- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Monday, 17 October 2016 17:17
- Hits: 3648
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : ไม่มี
ปัจจัย&กลยุทธ์ทางปัจจัยพื้นฐาน : ตลาดหุ้นไทยเมื่อวันศุกร์พุ่งขึ้นแรง ปิดตลาด +64.79 จุดที่ 1477.61 โดยหุ้นกลุ่มหลักใน SET50 ส่วนใหญ่ปรับขึ้นใกล้เคียงกับตลาด และหุ้นขนาดกลาง-เล็กหลายบริษัทปรับขึ้นมากกว่าตลาด หลังจากความไม่แน่นอนในประเทศผ่อนคลายลงนักลงทุนสถาบันในประเทศซื้อสุทธิต่ออีก 1.3 หมื่นล้านบาท พอร์ตบล.ซื้อสุทธิ 1.3 พันล้านบาท ส่วนต่างชาติขายสุทธิ 2.6 พันล้านบาทและรายย่อยขายสุทธิ 1.2 หมื่นล้านบาท
Sentiment ตลาดหุ้นต่างประเทศเป็นกลางค่อนไปทางลบ โดยตลาดหุ้นสหรัฐ & ตลาดหุ้นเอเชีย ราคาน้ำมันดิบ และราคาทองคำเคลื่อนไหวในกรอบแคบรอปัจจัยใหม่ ซึ่งโดยหลักในช่วงครึ่งหลังของเดือนต.ค.ครึ่งแรกของเดือนพ.ย.จะเป็นรายงานผลประกอบการ 3Q59 และในช่วงนี้ก็มีรายงานกำไรของกลุ่มธนาคารพาณิชย์ไทยออกมา (แบงค์ที่ออกมาแล้วก็ค่อนข้าง In line กับที่ตลาดคาดการณ์ไว้) ปัจจัยติดตาม คือ การแข็งค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งอาจกดดันตลาดหุ้นและโภคภัณฑ์ในช่วงนี้, การดีเบตผู้สมัครปธน.สหรัฐครั้งที่ 3, การประชุม ECB และตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญของประเทศชั้นนำต่างๆ กลยุทธ์การลงทุน การเล่นรอบ ยังเน้นซื้อตามค่าบวก ถ้าไม่ผ่าน 1500/หรือผ่านแต่ไม่สามารถยืนเหนือ 1500 ได้แนะนำให้ขายปรับพอร์ต/หรือ Take profit ก่อน การลงทุนระยะกลาง-ยาว ยังคงทยอยซื้อสะสมหุ้นพื้นฐานดี (ถอยรับเป็น Step แบบ Rebalancing) ต่อไป สำหรับหุ้นแนะนำวันนี้เป็น BEM
การวิเคราะห์ทางเทคนิค : สัญญาณระยะสั้นเป็นบวกแต่ยังควรระวังการแกว่งตัวจากโครงสร้างขาลงในระยะกลาง เน้นซื้อตามค่าบวก แนวต้าน 1490-1500 จุด แต่หากมีการอ่อนตัวจนหลุด 1420 ก็ควรลดพอร์ตตาม / Stop loss
ปัจจัยต่างประเทศ
• สหรัฐ : PPI เดือนก.ย.เพิ่มขึ้น
กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เพิ่มขึ้น 0.3%MoM ในเดือนก.ย. ขณะที่ราคาพลังงาน และอาหารปรับตัวขึ้น เมื่อเทียบรายปี ดัชนี PPI เพิ่มขึ้น 0.7% ในเดือนก.ย. ส่วนดัชนี PPI พื้นฐาน ซึ่งไม่รวมหมวดอาหาร,พลังงาน และภาคบริการ เพิ่มขึ้น 0.3% ในเดือนก.ย.
• สหรัฐ : ยอดค้าปลีกก.ย.เพิ่มตามคาด
ด้านกระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ยอดค้าปลีกเพิ่มขึ้น 0.6% ในเดือนก.ย. ซึ่งสอดคล้องกับการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ ส่วนช่วง 9 เดือนแรก ยอดค้าปลีกเพิ่มขึ้น 2.9%YoY
•/+ สหรัฐ : คะแนนเสียงฮิลลารี่ยังนำทรัมป์
ผลสำรวจล่าสุดซึ่งจัดทำโดยวอลล์สตรีท เจอร์นัล/เอ็นบีซี นิวส์ ระบุว่านางฮิลลารี คลินตัน ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐจากพรรคเดโมแครตมีคะแนนนิยม 48% เหนือนายโดนัลด์ ทรัมป์ คู่แข่งจากพรรครีพับลิกันที่ 37% โดยคะแนนนิยมของนายทรัมป์ถดถอยลงนับตั้งแต่ที่มีการเผยแพร่คลิปวิดีโอฉาวที่แสดงให้เห็นว่านายทรัมป์ได้พูดจาล่วงเกินทางเพศต่อสตรีในปี 2005
•/- ดอยซ์แบงค์ลดสาขาในสหรัฐ
สื่อต่างประเทศรายงานว่า ดอยซ์แบงก์กำลังพิจารณาเรื่องการลดจำนวนสาขาในสหรัฐลง เพื่อปรับโครงสร้างและลดต้นทุน อย่างไรก็ดี ยังคงไม่มีความคืบหน้าในการเจรจาระหว่างดอยซ์แบงก์และกระทรวงยุติธรรมสหรัฐในการลดค่าปรับจำนวน 1.4 หมื่นล้านดอลลาร์ สู่ระดับ 5.4 พันล้านดอลลาร์ เพื่อยุติการสอบสวนในคดีที่เกี่ยวข้องกับการจำหน่ายหลักทรัพย์ที่มีสัญญาจำนองค้ำประกัน (MBS) ซึ่งเป็นต้นเหตุของวิกฤตการเงินโลกในปี 2551
• ปัจจัยต่างประเทศที่ต้องติดตามสัปดาห์นี้
การรายงานจีดีพี ไตรมาส 3/2559 ของจีน, ถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่เฟด ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐที่สำคัญ ได้แก่ ผลผลิตภาคอุตสาหกรรม ดัชนีราคาผู้บริโภค และเครื่องชี้ภาคอสังหาริมทรัพย์ สำหรับข้อมูลต่างประเทศที่น่าสนใจ ได้แก่ ผลการประชุมของธนาคารกลางยุโรป
• ตลาดหุ้นสหรัฐ : ขยับขึ้นเล็กน้อย
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปรับตัวเพิ่มขึ้น 39.44 จุด หรือ 0.22% ปิดที่ 18,138.38 จุด ดัชนี S&P 500 เพิ่มขึ้น 0.43 จุด หรือ 0.02% ปิดที่ 2,132.98 จุด และดัชนี Nasdaq เพิ่มขึ้น 0.83 จุด หรือ 0.02% ปิดที่ 5,214.16 จุด สะท้อนสุนทรพจน์ของนางเยลเลนที่ระบุว่าเฟดอาจจะใช้นโยบาย “เศรษฐกิจแรงกดดันสูง" เพื่อฟื้นฟูความเสียหายจากวิกฤตที่กดดันผลผลิต ซึ่งบ่งชี้ถึงความวิตกกังวลในเชิงลึกเกี่ยวกับความเป็นไปได้ที่เศรษฐกิจสหรัฐจะชะลอตัวและอาจจะมีการใช้นโยบายในเชิงรุกเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ
• ราคาน้ำมันดิบ : อ่อนลงเล็กน้อย
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนพ.ย.ลดลง 9 เซนต์ หรือ 0.2% ปิดที่ 50.35 ดอลลาร์/บาร์เรล ด้านเบรนท์ส่งมอบเดือน ธ.ค.ลดลง 8 เซนต์ หรือ 0.2% ปิดที่ 51.95 ดอลลาร์/บาร์เรล บริษัทเบเกอร์ ฮิวส์ เปิดเผยว่า จำนวนแท่นขุดเจาะน้ำมันที่เปิดดำเนินงานในสหรัฐได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็นสัปดาห์ที่ 15 ในรอบ 16 สัปดาห์ในสัปดาห์ที่ผ่านมา
• ราคาทองคำ : ลดลงเล็กน้อย
สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนต.ค.ลดลง 2.1 ดอลลาร์ หรือ 0.17% ปิดที่ 1,255.5 ดอลลาร์/ออนซ์
ปัจจัยในประเทศ & หุ้นเด่น
• KBANK (ราคาปิด 189.50 บาท) : กำไร 3Q59 เพิ่ม 7%YoY และ 15%QoQ เป็นไปตามคาด
ธนาคารรายงานกำไรสุทธิ 3Q59 เท่ากับ 1.08 หมื่นล้านบาท (+7%YoY และ +15%QoQ) ซึ่งเป็นผลจากการตั้งสำรองค่าเผื่อฯน้อยลง ทั้งนี้ธนาคารตั้งสำรองฯไว้สูงมากในช่วง 1H59 สำหรับงวด 9M59 มีกำไรสุทธิ 2.99 หมื่นล้านบาท -12%YoY ซึ่งปัจจัยหลักที่ทำให้กำไรลดลงคือ การตั้งสำรองค่าเผื่อฯที่สูง แต่หากพิจารณากำไรจากการดำเนินงานก่อนสำรองฯและภาษีพบว่ายังสามารถเติบโตได้ 7%YoY เป็น 4.7 พันล้านบาท เพราะรายได้ดอกเบี้ยเพิ่ม 5.5%YoY จากการปล่อยสินเชื่อเพิ่มและบริหาร NIM ได้ดี โดย NIM ของไตรมาสนี้อยู่ที่ 3.55% ส่วนรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยเติบโตได้น้อย (+1%YoY) ซึ่งเป็นไปตามภาวะเศรษฐกิจและการชะลอตัวของรับรายได้ค่าเบี้ยประกันภัย
ธนาคารพยายามจัดการด้านค่าใช้จ่ายให้มีประสิทธิภาพ ทำให้ค่าใช้จ่ายดำเนินงานลดลงและ Cost to income ratio อยู่ที่ 40.13% ใน 3Q59 ด้าน NPL ratio สิ้นก.ย.59 อยู่ที่ 3.35% และมี Coverage ratio 127.3% ลดลงเล็กน้อยจากสิ้นปี 59 ที่ 130% ส่วนเงินกองทุนตามเกณฑ์ Basel III สิ้นก.ย.59 สูงที่ 19.46% เป็นเงินกองทุนขั้นที่ 1 ที่ 15.69% นับว่าแข็งแกร่งมาก
โดยรวมผลประกอบการเป็นไปตามที่ตลาดประเมินไว้ เราคาดการณ์ว่ากำไรสุทธิ 2H59 ของ KBANK จะดีกว่า 1H59 เนื่องจากการตั้งสำรองค่าเผื่อฯที่ลดลง และในปี 60 มีโอกาสที่กำไรจะขยายตัวได้ดีขึ้น ซึ่งเป็นไปตามการฟื้นตัวของการลงทุนและการบริโภคในประเทศ ทาง DBSV ประมาณการกำไรสุทธิ KBANK เติบโต 16% จากที่หดตัว 8% ในปีนี้ ยังคงคำแนะนำซื้อ โดยให้ราคาพื้นฐาน 205 บาท เทียบเท่ากับ P/BV ปี 59 ที่ 1.6 เท่า เราชอบ KBANK ที่มีโครงสร้างสินเชื่อและรายได้โดยรวมที่สมดุลทำให้กระจายความเสี่ยงดีและฟื้นตัวได้เร็ว รวมทั้งมีการบริหารจัดการด้านคุณภาพสินทรัพย์ที่ดี การบริหารงานโปร่งใสและเป็นมืออาชีพ
+ BEM (ราคาปิด 7.05 บาท) : กำไรปี 59-60 เติบโตแข็งแกร่ง 62% และ 40% ตามลำดับ
BEM ได้บริหารรถไฟฟ้าสีน้ำเงินส่วนขยาย คือ ขยายเวลารถไฟฟ้าสายปัจจุบันเป็นปี 2592 จากเดิมเป็น 2573 หรือขยายเวลาเพิ่มอีกถึง 19 ปี รวมทั้งเงื่อนไขต่างๆในการบริหารรถไฟฟ้าสีน้ำเงินส่วนขยาย ซึ่งผลตอบแทนจะเป็น Net Cost PPP นั่นคือ BEM จะได้ประโยชน์และผูกความเสี่ยงแปรไปตามจำนวนผู้โดยสาร (ได้รับส่วนแบ่งรายได้จากรายได้การให้บริการโดยสาร) สำหรับประมาณการของ DBSV ได้ครอบคลุมเรื่องการขยายเวลาสัมปทานข้างต้นแล้ว
ด้านผู้โดยสาร (ridership) รถไฟฟ้าสายสีม่วง ขณะนี้ได้ค่อยๆ ปรับตัวดีขึ้นหลังปรับลดค่าโดยสารลง และแม้ว่าอัตราการเพิ่มผู้โดยสารต่ำกว่าเป้า 25-30% แต่คาดว่าในระยะกลาง-ยาว จะทยอยปรับตัวดีขึ้น โดยเฉพาะเมื่อรอยต่อ 1 สถานีที่มีปัญหา คือ เตาปูนไปบางซื่อ แล้วเสร็จซึ่งเป็นประมาณ 1H60 ฝ่ายวิจัยฯ DBSV แนะนำซื้อ และให้ราคาพื้นฐาน 8.20 บาท ซึ่งประเมินด้วยวิธี DCF จุดเด่นของ BEM คือ อัตราการเติบโตของกำไรที่ก้าวกระโดดคือปีนี้และปีหน้าในอัตรา 62%/40% เทียบ y-o-y แรงผลักดันมาจากผลพวงจากการเริ่มให้บริการเดินรถไฟฟ้าสายสีม่วง เปิดให้บริการทางด่วนศรีรัชสายใหม่วงแหวนรอบนอก และในระยะยาวก็จะมีรายได้จากการบริหารเดินรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินที่คาดว่าจะเริ่มได้ในปี 2563
นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค – [email protected]