- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Friday, 14 October 2016 15:22
- Hits: 2569
บล.เอเซียพลัส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
กลยุทธ์การลงทุน
แม้ยังมีความเสี่ยง แต่การปรับฐานที่แรงจนทำให้ P/E ลงมาต่ำกว่าตลาดเพื่อนบ้าน ตลาดหุ้นไทยจึงน่าสนใจอีกครั้ง จึงปรับเพิ่มน้ำหนักลงทุนเป็น 40% จาก 30% ยังชอบหุ้นส่งออก (HANA, CPF, MCS) หรือหุ้นปันผลสูง (ASK, ADVANC, HANA, MCS) เลือก CPF(FV@B42) และ MCS([email protected]) เป็น Top picks
(+) ตลาดหุ้นไทยเริ่มถูกกว่าเพื่อนบ้าน จึงเพิ่มน้ำหนักการลงทุนเป็น 40%
วานนี้ตลาดหุ้นไทย Rebound ได้ในช่วง 1 ชั่วโมงสุดท้ายก่อนปิดการซื้อขาย จากจุดต่ำสุดของวัน 1,360 จุด ขึ้นไปเหนือ 1,400 จุด โดยปิดตลาดที่ 1,412.82 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขายเกิน 1 แสนล้านบาท ใกล้เคียงกับวานนี้ แต่ต่ำกว่าที่ 1.30 แสนล้านบาทในวันพุธที่ 12 ต.ค. ซึ่งเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ตลาดหุ้นไทย โดยรวมทำให้ตลอด 4 วันแรกของสัปดาห์นี้ ตลาดหุ้นไทยปรับฐานลงไปแล้วกว่า 6% ลดลงมากสุดเมื่อเทียบกับภูมิภาค
ขณะที่ปัจจัยปัจจัยพื้นฐานของตลาดหุ้นไทยที่ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยฯ โดยยังคงประมาณการกำไรต่อหุ้น (EPS) ของตลาดหุ้นไทย ปี 2559 อยู่ที่ 90.14 บาท และปี 2560 อยู่ที่ 98.45 บาท ทำให้ ณ ระดับดัชนีปัจจุบัน ตลาดหุ้นไทยมี Expected P/E ปีนี้ที่ 15.7 เท่า และปีหน้าลดลงเหลือ 14.4 เท่า ซึ่งถือว่าถูกกว่าเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นเพื่อนบ้านอย่างฟิลิปปินส์ที่ 18.6 เท่า และ อินโดนีเซียที่ 17.6 เท่า และต่ำกว่าตลาดหุ้นสหรัฐที่ 18 เท่า
ขณะที่ EPS Growth ตลาดหุ้นไทยในปีนี้ จะเติบโตสูงกว่า 30% (จากฐานที่ต่ำในปีที่แล้ว) ทำให้ปีหน้าการเติบโตของกำไรตลาดจึงลดลงเหลือราว 10% ใกล้เคียงกับฟิลิปปินส์ที่ 10% แต่ต่ำกว่าอินโดนีเซียที่ 18%
ทำให้ตลาดหุ้นไทยมีความน่าสนใจอีกครั้ง จึงปรับเพิ่มน้ำหนักการลงทุน 40% ของเงินลงทุน จากปัจจุบัน ปัจจุบันที่ 30% กลยุทธ์การลงทุนยังเน้น Selective Buy ดังนี้
1. ความผันผวนต่ำ คาดหวังเงินปันผลได้สูง อาทิ MCS ([email protected]) ปัจจุบัน Div. Yield สูงกว่า 6% ขณะที่ P/E ต่ำเพียง 9 เท่า ทั้งยังได้ประโยชน์จากเงินเยนแข็งค่า, HANA (FV@B42) ปัจจุบัน Div. Yield สูงกว่า 6.3% ขณะที่ P/E ต่ำเพียง 11.2 เท่า ขณะที่ผลประกอบการงวด 3Q59 เป็นช่วง High Season ของฤดูกาลส่งออก, ASK ([email protected]) Div. Yield สูงกว่า 7.8% ขณะที่ P/E ต่ำเพียง 9.1 เท่า และ TCAP (FV) Div. Yield สูงกว่า 5.3% ขณะที่ P/E ต่ำเพียง 7.6 เท่า และ P/BV ยังต่ำเพียง 0.86 เท่าเท่านั้น
2. หุ้นที่คาดว่าผลตอบแทนในงวด 4Q59 จะสามารถ outperform ได้มากกว่าตลาดด้วยความน่าจะเป็นที่ค่อนข้างสูง คือ BJC([email protected]) คาดการณ์ปีหน้าผลประกอบการจะเติบโตโดดเด่นสุดกว่า 1 เท่าตัว รวมทั้งปัจจัยบวกจากต้นทุนทางการเงินที่ลดลงอย่างมีนัยฯ และการรวมงบฯ ของ BIGC เข้ามา ช่วยผลักดันธุรกิจให้กลับมาเป็น Growth Stock อีกครั้ง, BDMS([email protected]) ยังเป็นหุ้นปลอดภัยและมั่นคงในระยะยาว แม้ช่วงสั้นจะได้รับผลกระทบจากต้นทุนทางการเงินที่เพิ่มสูงขึ้น, รวมทั้ง HANA([email protected]) ที่มีจุดเด่นด้านเงินปันผลสูง
(-) ตลาดหุ้นไทยยังคงถูกต่างชาติขาย เช่นเดียวกับตลาดหุ้นอื่นๆ ในภูมิภาค
วานนี้ต่างชาติยังคงขายสุทธิหุ้นในภูมิภาคต่อเนื่องเป็นวันที่ 3 ด้วยมูลค่าราว 192 ล้านเหรียญ และเป็นการขายสุทธิเกือบทุกประเทศ ยกเว้นตลาดหุ้นเกาหลีใต้เพียงแห่งเดียวที่กลับมาซื้อสุทธิราว 121 ล้านเหรียญ (หลังจากขายสุทธิ 3 วัน) ส่วนตลาดหุ้นอีก 4 แห่ง ยังคงขายสุทธิ คือ หุ้นไต้หวันขายสุทธิราว 210 ล้านเหรียญ (หลังจากซื้อสุทธิ 2 วัน) ตามมาด้วยอินโดนีเซีย 72 ล้านเหรียญ (ขายสุทธิเป็นวันที่ 3), ฟิลิปปินส์ 15 ล้านเหรียญ (ขายสุทธิเป็นวันที่ 7) และไทยขายสุทธิราว 16 ล้านเหรียญ หรือ 574 ล้านบาท (ขายสุทธิเป็นวันที่ 3) สวนทางกับนักลงทุนสถาบันฯที่กลับมาซื้อสุทธิสูงถึง 9.7 พันล้านบาท (หลังจากขายสุทธิติดต่อกัน 4 วัน โดยมียอดขายรวมสูงถึง 1.2 หมื่นล้านบาท)
ขณะที่ตลาดตราสารหนี้ไทย นักลงทุนสถาบันในประเทศสลับมาซื้อสุทธิราว 1.4 ล้านบาท ต่างกับนักลงทุนต่างชาติที่ยังคงขายสุทธิราว 1.0 หมื่นล้านบาท (ขายสุทธิต่อเนื่องเป็นวันที่ 4 โดยมียอดขายรวมอยู่ที่ 3.4 หมื่นล้านบาท)
(0) สต๊อกน้ำมันเพิ่ม แต่ราคาน้ำมันยังยืน เพราะจีนนำเข้าเพิ่มขึ้น
วานนี้แม้รายงานสต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐ (โดยสำนักสารสนเทศด้านพลังงาน หรือ EIA) สิ้นสุดสัปดาห์ 7 ต.ค. เพิ่มขึ้น 4.8 ล้านบาร์เรล เป็นไปตามตลาดคาด ซึ่งพลิกจากที่ลดลงติดต่อกัน 5 สัปดาห์ก่อนหน้า (เกิดจากการนำเข้าน้ำมันดิบที่เพิ่มขึ้น) สวนทางกับน้ำมันสำเร็จรูปที่ลดลงมากกว่าตลาดคาด (ดีเซลลดลง 3.7 ล้านบาร์เรล ลดลงติดต่อกัน 3 สัปดาห์ ลดมากกว่าตลาดคาดจะลดเพียง 1.6 ล้านบาร์เรล เช่นเดียวกับน้ำมันเบนซินลดลง 1.9 ล้านบาร์เรล เนื่องจากเริ่มเข้าสู่ฤดูกาลปิดซ่อมบำรุงของโรงกลั่น) แต่พบว่าน้ำมันดิบยังคงทรงตัวใกล้ 50 เหรียญฯต่อบาร์เรล ซึ่งส่วนหนึ่งคาดว่ามาจากปริมาณความต้องการของจีนเพิ่มขึ้น (ผู้บริโภคน้ำมันอันดับ 2 ของโลก รองจากสหรัฐ) สะท้อนจากปริมาณการนำเข้าน้ำมันดิบของจีนเดือน ก.ย. เพิ่มขึ้นกว่า 18% yoy อยู่ระดับ 33.06 ล้านตัน หรือเท่ากับ 8.04 ล้านบาร์เรลต่อวัน แต่ยอดการนำเข้าโดยรวมที่ยังคงลดลง นอกจากนั้นคาดว่าแรงกดดันจาก Dollar Index ที่แข็งค่าเริ่มลดลง (ล่าสุดย่อตัวลงจาก 98.129 เหลือ 97.58 จุด) และความคาดหวังว่าการร่วมมือระหว่างประเทศผู้ผลิตน้ำมันโลกน่าจะเกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งน่าจะช่วยบริหารและจัดการราคาน้ำมันดิบระยะกลางและยาวดีขึ้น ซึ่งยังหนุนหุ้นน้ำมันทั้ง อาทิ PTT(FV@B400) และ PTTEP(FV@B100) จึงยังคงแนะนำสะสมเมื่อราคาอ่อนตัว
ภรณี ทองเย็น เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004146
เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004132
พบชัย ภัทราวิชญ์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 052647
ภราดร เตียรณปราโมทย์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 075365
พาสุ ชัยหลีเจริญ ผู้ช่วยนักวิเคราะห์
ฐกฤต ชาติเชิดศักดิ์ ผู้ช่วยนักเศรษฐศาสตร์