- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Wednesday, 05 October 2016 17:29
- Hits: 6171
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
'บวก/เหนือแนว 1500 ได้ถือลุ้นต่อ'
หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : ไม่มี
ปัจจัย&กลยุทธ์ทางปัจจัยพื้นฐาน : ตลาดหุ้นไทยเมื่อวานนี้พุ่งขึ้นต่อ 18.84 จุด นำโดยกลุ่มธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ โรงกลั่น สื่อสาร และหุ้นกลาง-เล็กที่คาดว่าจะมีผลประกอบการแข็งแกร่ง รวมทั้งคลายความกังวลเรื่องดอยซ์ แบงก์ลงในช่วงสั้นหลังจากธนาคารคาดว่าจะได้ข้อสรุปเรื่องค่าปรับก่อนการเลือกตั้งปธน.สหรัฐ (8 พ.ย.59) นักลงทุนสถาบันในประเทศและพอร์ตบล.นำซื้อสุทธิ ส่วนต่างชาติและรายย่อยขายสุทธิ
สำหรับวันนี้ ความกังวลเรื่องเฟดปรับขึ้นดอกเบี้ยกลับมาอีกระลอกหลังประธานเฟดริชมอนด์และคลีฟแลนด์ออกมากล่าวหนุนเรื่องนี้ และทางเฟดคลีฟแลนด์ยังระบุว่าควรปรับขึ้นตั้งแต่การประชุม FOMC 1-2 พ.ย.นี้เลย และระบุว่าการเมืองไม่มีน้ำหนักต่อการตัดสินใจของเฟด ส่วนเรื่องดอยซ์แบงก์ยังต้องติดตามกันต่อว่าได้ลดค่าปรับลงเหลือกว่า 5 พันล้านUS$ (จาก 1.4 หมื่นล้านUS$) จริงหรือไม่ ส่วนปัจจัยในประเทศช่วงนี้ยังเป็นการซื้อเก็งกำไรผลประกอบการ 3Q59 ซึ่งคาดว่าจะเติบโตสูงมากเมื่อเทียบ YoY โดยเฉพาะกลุ่มโภคภัณฑ์ที่ฐานกำไร 3Q58 ต่ำมากผิดปกติอันเกิดจากขาดทุนในสต็อกและตั้งสำรองด้อยค่าในเงินลงทุนจำนวนมาก
กลยุทธ์ : ช่วงสั้นยังเน้นการเลือกซื้อเพื่อเล่นรอบไปก่อน ส่วนการซื้อเพื่อลงทุนระยะกลาง-ยาวแนะนำทยอยซื้อสะสมหุ้นพื้นฐานดีจังหวะราคาอ่อนตัวแรง ทั้งนี้หุ้น Top Picks ของเดือนต.ค.59 เป็น ANAN, CPALL, DIF, LPH และ Dark Horse คือ TKN สำหรับหุ้นพื้นฐานแนะนำเชิงกลยุทธ์วันนี้เป็น ANAN
การวิเคราะห์ทางเทคนิค : สัญญาณระยะสั้นเป็นบวก แต่ยังควรระวังการแกว่งตัวจากโครงสร้างขาลงในระยะกลาง การปรับขึ้นต่อมีแนวต้าน 1515-1520, 1530 จุด เน้นซื้อตามด้วยค่าบวกของดัชนีและราคาหุ้น ต่ำกว่า 1495 จุดลดพอร์ตตาม/Stop Loss
ส่วนผลการ SCAN หุ้นที่มีโอกาสทำ New High ที่เข้ามาใหม่ คือ CK, INTUCH, TOP, MALEE, SMPC ส่วนหุ้นที่ยังอยู่ใน List คือ JASIF, KKP, AUCT หุ้นที่หลุด List -ไม่มี- ส่วนหุ้นแนะนำไปแล้วและควรหาจังหวะ Take Profit คือ CPN, BA, BCPG, GLOBAL, TCMC, ESSO
นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค - [email protected]
Need to know TODAY
ปัจจัยต่างประเทศ
/- สหรัฐ : เฟดริชมอนด์ & คลีฟแลนด์หนุนให้เฟดปรับขึ้นดอกเบี้ย
นายเจฟฟรีย์ แลคเกอร์ ประธานเฟดสาขาริชมอนด์ กล่าวว่า เหตุผลสำหรับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยกำลังมีน้ำหนักมากขึ้น โดยเฟดควรปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างมากเพื่อทำให้เงินเฟ้ออยู่ภายใต้การควบคุม เช่นเดียวกันนางโลเรตตา เมสเตอร์ ประธานเฟด สาขาคลีฟแลนด์ ก็กล่าวว่าเฟดควรปรับขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมวันที่ 1-2 พ.ย. แม้ว่าการประชุมจะมีขึ้นก่อนการเลือกตั้งสหรัฐวันที่ 8 พ.ย. เพียงไม่กี่วันก็ตาม และเน้นย้ำว่าการเมืองไม่ได้ส่งผลต่อการตัดสินใจของเฟด
/- ยูโรโซน : กังวลข่าว ECB อาจปรับลด QE
มีสื่อต่างประเทศรายงานว่า ECB อาจจะปรับลดวงเงินซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 8 หมื่นล้านยูโร/เดือน ก่อนที่โครงการดังกล่าวจะหมดอายุในเดือนมี.ค.60 นอกจากนั้นยังกังวลกับผลกระทบจาก Brexit หลังนายกรัฐมนตรีอังกฤษ เผยว่ากระบวนการถอนตัวจากยุโรปจะเริ่มอย่างเป็นทางการในเดือนมี.ค.60 ซึ่งเคยมีการประเมินกันว่าจะต้องใช้เวลาราว 2 ปี และระหว่างนั้น UK จะต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนหลายด้าน
ดอยซ์แบงก์ : ยังต้องติดตามว่าใกล้บรรลุข้อตกลงกับทางการสหรัฐเรื่องค่าปรับจริงหรือไม่
แหล่งข่าวระบุว่าดอยซ์แบงก์ใกล้บรรลุข้อตกลงกับกระทรวงยุติธรรมสหรัฐเกี่ยวกับการจ่ายค่าปรับเพียง 5.4 พันล้านดอลลาร์เพื่อยุติการสอบสวนในคดีที่เกี่ยวข้องกับการจำหน่ายหลักทรัพย์ที่มีสัญญาจำนองค้ำประกัน (MBS) ซึ่งหากรายงานข่าวดังกล่าวเป็นความจริง ค่าปรับที่ดอยซ์แบงก์จะต้องจ่ายต่อทางสหรัฐก็จะลดลงเป็นอย่างมากจากระดับ 1.4 หมื่นล้านดอลลาร์ที่ทางกระทรวงยุติธรรมสหรัฐได้เรียกร้องในเบื้องต้น
ญี่ปุ่น : ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนก.ย.เพิ่มขึ้นสูงสุดในรอบ 3 ปีแต่ยังต่ำกว่า 50
ดัชนีความเชื่อมั่นของครัวเรือนที่มีสมาชิก 2 คนขึ้นไปเดือนก.ย.59 อยู่ที่ 43.0 สูงสุดนับตั้งแต่ก.ย.56 และเพิ่มขึ้น 1.0 จุดจากเดือนส.ค. แต่ดัชนีที่ต่ำกว่า 50 บ่งชี้ว่าผู้บริโภคที่มีมุมมองเป็นลบต่อเศรษฐกิจมีจำนวนมากกว่าผู้ที่มีมุมมองเป็นบวก
- ตลาดหุ้นสหรัฐ : ลดลงต่อ
ความกังวลเรื่องการปรับขึ้นดอกเบี้ยสหรัฐกลับมาอีกระลอกหลังเจ้าหน้าที่ระดับสูงของธนาคารกลางสหรัฐ (ประธานเฟดสาขาริชมอนด์ & คลีฟแลนด์) ออกมาหนุนให้เฟดปรับขึ้นดอกเบี้ย และตลาดคาดว่า ECB อาจจะปรับลดวงเงินในโครงการซื้อพันธบัตร รวมทั้งความวิตกกังวลเกี่ยวกับผลกระทบที่อังกฤษเตรียมแยกตัวออกจากสหภาพยุโรป (Brexit) ด้วย ปิดตลาดัชนี DJIA ลดลง 85.40 จุด หรือ -0.47% ดัชนี NASDAQ ลดลง 11.21 จุด หรือ -0.21% ดัชนี S&P500 ลดลง 10.71 จุด หรือ -0.50%
- สัญญาน้ำมันดิบ : อ่อนตัวลง
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนพ.ย.ลดลง 12 เซนต์ หรือ 0.2% ปิดที่ 48.69 ดอลลาร์/บาร์เรล ส่วน BRENT ส่งมอบเดือนธ.ค.ขยับลง 2 เซนต์ หรือเกือบ 0.1% ปิดที่ 50.87 ดอลลาร์/บาร์เรล นักลงทุนขายทำกำไรเพราะยังไม่ความไม่แน่นอนว่ากลุ่มโอเปกจะสามารถควบคุมปริมาณการผลิตเพื่อรักษาเสถียรภาพราคาน้ำมันได้ตามที่ตกลงกันไว้หรือไม่ (เพราะจากสถิติที่ผ่านมาความสำเร็จต่ำมาก)
- สัญญาทองคำ : ดิ่งแรงหลังประธานเฟดบางสาขาออกมาหนุนให้เฟดขึ้นดอกเบี้ยเดือนพ.ย.
สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค.ร่วงลง 43 ดอลลาร์ หรือ 3.28% ปิดที่ระดับ 1,269.7 ดอลลาร์/ออนซ์ ปัจจัยกดดัน คือ เจ้าหน้าที่เฟดบางรายออกมาหนุนให้เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยโดยเร็ว และเน้นย้ำกว่าการเมืองไม่ได้ส่งผลต่อการตัดสินใจของเฟด รวมทั้งมีข่าวว่า ECB อาจปรับลดวงเงิน QE
ปัจจัยในประเทศ & หุ้นเด่น
Wealth Perspective : ตุลา - จับตา Preview กำไร 3Q59 & ดอยซ์แบงก์ & ดีเบตสหรัฐ
คาดว่าตลาดหุ้นในเดือนต.ค.59 จะยังมีความผันผวนจากหลากหลายปัจจัยที่ผสมกันไปทั้งบวกและเสี่ยง/ไม่แน่นอน โดยปัจจัยหนุนหลัก คือ สภาพคล่องจากการออก QE, อัตราดอกเบี้ยที่ต่ำมาก, แนวโน้มกำไร 3Q59 ที่จะเติบโตสูงมากเมื่อเทียบ YoY, รัฐบาลไทยเร่งใช้จ่ายและลงทุน และตลาดหุ้นมีปันผลที่สม่ำเสมอราว 3.5% ต่อปีและมีสภาพคล่องในการซื้อขายที่ดี ส่วนปัจจัยเสี่ยง/ไม่แน่นอน ได้แกj ตัวเลขเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของสหรัฐทำให้โอกาสที่จะปรับขึ้นดอกเบี้ยมีมากขึ้น, ปัญหาดอยซ์แบงก์ที่อาจกระทบความเชื่อมั่นภาคธนาคารโดยรวม, การดีเบตผู้สมัครประธานธิบดีสหรัฐอีก 2 ครั้งในเดือนต.ค.59, การฟื้นตัวที่ล่าช้าของเศรษฐกิจไทย, การปราบปรามทัวร์ศูนย์เหรียญ และความไม่แน่นอนในประเทศ เมื่อเป็นเช่นนี้ เราจึงกำหนดกลยุทธ์การลงทุนเป็น 2 แนวทาง คือ 1) แนะนำให้ถือหุ้นที่ธุรกิจมั่นคง & จ่ายปันผลได้สม่ำเสมอไว้ในพอร์ต เพราะอย่างน้อยในช่วงที่ Return จากส่วนต่างราคาหุ้นไม่สดใส ก็ยังมีเงินปันผลรับเข้ามาต่อเนื่อง และ 2) สแกนหาหุ้นที่มีแนวโน้มกำไรเติบโตแข็งแกร่งในปี 60 เพื่อเลือกซื้อสะสมในช่วงตลาดปรับฐาน โดยหุ้น Top Picks ของเดือนต.ค.59 คือ ANAN, CPALL, DIF, LPH และหุ้น Dark Horse เป็น TKN (ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ใน Trading Strategy ด้านใน)
+ ครม.อนุมัติร่างพ.ร.บ.เขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก
คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติร่างพ.ร.บ.เขตเศรษฐกิจภาคตะวันออก (ชลบุรี-ระยอง-ฉะเชิงเทรา ครอบคลุมพื้นที่ 7 หมื่นไร่) แล้ว และคาดว่าจะประกาศใช้ในต้นปี 2560 โดยหวังจะยกระดับอุตสาหกรรมสู่ยุค 4.0 ประเมินว่าจะมีการลงทุนเพิ่ม 1.5 ล้านล้านบาทในระยะ 10 ปีข้างหน้า (เป็นการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมาย - ปิโตรเคมี ยานยนต์ เกษตรและอาหารแปรรูป โลจิสติกส์ สุขภาพ&การแพทย์ครบวงจร ฯลฯ 5 แสนล้านบาท, ลงทุนคมนาคม - รถไฟความเร็วสูง พัฒนาท่าเรือและสนามบินอู่ตะเภา 4 แสนล้านบาท, สร้างเมืองใหม่ โรงเรียน โรงพยาบาล ที่อยู่อาศัย 4 แสนล้านบาท, ลงทุนท่องเที่ยวและบริการสุขภาพ 2 แสนล้านบาท ฯลฯ) ทั้งนี้นักลงทุนจะได้สิทธิเช่าที่ดินเพื่อทำธุรกิจเป็นระยะเวลา50ปีและต่อระยะเวลาการเช่าได้อีก49ปี สามารถนำแรงงานต่างด้าวที่มีฝีมือหรือเป็นผู้บริหารเข้ามาทำงานในพื้นที่ได้ ให้สิทธิในการใช้เงินตราต่างประเทศในพื้นที่ที่มีการลงทุนเขตเศรษฐกิจพิเศษ และ BOI แก้กฎหมายให้สิทธิพิเศษภาษี15ปี ซึ่งร่างพ.ร.บ.นี้จะเป็นส่วนหนึ่งที่สนับสนุนประเทศไทยเข้าสู่การพัฒนาอุตสาหกรรม 4.0 เพื่อเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมของอาเซียน
STAR (ราคาปิด 4.50 บาท) : ยกเลิกซื้อกิจการ TFEH ผู้ผลิตโซลาร์ฟาร์ม
STAR แจ้งว่าที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทเมื่อวานนี้มีมติยกเลิกการเข้าลงทุนในหุ้นสามัญของบริษัทไทย ฟิวเจอร์ เอ็นเนอร์ยี โฮลดิ้ง จำกัด (TFEH) ซึ่งเป็นผู้ผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ สืบเนื่องจากนายวัลลภ ยังตรง ผู้ถือหุ้นใหญ่ของ TFEH แจ้งความประสงค์ขอยุติการลงทุนในบริษัท และ STAR ได้ยกเลิกการประชุมผู้ถือหุ้น 28 ธ.ค.59 ที่จะพิจารณาเรื่องการลงทุนใน TFEH ด้วย (ก่อนหน้านี้บอร์ดมีมติให้ STAR เพิ่มทุน 1.75 พันล้านหุ้น เสนอขายหุ้นละ 1.30 บาท ให้กับกลุ่มผู้ถือหุ้นของ TFEH เพื่อใช้ชำระค่าหุ้นที่บริษัทจะเข้าซื้อกิจการทั้ง 100%)
นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค - [email protected]