- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Wednesday, 26 October 2016 15:08
- Hits: 1286
บล.เอเซียพลัส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
กลยุทธ์การลงทุน
ตลาดหุ้นไทยยังถูกกดดันจากแรงขายต่างชาติ และยังไม่มีประเด็นบวกใหม่ที่มีน้ำหนักมากพอที่จะหนุน SET ยืนเหนือ 1,500 จุด ได้ ยังให้สะสมหุ้นปันผลเด่น (ASK, HANA) หรือกำไรเด่นใน 4Q59 ยังชื่นชอบ WHA([email protected]) วันนี้เลือก SAWAD([email protected]) และ HMPRO([email protected]) เป็น Top picks
(+) ตลาดหุ้นสหรัฐกลับกังวลเศรษฐกิจ หลัง CCI หดตัวแรง
วานนี้มีรายงานดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (CCI) สหรัฐ เดือน ต.ค. กลับมาหดตัวจาก 103.5 สู่ 98.6 จุด หลังจากที่เพิ่มขึ้นติดต่อกัน 2 เดือน ซึ่งคาดว่าเป็นผลจากแรงกดดันการเลือกตั้งตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐ และดัชนีชี้นำเศรษฐกิจที่ยังมีความขัดแย้งกันดังที่กล่าวไปต่อเนื่องในหลายวันก่อนหน้ากล่าวคือ ภาคการผลิต แม้ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิต (PMI) จะเพิ่มขึ้น แต่สวนทางกับ ดัชนีภาคการผลิต เดือนเดียวกัน ที่ยังติดลบ และเช่นเดียวกับการบริโภคภาคครัวเรือน แม้พบว่ายอดขายบ้านมือสองดีขึ้น แต่ก็ สวนทางกับยอดสั่งสร้างบ้านที่ ลดลง ยกเว้น เงินเฟ้อที่ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 1.5% หนุนให้ Fed มั่นใจต่อการขึ้นดอกเบี้ยในเดือน ธ.ค. นี้ ซึ่งเห็นได้จากโอกาสการขึ้นดอกเบี้ย (สำรวจโดย Bloomberg) เพิ่มเป็น 72.5% จาก 67.6% ในปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา แต่เชื่อว่าประเด็นนี้ตลาดน่าจะรับรู้ไปแล้ว และน่าจะขึ้นดอกเบี้ยแบบค่อยเป็นค่อยไป
(+) รัฐเดินหน้ากระตุ้นรากหญ้าต่อ ดีต่อหุ้นลิสซิ่ง
ส่วนในประเทศ รัฐยังคงเดินหน้าต่อ โดยวานนี้ที่ประชุม ครม. ได้อนุมัติมาตรการกระตุ้น รากหญ้าเพิ่มเติม ระยะที่ 2 คือ จัดสรรเงินสู่หมู่บ้านทั่วประเทศๆละ 2.5 แสนบาท ผ่านงบกลางปี 2560 วงเงินรวม 1.87 หมื่นล้านบาท (เทียบกับการจัดสรรเงินหมู่บ้าน ระยะที่ 1 หมู่บ้านละ 2 แสนบาท วงเงินรวม 5 หมื่นล้านบาท) เริ่มโครงการตั้งแต่ พ.ย.59- ม.ค.60 โดยมีเงื่อนไขคือ ผู้ที่ขอเงินจากโครงการต้องนำไปลงทุนโครงสร้างพื้นฐานที่ไม่ซ้ำกับโครงการที่ได้รับจัดสรรงบประมาณประจำปี เช่น การซ่อมแซมอาคารโรงเรียน ศาลาวัด หรือห้ามจัดซื้อครุภัณฑ์
แม้ยังไม่มีความชัดเจนเกี่ยวกับโครงการลงทุน แต่เชื่อว่าเป็น sentiment เชิงบวก เพราะเท่ากับ เป็นการเพิ่มเงินหมุนเวียนในระบบฯ และเพิ่มกำลังซื้อโดยรวม เชื่อว่าน่าจะดีต่อผู้ปล่อยสินเชื่อ (leasing) (ผู้กู้มีเงินผ่อนชำระ และหนี้เสียน่าจะไม่เพิ่มขึ้น) โดยหุ้นที่ได้รับประโยชน์มากสุด คือ LIT(FV@B20) เพราะเป็นแหล่งเงินทุนหมุนเวียนให้กับผู้รับเหมาโครงสร้างพื้นฐานขนาดเล็กในชุมชน
(-) ต่างชาติยังคงขายหุ้นไทย แต่สลับไปซื้อตราสารหนี้มากขึ้น
วานนี้ต่างชาติซื้อสุทธิหุ้นในภูมิภาคเป็นวันที่ 2 แต่ด้วยมูลค่าน้อยเพียง 15 ล้านเหรียญ และแรงซื้อยังเป็นการเลือกรายประเทศคือ ไต้หวันกลับมาซื้อสุทธิราว 83 ล้านเหรียญ (หลังจากขายสุทธิ 2 วัน) และอินโดนีเซีย 9 ล้านเหรียญ (ซื้อสุทธิต่อเนื่องเป็นวันที่ 4) ส่วนที่เหลืออีก 3 ประเทศสลับมาขายสุทธิ คือ เกาหลีใต้ถูกขายสุทธิ 54 ล้านเหรียญ (หลังจากซื้อสุทธิติดต่อกันนานถึง 8 วัน), ฟิลิปปินส์ 7 ล้านเหรียญ (ขายสุทธิเป็นวันที่ 2) และไทย 16 ล้านเหรียญ หรือ 573 ล้านบาท (ขายสุทธิเป็นวันที่ 2) เช่นเดียวกับนักลงทุนสถาบันฯที่สลับมาขายสุทธิเล็กน้อยราว 138 ล้านบาท (หลังจากซื้อสุทธิติดต่อกัน 3 วัน)
สังเกตได้ว่าในช่วงที่ผ่านมานักลงทุนต่างชาติเริ่มปรับลดพอร์ตการลงทุนในหุ้นไทย และสลับมาซื้อตราสารหนี้มากขึ้น โดยวานนี้ซื้อสุทธิตราสารหนี้ไทยไปอีก 8.2 พันล้านบาท และเป็นการซื้อสุทธิติดต่อกันเป็นวันที่ 5 โดยมียอดซื้อรวมอยู่ที่ 2.1 หมื่นล้านบาท ซึ่งแรงซื้อดังกล่าวช่วยพยุงให้ค่าเงินบาทชะลอการอ่อนค่าลง โดยล่าสุดยังต่ำกว่า 35 บาท/เหรียญสหรัฐฯ เช่นเดียวกับนักลงทุนสถาบันในประเทศยังคงซื้อสุทธิราว 2.2 หมื่นล้านบาท
(+) เน้นหุ้นกำไรเด่น 4Q59 ราคายัง laggard : SAWAD, MTLS, CENTEL, ERW
หลังจากนี้คาดว่าหุ้น Real sector จะทยอยประกาศจนถึงสิ้นเดือน ซึ่งคาดว่าส่วนใหญ่กำไรจะหดตัวจากงวดก่อนหน้าโดยเฉพาะหุ้นที่มี market cap ขนาดใหญ่เริ่มจาก กลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี แต่ก็เป็นไปตามฤดูกาล (ราคาปิโตรเลียมอ่อนตัวและยอดขายลด) และฟื้นตัวได้ใน 4Q59 ตามสู่ฤดูกาล หุ้นในกลุ่มฯ ที่ฝ่ายวิจัยแนะนำ คือ คือ IRPC รวมทั้ง PTTEP และ PTT และ ตามด้วยกลุ่ม ICT คาดกำไรชะลอตัวจากต้นทุนใบอนุญาต 4G ของ ADVANC และ TRUE ส่วน DTAC รายงานกำไรลดลงถึง 46%yoy จากค่าเสื่อมราคา เงินลงทุนขยายโครงข่าย แต่รายได้ทรงตัว
อย่างไรก็ตามให้น้ำหนักต่อผลกำไรงวด 4Q59 ที่คาดว่ากำไรจะโดดเด่นคือ ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับภาคท่องเที่ยวและโรงแรม ค้าปลีก และ กลุ่มเช่าซื้อ เป็นต้น เริ่มจากกลุ่มท่องเที่ยว คาดว่าเริ่มเข้าสู่ต้นฤดูกาลท่องเที่ยว ซึ่งเริ่มจากเดือน ช่วงไตรมาส 4 ต่อเนื่องถึงไตรมาส 1 ปีถัดไป โดยจำนวนท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาไทยในช่วง 8M59 ยังเติบโตถึง 12% yoy ทั้งจากจีน (30% ของจำนวนนักท่องเที่ยวทั้งหมด-สัดส่วนมากสุด)และรัสเซีย (3% ของจำนวนนักท่องเที่ยวทั้งหมด-เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้วกว่า 20% หลังราคาน้ำมันฟื้นหนุนเศรษฐกิจดีขึ้น) โดยรวมหนุนให้นักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยคาดว่าปี 2559 จะมีนักท่องเที่ยวไม่ต่ำกว่า 33 ล้านคน เติบโต 10% yoy ซึ่งทำให้กำไรปกติของกลุ่มโรงแรมจะเติบโตถึง 21.5% yoy และ ปีเติบต่อเนื่อง 12% ในปี 2560 โดยงวด 1Q60 จะกำไรจุดสูงสุดใหม่ของปีนี้ 2560 เลือก ERW ([email protected]) และ CENTEL ([email protected]) เป็น Top picks (รายละเอียด Market Talk วันศุกร์ที่ผ่านมา)
ตามมาด้วยกลุ่มค้าปลีก โดยปกติ 4Q59 จะเป็นจุดสูงสุดของปีจากช่วงฤดูกาล แต่หากเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อนซึ่งมีฐานที่สูงจากอานิสงส์นโยบายช็อปช่วยชาติ จะทำให้กำไรเติบโต (yoy) ในอัตราชะลอตัวลงได้ แต่โดยรวมประเมินกำไรกลุ่มปีนี้จะเพิ่มขึ้น 11% และคาดเติบโตต่อเนื่องปีหน้า 24% อย่างไรก็ตาม หุ้นในกลุ่มค้าปลีกส่วนใหญ่เต็มมูลค่าแล้ว ยกเว้น HMPRO ([email protected]) คาดกำไร 4Q59 จะเป็นจุดสูงสุดของปี เติบโตราว 20%yoy จากการเปิดสาขาใหม่ 4-5 แห่ง (โฮมโปรในประเทศ 2 แห่ง มาเลเซีย 1 แห่ง และ Mega Home อีก 1-2 แห่ง) ทำให้ ASP ปรับเพิ่มประมาณการกำไรสุทธิปี 2559 ขึ้น 4.2% และ อีก 6% ในปี 2560 เพื่อรับรู้กำไรจาก Mega Home ที่เริ่มมีตั้งแต่ปี 2559 และโฮมโปร มาเลเซียทีคาดจะเริ่มคุ้มทุนในงวด 4Q60 โดยรวมกำไรสุทธิจะเติบโตเฉลี่ยปีละ 19%
และกลุ่มลิสซิ่ง คาดว่าผลกำไรจะทำจุดสูงสุด นำโดย สินเชื่อเช่าซื้อรถบรรทุกซึ่งเติบโตตามภาคการก่อสร้างจากการลงทุนของภาครัฐที่น่าจะทยอยเกิดขึ้นในช่วงปลายปี ทำให้เกิดความต้องการรถบรรทุกมากขึ้น อีกกลุ่มคือสินเชื่อรถจักรยานยนต์ ตามยอดขายรถจักรยานยนต์ที่กระเตื้องขึ้นจากการเข้าสู่ช่วงฤดูกาลขายปลายปี และการอัดฉีดเงินภาครัฐดังกล่าวข้างต้น รวมทั้งสินเชื่อรายย่อย ทั้งสินเชื่อบัตรเครดิตและสินเชื่อบุคคลจะเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้นในลักษณะเดียวกัน ซึ่งดีต่อผู้ประกอบการสินเชื่อรายย่อย คือ ASK ([email protected]) , MTLS ([email protected]) และ SAWAD ([email protected]) และเลือกเป็นหุ้นเด่นในกลุ่มฯ
และหุ้นที่ผลกำไรเด่นงวด 4Q59 นำโดย WHA ซึ่งนอกจาก ยังได้ประโยชน์จากแผนพัฒนาระเบียงเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ซึ่งกระตุ้นการลงทุน 3 จังหวัดภาคตะวันออก คือ ชลบุรี ระยอง และ ฉะเชิงเทรา ซึ่งเป็นพื้นที่มีความพร้อมทั้งสาธารณูปโภคครบ ทั้งระบบขนส่ง ทั้งสนามบิน และท่าเรือแหลงฉบัง แล้วรัฐยังมีแผนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานต่อเนื่อง ทั้งถนนมอเตอร์เวย์ รถไฟรางคู่ รถไฟความเร็วสูง และแหลมฉบังเฟส 3 ซึ่งล้วนหนุนให้ดินที่พัฒนา และกำลังพัฒนารองรับอุตสาหกรรมในอนาคต เป็นที่ต้องการของภาคธุรกิจ เท่ากับเอื้อประโยชน์ต่อบริษัทที่การพัฒนาพื้นที่นิคมฯอย่างกรณี WHA ซึ่งปัจจุบันมีที่พร้อมขายราว 1 หมื่นไร่ ส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในจังหวัดชลบุรี และระยอง และ จะ หนุน Presales ระยะยาว แล้ว งวด 4Q59 จะรับรู้รายได้จากการนำสินทรัพย์เข้า REIT 2 กอง มูลค่ารวม 1.2 หมื่นล้านบาท ดังกล่าวข้างล่าง ซึ่งทำให้งวด 4Q59 มีกำไรสูงสุดของปี 2559 คือ :
1) นำโรงงาน/คลังสินค้าสำเร็จรูปของ HEMRAJ เข้ากองทรัสต์ที่จัดตั้งขึ้นใหม่คือ HREIT มูลค่าขาย 8 พันล้านบาท (ได้ยื่นต่อ ก.ล.ต. แล้ว และจะเสนอขายหน่วยลงทุนในเดือน พ.ย. 59 )
2) การนำคลังสินค้าของ WHA 2 แห่ง ที่ ชลหารพิจิตร และลาดกระบัง ขายเข้ากองทรัสต์ WHART ด้วยมูลค่าขาย 4.19 พันล้านบาท (ถือเป็นลักษณะปกติของ WHA ที่มักขายสินทรัพย์เข้า REIT ในช่วงไตรมาสที่ 4 ของทุกปี)
นอกจากนี้ยังมีแผนนำบริษัทย่อยคือ WHAUP ซึ่งประกอบธุรกิจสาธารณูปโภคและพลังงาน เข้าจดทะเบียนตลาดฯในช่วง 1Q60 โดยผู้ถือหุ้นเดิมของ WHA จะได้สิทธิในการจองซื้อหุ้น WHAUP (Preemptive Right) จะเป็นอีกหนึ่ง Catalyst ที่หนุนราคาหุ้นของ WHA นับจากนี้
ภรณี ทองเย็น เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004146
เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004132
พบชัย ภัทราวิชญ์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 052647
ภราดร เตียรณปราโมทย์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 075365
พาสุ ชัยหลีเจริญ ผู้ช่วยนักวิเคราะห์
ฐกฤต ชาติเชิดศักดิ์ ผู้ช่วยนักเศรษฐศาสตร์