- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Thursday, 13 October 2016 16:53
- Hits: 2100
บล.ทรีนีตี้ : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
Today Selection >> BCP, GPSC, JASIF
Stock S R Comment
BCP 28.75 30.25 Dividend yield เด่นสุดในกลุ่ม
GPSC 33.00 35.00 คาดผลประกอบการปี 60 เด่นสุดในกลุ่มโรงไฟฟ้าหลัก
JASIF 11.40 11.90 Low Beta
It all comes down to valuation
เมื่อวานนี้ SET Index ดิ่งเหวกว่า 2.5% และมีการปรับตัวลงช่วงหนึ่งถึงเกือบ 100 จุด จากปัจจัยความผันผวนที่เกิดขึ้นในประเทศเป็นหลัก ทำให้แรงขายเมื่อวานนี้ปรากฏอยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมภายในเป็นสำคัญ ซึ่งเป็นกลุ่มที่เราไม่แนะนำให้เข้าลงทุนอยู่แล้ว ไล่ตั้งแต่กลุ่มสื่อและสิ่งพิมพ์ (-5.9%) กลุ่มบริการรับเหมาก่อสร้าง (-4.7%) กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ (-4.0%) กลุ่มเงินทุนและหลักทรัพย์ (-3.4%) รวมถึงกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากการแจ้งเตือนการก่อความไม่สงบเช่นกลุ่มขนส่ง (-4.8%) ในทางกลับกันเราเห็นการปรับตัวที่ดีกว่าตลาดของกลุ่มที่อิงกับปัจจัยภายนอกซึ่งเป็นกลุ่มที่เราแนะนำให้โฟกัสการลงทุนในช่วงนี้ ได้แก่ กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ (-0.7%) และกลุ่มพลังงาน (-1.5%)
THB : เงินบาทยังคงปรับตัวอ่อนค่าต่อเนื่องสะท้อนการไหลออกของ Fund flow ในตลาดตราสารหนี้ โดยเมื่อวานนี้นักลงทุนต่างชาติยังคงเดินหน้าขายสุทธิอีกกว่า 8,800 ล้านบาท การเทขายพันธบัตรดังกล่าวทำให้ล่าสุด Bond yield อายุ 10 ปีของไทยปรับตัวสูงขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่นับตั้งแต่เดือนมกราคมที่ผ่านมา มองการปรับตัวขึ้นของ Bond yield นี้ไม่เป็นผลดีต่อตลาดหุ้นมากนักในแง่ความน่าสนใจโดยเปรียบเทียบระหว่างสินทรัพย์
Where is downside? : เราเคยหยิบยกตาราง Earning yield gap (EYG) ขึ้นมาในช่วงต้นเดือนกันยายนที่ SET Index มีการปรับฐานรุนแรงเพื่อพิจารณาหาระดับดัชนีในกรณีเลวร้ายที่สุดมาแล้วครั้งหนึ่ง ในครั้งนี้เราก็จะใช้ตารางดังกล่าวเช่นเดียวกัน จากการ Update ข้อมูลโดยใช้ Bond yield สหรัฐฯอายุ 10 ปีล่าสุดที่ 1.75% และ EPS คาดการณ์ของ SET Index ปีนี้ (2016) ที่ 95.5 บาท จะได้ระดับดัชนีที่เป็น Maximum downside ของปีที่ 1340 จุด ในทางกลับกันเราใช้ระดับ EPS คาดการณ์ปีหน้า (2017) ที่ 106.5 บาทในการคำนวณระดับ Maximum upside ของดัชนี ซึ่งพบว่าได้ที่ระดับ 1500 จุด (ดูตาราง)
Risk/Reward : ด้วยเหตุนี้เราประเมินว่ามหากตัดปัจจัยทุกอย่างออกหมดแล้วพิจารณาแต่เฉพาะในส่วนของ Valuation แล้ว ต้องถือว่าดัชนีปรับตัวลงมาจนมี Risk/Reward ที่น่าสนใจมากขึ้นตามลำดับ ล่าสุด Potential risk ที่ระดับดัชนีปัจจุบันอยู่ที่ 4.6% และ Potential reward อยู่ที่ 6.4% หรือคำนวณเป็น Risk/Reward ratio อยู่ที่อัตราส่วน 1:1.4 ดังนั้นมองเช่นเดิมว่าที่บริเวณปัจจุบันคงจะไม่ใช่จังหวะของการขายหุ้นแล้ว และมองเป็นบริเวณที่น่าสนใจสำหรับการเข้าลงทุน โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักลงทุนระยะยาวที่รอการเข้าสะสมหุ้นมาตลอดทั้งปีนี้ อาทิเช่นผู้ที่ต้องเข้าซื้อกองทุน LTF/RMF เป็นต้น
กลยุทธ์การลงทุน : มองที่ระดับดัชนีปัจจุบันไม่ใช่บริเวณของการขายหุ้นแล้ว โดยหลังจากที่เข้าซื้อหุ้นไปส่วนหนึ่งที่บริเวณดัชนี 1460-1480 จุดแล้ว เราแนะนำให้เพิ่มน้ำหนักการลงทุนอีกส่วนหนึ่งในช่วงที่เหลือของสัปดาห์นี้ เนื่องจากระดับ Risk/Reward ratio ที่เริ่มคุ้มค่ามากขึ้น เรายังคงชื่นชอบกลุ่มหุ้นที่อิงกับปัจจัยต่างประเทศเป็นหลัก โดยในส่วนของกลุ่มหุ้นขนาดใหญ่เลือกกลุ่มพลังงานจากการที่คาดว่าราคาน้ำมันดิบจะยืนเหนือระดับ 50 เหรียญต่อบาร์เรลได้ไปจนกระทั่งการประชุม OPEC วันที่ 30 พฤศจิกายนนี้ สำหรับกลุ่มหุ้นขนาดกลาง-เล็ก เลือกกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์และกลุ่มอาหารซึ่งคาดว่าจะรายงานผลประกอบการไตรมาส 3/59 ที่โดดเด่น ประกอบกับได้รับอานิสงส์เชิงบวกจากการอ่อนค่าของเงินบาทอีกด้วย
แนวรับ 1,388 แนวต้าน 1,435
Today's Event
COLOR ลูกหุ้นเข้า 322,595 หุ้น
M ลูกหุ้นเข้า 4,599,900 หุ้น
PRINC ลูกหุ้นเข้า 2,273,525,820 หุ้น
นักวิเคราะห์ :
ดุลเดช บิค, CFA, FRM, CAIA (ID: 29932) E-mail: [email protected]
ณัฐชาต เมฆมาสิน, CFA, FRM (ID: 31379) E-mail: [email protected]