- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Friday, 30 September 2016 17:15
- Hits: 1264
บล.เอเซียพลัส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
กลยุทธ์การลงทุน
วันสุดท้ายของสัปดาห์ คาดดัชนียังไม่ผ่าน 1,500 จุด แม้ยังได้แรงหนุนจากหุ้นน้ำมัน แต่ยังมีแรงขายต่างชาติกดดัน จึงควรใช้เวลาช่วงนี้ปรับพอร์ต และเลือกหุ้นกำไรเด่นใน 2H59 หรือปันผลสูง (ASK, MCS, HANA) Top picks ยังชอบ HANA(FV@B42) กำไรงวด 3Q59 โดดเด่น และปันผลเกิน 7% และ KSL(FV@B6) นอกจากราคาน้ำตาลทำ New High แล้ว ยังได้รับเงินคืนจาก กอน.ราว 36 ล้านบาท
หุ้นน้ำมัน มีโอกาสฟื้นต่อ จากความร่วมมือของกลุ่ม OPEC
วานนี้ราคาน้ำมันดิบโลกฟื้นตัวแรงมาก กล่าวคือเพิ่มขึ้น 5.2% จากวันก่อน แต่เช้านี้เริ่มยืน 45 เหรียญฯ อีกครั้ง (จากราคาปิดวานนี้ 45.16 เหรียญฯต่อบาร์เรล) เช่นเดียวกับน้ำมันตลาดล่วงหน้า WTI ที่แม้จะย่อตัวเล็กน้อย แต่ก็ยังทรงตัวระดับ 47.78 เหรียญฯต่อบาร์เรล สูงสุดนับตั้งแต่เดือน ส.ค. และราคาน้ำมัน Brent ปรับขึ้นใกล้แตะระดับ 50 เหรียญฯต่อบาร์เรล (ล่าสุด 49.24 เหรียญฯต่อบาร์เรล) ซึ่งคาดว่าได้รับแรงหนุนจากผลการประชุมอย่างไม่เป็นทางการของกลุ่ม OPEC ที่มีมติตัดลดกำลังผลิต 0.2-0.7 แสนบาร์เรลต่อวัน แต่อย่างไรก็ตามต้องติดตามผลการประชุมของ OPEC อย่างเป็นทางการอีกครั้ง 30 พ.ย. นี้
นอกจากนี้การรายงานสต็อกน้ำมันสหรัฐฯ สัปดาห์ล่าสุดลดลงมากกว่าคาด และลดลงต่อเนื่องเป็นสัปดาห์ที่ 5 และหลังจากการประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ครั้งหลังสุด ซึ่งได้ปรับลดดอกเบี้ยระยะยาวลง แม้ยังทิ้งท้ายไว้ว่าปีนี้จะมีการขึ้นดอกเบี้ย 1 ครั้งก็ตาม แต่หากพิจารณาดัชนีชี้นำเศรษฐกิจที่ยังขัดแย้งทั้งภาคการบริโภคภาคครัวเรือน และภาคการผลิต ทำให้ ASPS เชื่อว่าโอกาสที่ FED จะขึ้นดอกเบี้ยในปีนี้เป็นไปได้ยาก (จากการสำรวจล่าสุดพบว่าโอกาสขึ้นดอกเบี้ยเดือน ธ.ค. ลดลงเหลือ 52% จาก 55% กลางสัปดาห์นี้ และ 62% ในสัปดาห์ก่อนหน้า) ซึ่งถือว่าในสถานการณ์นี้ดีต่อหุ้นน้ำมัน แต่อย่างไรก็ตามระยะสั้นอาจจะเผชิญแรงขายระยะสั้น กล่าวคือหุ้น PTT(FV@B400) วานนี้ขึ้นแรงกว่า 4% น่าจะติดแนวต้านที่ 350 บาท และ PTTEP(FV@B89)วานนี้ปรับขึ้น 2.50% คาดว่าน่าจะติดแนวต้านที่ 85 บาท จึงแนะนำสะสมเมื่อราคาอ่อนตัว
KSL มีข่าวบวกต่อ ฟ้องชนะ กอน. จะสามารถบันทึกกำไรพิเศษในงวดถัดไป
เช่นเดียวกับราคาน้ำมันที่ปรับตัวขึ้นจากแรงหนุนหลายปัจจัย ราคาน้ำตาลโลกยังเพิ่มขึ้นเช่นกัน นอกจากได้แรงหนุนจาก Dollar Index แล้ว ประเด็นผลผลิตโลกที่น้อยกว่าความต้องการ (เนื่องจาก ภัยแล้งที่รุนแรงในทวีปเอเชีย โดยเฉพาะอินเดีย ทำให้ผลผลิตต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ และสต็อกน้ำตาลโลก (Stock to Consumption ratio) มีแนวโน้มลดลง ใกล้เคียงกับปี 2552 ที่เกิดปัญหาภัยแล้งรุนแรงในอินเดีย หนุนให้ราคาน้ำตาลยังคงยืนอยู่ระดับสูง) ยังมีน้ำหนักหนุนให้ราคาน้ำตาลโลกทำสถิติสูงสุดต่อเนื่อง แม้เช้านี้เริ่มย่อตัวบ้าง โดยล่าสุด 23.35 เซ็นต์ต่อปอนด์ เพิ่มขึ้นกว่า 15.7% ตั้งแต่ต้นเดือน
ประกอบกับล่าสุด KSL สามารถชนะคดีที่ยื่นฟ้องร้องต่อศาลปกครองสูงสุด กรณีที่คณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทรายและกองทุนอ้อยและน้ำตาลทราย เรียกเก็บเป็นเงินรักษาเสถียรภาพกองทุนอ้อยและน้ำตาลทรายของฤดูกาลผลิตปี 2542/43-2545/46 สูงเกินไป (จากบริษัท น้ำตาลนิวกว้างสุ้งหลี จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ KSL โดย KSL ถือหุ้น 98.61%) คิดเป็นเงินต้น 16.96 ล้านบาท เมื่อรวมดอกเบี้ย 7.5% ต่อปี เป็นเวลา 10 ปี นับตั้งแต่วันฟ้องคดี (23 ม.ค. 49) รวมเป็นเงินราว 36 ล้านบาท คาดว่าจะได้รับคืนเงินภายใน 90 วัน นับตั้งแต่วันที่คดีถึงที่สุด (16 ก.ย. 59)
ฝ่ายวิจัยประเมินว่า KSL จะได้เงินคืนสุทธิหลังหักภาษี 30 ล้านบาท (รวมดอกเบี้ย) หรือคิดเป็นกำไรต่อหุ้นเท่ากับ 0.01 บาท/หุ้น และคาดว่าจะบันทึกเข้ามาเป็นรายได้อื่นในงวด 4Q58/59 หรือ 1Q59/60 ถือเป็นปัจจัยบวกต่อประมาณการกำไรสุทธิของ KSL (FV@B6) นอกเหนือจากผลบวกจากราคาน้ำตาลโลกที่ทำระดับสูงสุดในรอบ 4 ปี ที่ 23.35 เซ็นต์/ปอนด์
ต่างชาติสลับมาซื้อหุ้นในภูมิภาค แต่กลับขายหุ้นไทย
วานนี้ต่างชาติสลับมาซื้อสุทธิหุ้นในภูมิภาค ด้วยมูลค่าสูงถึง 682 ล้านเหรียญ (หลังจากขายสุทธิ 3 วัน) โดยเป็นการซื้อสุทธิถึง 4 ประเทศ คือ ตลาดหุ้นไต้หวันซื้อสุทธิสูงถึง 430 ล้านเหรียญ (หลังจากปิดทำการมา 2 วัน) ตามมาด้วยเกาหลีใต้ 194 ล้านเหรียญ (หลังจากขายสุทธิเพียงวันเดียว), อินโดนีเซีย 72 ล้านเหรียญ (หลังจากขายสุทธิ 3 วัน) และฟิลิปปินส์ 3 ล้านเหรียญ (หลังจากขายสุทธิติดต่อกันนานถึง 25 วันทำการ) ยกเว้นตลาดหุ้นไทยเพียงแห่งเดียวเท่านั้นที่ขายสุทธิราว 37 ล้านเหรียญ หรือ 1.3 พันล้านบาท (หลังจากซื้อสุทธิเพียงวันเดียว)
ทั้งนี้ ส่วนนักลงทุนสถาบันฯ แม้วานนี้จะสลับมาซื้อสุทธิหุ้นไทยราว 494 ล้านบาท (หลังจากขายสุทธิมา 2 วัน) ส่วนวันนี้อาจมีคำถามว่า จะมีแรงซื้อเข้ามาหนาแน่นจากการทำ Window Dressing ของนักลงทุนกลุ่มดังกล่าวหรือไม่? โดยฝ่ายวิจัยเซื่อว่าน่าจะมีโอกาสน้อยมากที่จะเกิดขึ้น โดยหากพิจารณาจากสถิติย้อนหลัง 10 ปี พบว่า วันสุดท้ายของไตรมาส 3 SET Index มีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นเพียง 50% ยิ่งไปกว่านั้นนักลงทุนสถาบันฯยังมีการซื้อสุทธิหุ้นไทยเพียง 3 ใน 10 วันเท่านั้น และใน 3 วันที่ซื้อหุ้นก็ไม่ได้มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นทุกครั้ง
ข้อมูลแสดงเงินทุนต่างชาติไหลเข้าออกรายเดือนของแต่ละประเทศในภูมิภาค
คาดว่าดัชนี 1,500 จุดขึ้นยาก แต่ยังแนะนำรายหุ้น : HANA, ASK, KSL
วานนี้ตลาดหุ้นไทย Rebound ขึ้น โดยได้อานิสงส์ sentiment บวก จากราคาน้ำมันโลกที่ดีดขึ้นแรง ทำให้คาดว่า SET ยังมีโอกาสทดสอบ 1,500 จุด แต่ผันผวนจะเพิ่มมากขึ้นอีกครั้ง และมีโอกาสผ่านไปได้ยาก อีกทั้งนับตั้งแต่วันที่ 12 ก.ย. ซึ่งเป็นวันแรกที่ตลาดหุ้นไทย rebound ขึ้นมาจนถึงวานนี้ ดัชนีปรับขึ้นถึงกว่า 5.83% โดย SET50 ปรับขึ้นถึง 5.8% ขณะที่หุ้น Non-SET50 ปรับขึ้นน้อยกว่า คือ 5.56% จึงทำให้เชื่อว่าหุ้นที่มี Market Cap ใหญ่น่าจะเริ่มชะลอลง และน่าจะไป focus กันที่หุ้นขนาดกลาง-เล็กมากขึ้น นอกจากนี้ หากมองกันที่ปัจจัยพื้นฐานอื่นๆ ก็ยังไม่มีประเด็นบวกใหม่ๆ เข้ามาหนุนตลาด อีกทั้งกระแส Fund Flow จากนักลงทุนต่างชาติที่เริ่มชะลอลงดังกล่าว จึงทำให้ภาพรวม SET Index ยังแกว่งในกรอบ 1480-1500 จุดต่อไป
ในส่วนของการทำ Earnings Preview ผลประกอบการงวด 3Q59 นั้น คาดว่าไม่มีน้ำหนักหนุนดัชนีนัก เพราะหุ้นใหญ่ทั้ง ธ.พ. สื่อสาร และ พลังงานอยู่ในภาวะชะลอตัวเมื่อเทียบกับผลกำไรงวด 1H59 จึงเหลือเฉพาะหุ้นขนาดกลาง-เล็กที่ยังแสดงกำไรโดดเด่นตามผลของฤดูกาลในงวด 3Q59 กล่าวคือ
กลุ่ม ร.พ. : คาดผลประกอบการเด่นจากการเข้าสู่ช่วง High Season ในงวด 3Q59 แต่หุ้นหลายแห่งราคาปรับขึ้นมาแล้ว (RJH, LPH) แนะนำรอสะสมเมื่อราคาอ่อนตัว หรือสลับมาลงทุนใน BH(FV@B213) และ BCH (FV@B14) ส่วน BDMS (FV@B27) แนะนำหลีกเลี่ยงชั่วคราว จากแผนการลงทุนใหม่ที่อาจจะกดดันกำไรในระยะ 2-3 ปี แรกของการลงทุนดังที่กล่าวไปวานนี้
กลุ่มส่งออกอาหาร : ราคาขยับขึ้นไปมากแล้วเช่นกัน (TFG, GFPT, CPF) อีกทั้งการเข้าสู่เทศกาลกินเจ อาจทำให้ราคาสุกร-ไก่ ปรับลงบ้าง แนะนำซื้อเมื่อราคาหุ้นอ่อนตัวลง
กลุ่มเกษตร : ราคาน้ำตาลปรับลดลงเล็กน้อย แต่ยังทรงตัวในระดับสูง โดย KSL (FV@B6) ยังเป็นตัวเลือกที่ดี ทั้งยังได้ประเด็นบวกจากรายได้พิเศษจากบริษัทลูก แนะนำหาจังหวะซื้อสะสมเมื่อราคาหุ้นอ่อนตัวลง
กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ : ปัจจัยฤดูกาลยังส่งผลดีต่อกลุ่มชิ้นส่วนฯ โดย HANA (FV@B42) ฝ่าวิจัยยังแนะนำต่อเนื่อง เพราะราคาหุ้นยัง laggard อีกทั้งยังคาดหวัง Div. Yield ได้สูงกว่า 6% แต่ P/E ต่ำเพียง 11.3 เท่าเท่านั้น
กลุ่มท่องเที่ยว-โรงแรม : คาดว่ายังมีผลดำเนินงานที่ดี ERW ([email protected]), MINT (FV@B48), CENTEL (FV@B48) และสายการบินที่เน้นปลายทางที่เกาะสมุย อย่าง BA([email protected]) แต่ราคาหุ้นก็ขึ้นมาระดับหนึ่งแล้ว จึงแนะนำให้ซื้อเมื่อราคาหุ้นอ่อนตัวเท่านั้น
กลุ่มลิสซิ่ง คาดผลกำไรงวด 3Q59 ดีกว่างวด 2Q59 ประกอบกับล่าสุดรัฐมี มาตรการ ช่วยเหลือเกษตรกรผู้มีรายได้น้อย น่าจะหนุนกำลังซื้อ และ ผ่อนคลาย การตั้งสำรองฯ ของ กลุ่มสินเชื่อเช่าซื้อ-ลิสซิ่ง ได้แก่ เช่าซื้อรถจักรยานยนต์ (TK, GL, S11) และ สินเชื่อจักรกลการเกษตร (GCAP) ASPS ยังชอบ TK ([email protected]) และ S11 ([email protected]) มากที่สุด
เช่นเดียวกับ ASK ([email protected]) คาดยังเติบโตตาม โดยการก่อสร้างภาครัฐ หนุนความต้องการสินเชื่อรถบรรทุก อีกทั้งยังคาดหวัง Dividend Yield ได้สูงกว่า 7% แต่มี P/E ต่ำเพียง 9.6 เท่า ขณะที่ราคาหุ้นปัจจุบันมี upside สูงถึง 40% นอกจากนี้ ผลตอบแทนเฉลี่ย 5 ปีย้อนหลังในไตรมาส 4 ของ ASK ยังสูงถึง 6% ด้วยความน่าจะเป็นที่ผลตอบแทนเป็นบวกกว่า 60% รวมทั้ง KCAR ([email protected]) Dividend Yield ได้สูงถึง 6% แต่มี P/E ต่ำเพียง 9.7 เท่า ขณะที่ราคาหุ้นปัจจุบันมี upside สูงถึง 83%
ภรณี ทองเย็น เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004146
เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004132
พบชัย ภัทราวิชญ์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 052647
ภราดร เตียรณปราโมทย์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 075365
พาสุ ชัยหลีเจริญ ผู้ช่วยนักวิเคราะห์
ฐกฤต ชาติเชิดศักดิ์ ผู้ช่วยนักเศรษฐศาสตร์