- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Thursday, 27 October 2016 17:06
- Hits: 8913
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
'เน้นซื้อ/ถือค่าบวก หลุด 1485 ลดพอร์ตตาม'
หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : ไม่มี
ปัจจัย&กลยุทธ์ทางปัจจัยพื้นฐาน : SET Index เมื่อวานนี้อ่อนลง ปิดตลาดดัชนี -14.35 จุดที่ 1492.12 โดยมีแรงขายมากในกลุ่มธนาคารพาณิชย์, พลังงาน รวมทั้งหุ้น Big Cap ในกลุ่มอื่น เช่น AOT, SCC เป็นต้น นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิเพิ่มเป็น 1.1 พันล้านบาท สถาบันในประเทศขายสุทธิ 1.3 พันล้านบาท รายย่อยซื้อสุทธิกว่า 2.3 พันล้านบาท ขณะที่พอร์ตบล.ซื้อ/ขายใกล้เคียงกัน
ตลาดหุ้นโดยรวมยังขาดปัจจัยใหม่ นักลงทุนระมัดระวังการลงทุนก่อนการประชุมเฟด 1-2 พ.ย.59 ถึงแม้ว่าโอกาสในการปรับขึ้นดอกเบี้ยสหรัฐจะน้อยกว่าการประชุมวันที่ 13-14 ธ.ค.ก็ตาม การเก็งกำไรผลประกอบการ 3Q59 โดยเฉพาะในหุ้นขนาดกลาง-เล็กช่วยประคับประคองตลาดในช่วงนี้ ซึ่งผลประกอบการจะรายงานออกมาถึงกลางเดือนพ.ย.59 โดยรวมเรายัง Call กลยุทธ์เป็นการซื้อขายตามรอบเป็นหลัก (ยังไม่แนะนำให้ลงทุนหรือถือครองหุ้นในสัดส่วนที่มากเพราะตลาดโดยภาพรวมตลาดยังมีความไม่แน่นอนหลายประการโดยเฉพาะภายนอก การปรับขึ้นดอกเบี้ยของเฟดอาจเขย่าตลาดเป็นระลอกๆในราวสองเดือนที่เหลือของปีนี้) ส่วนการลงทุนระยะกลาง-ยาว แนะนำให้ทยอยซื้อสะสมหุ้นพื้นฐานดี (ถอยรับเป็น Step แบบ Rebalancing) สำหรับหุ้นกลยุทธ์แนะนำวันนี้เป็น PRIN
การวิเคราะห์ทางเทคนิค : ระยะสั้นสัญญาณป็นลบ โดยหลุดแนวจิตวิทยา 1500 จุดลงมาค่อนข้างมาก (สำหรับการเล่นสั้น) จุดที่ต้องระวังต่อไปคือ แนวฟิวเตอร์ 1485 จุดที่ไม่ควรหลุด ถ้าต่ำกว่าแนวนี้ก็ควรลดพอร์ต/Stop Loss เพราะมีโอกาสลงต่อจนต่ำกว่า 1450 จุดได้ การซื้อใหม่เน้นตามด้วยค่าบวก การเด้งจากพื้นที่ระดับปิดเมื่อวานนี้ มีแนวต้าน 1500, 1510-1520 จุด
สำหรับ การ SCAN หุ้นที่มีสัญญาณเทคนิคดี มีโอกาสทำ New High พบว่าที่เข้ามาใหม่เป็น UTP, CSC ส่วนหุ้นที่ยังอยู่ใน List เป็น BCH, CWT, GFPT, ANAN, CPALL (ซึ่งถ้าหุ้นในกลุ่มนี้หลุดแนว SMA10 ก็ควรหยุดเล่นก่อน) สำหรับหุ้นที่แนะนำไปแล้ว & ให้หาจังหวะ Take Profit ได้แก่ EA, DIF
นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค – [email protected]
Need to know TODAY
ปัจจัยต่างประเทศ
+ สหรัฐ : ยอดขายบ้านใหม่ก.ย.เพิ่มขึ้นดี
ยอดขายบ้านใหม่เพิ่มขึ้น 3.1%MoM ในเดือนก.ย. สู่ระดับ 593,000 ยูนิต ซึ่งใกล้ระดับสูงสุดในรอบ 9 ปี
+ สหรัฐ : ดัชนี PMI ภาคบริการต.ค.ปรับขึ้นดี
มาร์กิตระบุว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) เบื้องต้นของภาคบริการสหรัฐประจำเดือนต.ค. อยู่ที่ระดับ 54.8 เพิ่มขึ้นจากระดับ 52.3 ในเดือนก.ย. โดยเป็นการขยายตัวมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนพ.ย.58
ตลาดหุ้นสหรัฐ : แกว่งแคบ
ดัชนี DJIA ปิดที่ 18,199.33 จุด เพิ่มขึ้น 30.06 จุด หรือ +0.17% ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 5,250.27 จุด ลดลง 33.13 จุด หรือ -0.63% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,139.43 จุด ลดลง 3.73 จุด หรือ -0.17% โดยตลาดมีแรงหนุนจากผลประกอบการที่ดีของโบอิ้ง และตัวเลขยอดขายบ้านใหม่ก.ย. และ PMI ภาคบริการเพิ่มขึ้น แต่ก็ผิดหวังผลประกอบการบริษัทขนาดใหญ่ในกลุ่มเทคโนโลยี เช่น แอปเปิล อิงค์
- ราคาน้ำมันดิบ : อ่อนตัวลงต่อ แต่ไม่รุนแรงเพราะสต็อกน้ำมันสหรัฐลดลงมากกว่าคาด
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนธ.ค.ลดลง 78 เซนต์ หรือ 1.6% ปิดที่ 49.18 ดอลลาร์/บาร์เรล ด้าน BRENT ส่งมอบเดือนธ.ค.ลดลง 81 เซนต์ หรือ 1.6% ปิดที่ 49.98 ดอลลาร์/บาร์เรล ทั้งนี้มีแนวโน้มว่าสมาชิกกลุ่มโอเปกไม่สามารถตกลงกันได้เรื่องการปรับลดปริมาณการผลิต หลังอิรัก ไนจีเรีย ลิเบีย เวเนซูเอลา อินโดนีเซีย รัสเซีย แสดงทีท่าว่าไม่ต้องการลดการผลิต โดยทางด้านรัสเซียกล่าวว่าการลดปริมาณการผลิตน้ำมันลงนั้น ไม่ใช่ทางเลือกที่เหมาะสมสำหรับรัสเซีย
แต่...ราคาน้ำมันดิบไม่ได้ร่วงแรงเพราะ EIA รายงานสต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐลดลงต่อ 0.553 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว โดยทำสถิติปรับตัวลง 6 สัปดาห์ในรอบ 7 สัปดาห์ที่ผ่านมา สวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดไว้ว่าจะเพิ่มขึ้น 1.7 ล้านบาร์เรล ด้านสต็อกน้ำมันเบนซินและน้ำมันกลั่นก็ลดลงมากกว่าคาดด้วยเช่นกัน
- ราคาทองคำ : ลดลงหลังตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐออกมาดี
สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค.ลดลง 7 ดอลลาร์ หรือ 0.55% ปิดที่ระดับ 1,266.60 ดอลลาร์/ออนซ์ ตอบรับตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐที่แข็งแกร่ง และนักลงทุนระมัดระวังการลงทุนก่อนการประชุมเฟด 1-2 พ.ย.นี้
ปัจจัยในประเทศ & หุ้นเด่น
+ ส่งออกเดือนก.ย.เติบโตที่ +3.4%YoY และ 9M59 หดตัวเหลือ -0.7%YoY
มูลค่าส่งออกแดือนก.ย.เติบโต 3.4%YoY เป็น 19,460 ล้านUS$ และหากไม่รวมการส่งออกทองคำ น้ำมันและผลิตภัณฑ์มูลค่าส่งออกจะเติบโตประมาณ 5%YoY ซึ่งเป็นผลจากการส่งออกชิ้นส่วนอิเลคทรอนิกส์, เครื่องยนต์, เคมีภัณฑ์, ผักผลไม้สดและแปรรูป, กุ้งแช่แข็งและแปรรูป และข้าว ที่เติบโตดีขึ้นทั้งปริมาณและราคา ตลาดยุโรป จีน สหรัฐ และญี่ปุ่นขยายตัวดีขึ้น แต่ตลาดตะวันออกกลางยังหดตัว สำหรับการนำเข้าเดือนก.ย.เพิ่มขึ้น 5.57%YoY เป็น 16,914 ล้านUS$ ทำให้เดือนนี้เกินดุลการค้า 2,546 ล้านUS$ ซึ่งต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 17
สำหรับมูลค่าส่งออก 9M59 อยู่ที่ 160,468 ล้านUS$ หดตัวเล็กน้อย 0.7%YoY นำเข้า 142,538 ล้านUS$ ลดลง 7.3%YoY เกินดุลการค้า 17,930 ล้านUS$ สำหรับแนวโน้ม 3 เดือนที่เหลือของปีนี้ กระทรวงพาณิชย์มองว่ายังไปได้ดี และคาดการณ์มูลค่าส่งออกปี 59 ไว้ที่ -1.0% ถึง 0.0% เท่าเดิม
-/ CPALL (ราคาปิด 61.75 บาท) : อาจหยุดบริการเติมเงินวันทูคอลค่าย ADVANC
ทาง CPALL อาจจะยุติการให้บริการเติมเงินวันทูคอลของค่าย ADVANC เนื่องจากไม่สามารถตกลงเรื่องค่าผลตอบแทนในการขายกันได้ โดยทาง CPALL จะขอขึ้นมาร์จิ้นจาก 5% เป็น 7% แต่ทาง ADVANC ไม่ตกลง ทั้งนี้ผู้สื่อข่าวรายงานว่ามาร์จิ้นที่ CPALL เรียกเก็บจาก ADVANC ถือว่าสูงที่สุดช่องทางหนึ่งเมื่อเทียบกับช่องทางอื่นๆ แต่ต่ำกว่ามาร์จิ้นที่เรียกเก็บจาก DTAC ที่ 6+1% และจาก TRUE ที่ 7% อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ทาง CPALL และ ADVANC ยังคงเจรจากันอยู่และคาดว่าจะได้ข้อสรุปในไม่ช้านี้ (ที่มา : บริษัท, ไทยรัฐ)
ความเห็นเชิงกลยุทธ์ : ถ้าหาก CPALL ยุติการให้บริการวันทูคอลจริง ผลกระทบต่อรายได้ของ CPALL ไม่มาก เพราะรายได้ที่บริษัทรับจากบริการเติมเงินวันทูคอลอยู่ที่ 1-1.2 พันล้านบาท/ปี ซึ่งคิดเป็นประมาณ 0.3% ของรายได้บริษัทในปี 58 แต่ผลกระทบต่อกำไรสุทธิ CPALL จะอยู่ที่ราว 3% (ถ้าให้สมมติฐาน Net profit margin จากธุรกิจนี้ 40%) ในเชิงกลยุทธ์แนะนำซื้ออ่อนตัวใน CPALL โดยเรายังคงประเมินว่าการขยายสาขาเพิ่มปีละ 700 แห่งและการเพิ่มสัดส่วนสินค้าที่มีมาร์จิ้นสูงจะทำให้กำไรสุทธิบริษัทขยายตัวได้ดีต่อเนื่องเป็นเลขสองหลักในช่วง 1-3 ปีข้างหน้า ทางฝ่ายวิจัยฯ DBSV ประเมินราคาพื้นฐานไว้ที่ 75 บาท
นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค - [email protected]