมูลโครงการขนาดใหญ่จากภาครัฐที่มีหลายขั้นตอนและใช้ระยะเวลาค่อนข้างมาก
โดยในวันนี้ 31 ต.ค. เป็นกำหนดผู้รับเหมาจะยื่นเอกสารประมูลโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม (ศูนย์วัฒนธรรม–มีนบุรี) ระยะทาง 20 กม. มูลค่ากว่า 9 หมื่นล้านบาท และ ในวันจันทร์หน้า คือ 7 พ.ย. กำหนดยื่นเอกสารประมูลโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู (แคราย-มีนบุรี) ระยะทาง 36 กม. มูลค่า 2.7 หมื่นล้านบาท และ สีเหลือง (ลาดพร้าว-สำโรง) ระยะทาง 30 กม. มูลค่า 3.2 หมื่นล้านบาท ทั้งนี้คาดว่าผู้รับเหมาที่ เข้าประมูล อาทิ ITD, CK, STEC และ UNIQ แต่ที่คาดว่ามีโอกาสชนะสูงคือ CK และ ITD สัญญา มูลค่าราว 6 หมื่นล้านบาท (CK และ ITD เคยมีประสบการณ์ทำงานมาก่อน)
ส่วนสายสีชมพู และเหลือง เปิดให้เอกชนร่วมลงทุนรูปแบบ PPP พบว่าทั้ง ITD CK STEC และ UNIQ ต่างเข้าประมูลกันถ้วนหน้า พร้อมเปิดตัวพันธมิตรที่มีความชำนาญในการเดินรถไฟฟ้าเพื่อเข้าร่วมประมูล โดย ITD จะจับมือกับ SK Engineering & Construction จากเกาหลีใต้ และ Trandev จากฝรั่งเศส , CK จับมือกับ BEM STEC จับมือกับ BTS ส่วน UNIQ จับมือกับ SMRTจากสิงคโปร์ และ ซิโดรไฮโดร และไชน่าสเตท จากจีน ซึ่งคาดว่าผู้รับเหมาทุกรายน่าจะได้งานตามความสามารถที่แตกต่างกัน
สำหรับความคืบหน้าโครงการอื่นๆ ที่คาดว่ายังหนุน backlog หุ้นรับเหมาก่อสร้างคือ
โครงการที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติแล้ว กำลังอยู่ระหว่างเตรียมประมูลและจัดทำ TOR มีอยู่ 4 โครงการ คือ รถไฟทางคู่ ช่วงประจวบคีรีขันธ์ – ชุมพร, ช่วงมาบกะเบา-จิระ, รถไฟฟ้าสายสีแดงอ่อน และรถไฟฟ้าสายสีแดงเข้ม
โครงการที่อยู่ในระหว่างการประมูลไปแล้ว แต่ยังไม่เสร็จสิ้น มี 4 โครงการ ได้แก่ มอเตอร์เวย์เส้นพัทยา-มาบตาพุด (ประมูลไปแล้ว 13 สัญญา จาก 14 สัญญา) ,เส้นบางปะอิน-โคราช(ประมูลไปแล้ว 25 สัญญา จาก 40 สัญญา), เส้นบางใหญ่-กาญจนบุรี(ประมูล 9 สัญญาจาก 25 สัญญา) สุวรรณภูมิเฟส 2 (ประมูล 3 สัญญาจาก 7 สัญญา)
โครงการที่ผ่านการคัดเลือกผู้รับเหมาแล้ว มี 3 โครงการคือ ท่าเทียบเรือชายฝั่ง (NWR ชนะการประมูล) ศูนย์ขนส่งสินค้าแหลมฉบัง (ITD – WH Consortuimได้งานประมูล) และรถไฟทางคู่ ช่วงจิระ-ขอนแก่น (กิจการร่วมค้า CKCH ชนะการประมูล)
ทั้งนี้ เชื่อว่าโครงการต่างๆ ที่จะเข้าสู่การประมูล หรือกำลังประมูล ผู้รับเหมารายใหญ่ที่เคยมีประสบการณ์ก่อสร้าง ทั้ง ITD, CK, STEC และ UNIQ น่าจะได้ผลบวกในฐานะที่จะเป็นผู้เข้าประมูลในฐานะผู้รับเหมาหลัก โดยฝ่ายวิจัยเลือก CK([email protected]) เป็น Top Pick จากความน่าสนใจมีลุ้นได้งานเพิ่มสำหรับทุกโครงการที่เข้าประมูล และพื้นฐานธุรกิจที่แข็งแกร่ง และSynergyบริษัทในเครือที่สร้างทั้งกระแสเงินสด
(-) ต่างชาติขายหุ้นในภูมิภาคทั้ง 5 ประเทศ
วันศุกร์ที่ผ่านมา ต่างชาติยังคงขายสุทธิหุ้นในภูมิภาคต่อเนื่องเป็นวันที่ 3 ด้วยมูลค่าราว 169 ล้านเหรียญ พร้อมกับขายสุทธิทุกแห่ง นำโดยเกาหลีถูกขายสุทธิสูงสุดในภุมิภาคราว 87 ล้านเหรียญ (หลังจากซื้อสุทธิเพียงวันเดียว) ตามมาด้วยไต้หวัน 38 ล้านเหรียญ (ขายสุทธิเป็นวันที่ 3) , ฟิลิปปินส์ 13 ล้านเหรียญ (ขายสุทธิเป็นวันที่ 5), อินโดนีเซีย 3 ล้านเหรียญ (ขายสุทธิเป็นวันที่ 3) และไทยที่ต่างชาติยังคงขายสุทธิราว 28 ล้านเหรียญ หรือ 978 ล้านบาท (ขายสุทธิเป็นวันที่ 5) เช่นเดียวกับนักลงทุนสถาบันฯที่ขายสุทธิราว 756 ล้านบาท (หลังจากซื้อสุทธิเพียงวันเดียว)
และเช่นเดียวกับตลาดตราสารหนี้ไทย ต่างกับนักลงทุนต่างชาติที่ขายสุทธิราว 2.7 พันล้านบาท (ขายสุทธิเป็นวันที่ 2) สวนทางกับ นักลงทุนสถาบันฯยังคงซื้อสุทธิราว 1.5 หมื่นล้าน
(0) ยังเห็นแรงขายรับงบรายหุ้น ยกเว้น BJC ที่เห็น synergy หลังรวมกับ BIGC
ดังที่กล่าวข้างต้นว่าสัปดาห์นี้จะไม่มีประเด็นภายนอกช่วยหนุนตลาดฯ แต่ยังคงติดตามเรื่องผลประกอบการงวด 3Q59 ของหุ้นในกลุ่ม non-bank ซึ่งคาดว่ายังเกิด sale on fact ในหุ้นรายตัวที่ผลกำไรใกล้เคียง/ต่ำกว่าคาด ล่าสุด SCCC รายงานงบ 3Q59 ต่ำกว่าคาด เพราะต้นทุนที่สูงขึ้น (ดอกเบี้ยจ่ายและค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร)หลังเข้าซื้อกิจการโรงปูนซิเมนต์ที่ศรีลังกา และการแข่งขันที่รุนแรงขึ้น ซึ่งเชื่อว่าเหตุการณ์นี้ยังคงมีอยู่ในงวด 4Q59 จึงทำให้นักวิเคราะห์ ASPS ปรับลดประมาณการกำไรปีนี้ลงจากเดิม 17% และลดปีหน้าลงอีก 9% พร้อมปรับลด Fair Value ปี 2560 ลง 10% เหลือ 340 บาท
แตกต่างจาก SCC ผลกำไรงวดนี้ดีกว่านักวิเคราะห์ ASP คาด เพราะได้ธุรกิจปิโตรเคมีที่ดีขึ้นมาชดเชย ธุรกิจปูนซินเมนต์/เหล็กที่อ่อนตัว ทั้งจากภาวะลงทุนเอกชนที่ชะลอตัว และ การแข่งขันที่รุนแรง ทำให้นักวิเคราะห์ ASPS ปรับเพิ่มประมาณการกำไรในปีนี้ และปีหน้าขึ้นเฉลี่ย 6.5% แต่ก็พบว่า ราคาหุ้น SCC ถูกขายรับงบเช่นกัน
ขณะที่หุ้นพลังงาน นำโดย PTTEP(FV@B102) กำไรสุทธิงวด 3Q 59 ดีกว่าคาด แต่เกิดจาก การบันทึกกำไรจากรายการพิเศษ แต่หากพิจารณากำไรปกติยังคงชะลอตัวจากปริมาณขายและราคาผลิตภัณฑ์ที่ชะลอตัวจากงวดก่อนหน้า และคาดว่างวด 4Q59 จะทำกำไรสุทธิต่ำสุดของปี แต่น่าจะฟื้นตัวในปี 2560 จึงยังคงประมาณการกำไรสุทธิที่เดิม
ตามด้วยหุ้นเหล็ก TSTH(FVB0.76) กำไรสุทธิลดลง 11% QoQ แต่เพิ่มขึ้น 308% YoY จากปริมาณขายเหล็กที่เพิ่มขึ้น 4% qoq แม้ว่าจะอยู่ในช่วง Low Season แต่เป็นเพราะ ราคาเหล็กที่ฟื้นตัวจากจุดต่ำสุดในปีก่อน และ การบริหารต้นทุนที่ดีขึ้น หนุน net margin ดีขึ้นมาก จึงปรับเพิ่มกำไรโดยปี 2559/60 และ 2560/61 จากเดิมกว่า 2 เท่าตัว และ 1.4 เท่าตัว ตามลำดับ แต่เนื่องจากความผันผวนของราคาเหล็กยังมีอยู่จึงยังคงแนะนำ Switch แม้ราคาตลาด ยังต่ำกว่ามูลพื้นฐานใหม่ที่ 0.87 บาท โดยแนะนำให้ ซื้อ TMT([email protected]) ที่ให้ Dividend สูงถึง 10%
และ THANI([email protected]) กำไรสุทธิงวด 3Q59 ทำระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในรายไตรมาส แต่เติบโตเพียง 0.7% qoq และ 1.7% yoy จากการเติบโตของสินเชื่ออย่างต่อเนื่อง แต่ yield เริ่มชะลอตัว และคาดว่างวด 4Q59 ยังทำกำไรสูงใหม่ต่อเนื่อง น่าจะทำ New high ต่อเนื่อง แต่อย่างไรก็ตามได้ปรับลดประมาณการกำไรสุทธิปี 2559-2560 ลงเล็กน้อยราว 2.25% ต่อปี เพื่อสะท้อนการเพิ่มสมมติฐาน Credit Cost ที่เพิ่มขึ้น รองรับการตั้งสำรองหนี้ฯ ตามมาตรฐานบัญชีใหม่ แต่ยังคงแนะนำซื้อมูลค่าพื้นฐานปี 2560 ซึ่งปรับลดแล้วเหลือ 6.15 บาท (เดิมที่ 6.20 บาท)
ทั้งนี้ ยกเว้น BJC(FV@B64) ซึ่งผลกำไรออกดีกว่าคาดมาก หลังจากจัดทำงบการเงินรวมกับ BIGC (ถือหุ้น 97.74%) เพราะแม้จะยังเห็น การชะลอตัวของยอดขายสาขาเดิม (SSSG) แต่บริษัทฯ ได้ปรับกลยุทธ์ใหม่ ผ่านการตัดสินค้าที่มี Margin ต่ำออกไป ได้ช่วยหนุนอัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin) งวดนี้ดีขึ้นกว่าเดิมเท่าตัว รวมถึงการบริหารจัดการต้นทุนทางการเงิน ทั้งการ นำเงินเพิ่มทุนไปชำระหนี้เงินกู้ และ Refinance ส่งผลให้ต้นทุนดอกเบี้ยจ่ายลดลงอย่างมีนัยฯ และคาดว่าจะเห็นพัฒนาการเชิงบวกต่อเนื่องในปี 2560 ซึ่งทำให้นักวิเคราะห์ ASPS ปรับเพิ่มประมาณการกำไรปีนี้ขึ้น 44.6% และ 18.5% ในปี 2560 (กำไรปี 2559 เติบโต 111% จากปี 2558 และเติบโต 82% จากปี 2559 ) พร้อมปรับ Fair Value ปี 2560 ขึ้นจากเดิม 18.5% เป็น 64 บาท ราคาปัจจุบันเปิด upside กว่าราว 21% จึงเหลือเป็น Top pick หุ้นค้าปลีก
ภรณี ทองเย็น เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004146
เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004132
พบชัย ภัทราวิชญ์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 052647
ภราดร เตียรณปราโมทย์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 075365
พาสุ ชัยหลีเจริญ ผู้ช่วยนักวิเคราะห์
ฐกฤต ชาติเชิดศักดิ์ ผู้ช่วยนักเศรษฐศาสตร์