- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Wednesday, 28 September 2016 17:48
- Hits: 7670
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : ไม่มี
ปัจจัย&กลยุทธ์ทางปัจจัยพื้นฐาน : ตลาดหุ้นไทยเมื่อวานนี้ขึ้นไปใกล้ 1500 จุดแต่ไม่ผ่านแล้วอ่อนลงมาปิดที่ 1489.39 ใกล้เคียงกับวันก่อนหน้า มูลค่าซื้อขายยังซบเซาที่ 3 หมื่นกว่าล้านบาท โดยในช่วงแรกตลาดตอบรับทางบวกกับผลการดีเบตที่คะแนนเป็นของฮิลลารีมากกว่าทรัมป์แต่ด้วยความกังวลกับความไม่แน่นอน โดยมีเรื่องดอยซ์แบงค์เข้ามากดดันตลาดหุ้นยุโรปด้วย จึงมีการขาย/Take profit ตามมา นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิเพิ่มเป็น 1 พันล้านบาท สถาบันในประเทศและรายย่อยขายสุทธิแต่ไม่มาก พอร์ตบล.เป็นกลุ่มที่นำซื้อสุทธิ 2.0 พันล้านบาท
ปัญหาของดอยซ์แบงค์ผ่อนคลายลงหลังเจ้าหน้าที่ระดับสูงกระทรวงยุติธรรมสหรัฐเปิดเผยว่าธนาคารจะได้รับการลดหย่อนค่าปรับหากยอมให้ความร่วมมือกับหน่วยงานรัฐบาล (ธนาคารถูกเรียกค่าปรับ 1.4 หมื่นล้านดอลลาร์) คะแนนเสียงของฮิลลารี่ที่นำทรัมป์หลังดีเบตรอบแรกทำให้นักลงทุนเบาใจลง ส่วนการประชุมหารือนอกรอบของกลุ่มโอเปกและรัสเซีย 26-28 ก.ย.นี้ ตลาดไม่ได้คาดหวังผลมากนัก สำหรับปัจจัยในประเทศยังไม่มีเรื่องใหม่ แต่ก็มีลุ้นกับความคืบหน้าในการใช้จ่ายและลงทุนภาครัฐช่วง 4Q59 ที่จะมีมากขึ้น รวมทั้งผลประกอบการ 3Q59 ที่จะเติบโตก้าวกระโดดเมื่อเทียบ YoY โดยเฉพาะกลุ่มพลังงานที่ฐานกำไร 3Q58 ต่ำมากๆ ส่วนปัจจัยเสี่ยงหลัก คือ ความไม่แน่นอนในประเทศ
กลยุทธ์ : ยังคงแนะนำให้เลือกซื้อหุ้นที่ธุรกิจและกำไรยังเติบโตได้ดีเมื่อ SET ยังเหนือเส้น SMA10 โดยเน้นเพื่อการเล่นรอบไว้ก่อน (จนกว่าจะมีสัญญาณบ่งชี้ว่าจบขาลงแล้ว) สำหรับหุ้นพื้นฐานแนะนำวันนี้เป็น CPN
การวิเคราะห์ทางเทคนิค : สัญญาณระยะสั้นเป็นลบเล็กๆ ควรระวังการแกว่งจากแรงขายทำกำไรระยะสั้น ให้แนวต้านระยะสั้นไว้ที่ 1500, 1510 จุด การอ่อนตัวจนหลุด 1480 จุดดูไม่ค่อยดี แนะนำให้ชะลอการลงทุน/ลดพอร์ตตามกรณีที่มีเงินสดเหลือน้อย เพราะมีโอกาสลงแรงได้
สำหรับผลการ SCAN หุ้นที่มีโอกาสทำ New High พบว่าที่เข้ามาใหม่ คือ ANAN, SMPC, MALEE ส่วนหุ้นที่ยังอยู่ใน List คือ TOP, AAV, JASIF, TISCO, EPG, TU, CPN, BA หุ้นที่หลุด List เป็น BAFS ส่วนหุ้นแนะนำไปแล้วและให้หาจังหวะ Take Profit คือ CWT, SPF, LPH
นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค & Retail Research Team : [email protected]
Need to know TODAY
ปัจจัยต่างประเทศ
+ สหรัฐ : ผลสำรวจการดีเบตรอบแรกระบุคะแนนฮิลลารี่นำทรัมป์
ผลสำรวจของ CNN ระบุว่า 62% มองว่านางฮิลลารีได้รับชัยชนะในการดีเบตครั้งนี้ ขณะที่ 27% มองว่านายโดนัลด์ ทรัมป์คู่แข่งจากพรรครีพับลิกันได้รับชัยชนะ) ส่วนผลการสำรวจของ fivethirtyeight.com หลังเสร็จสิ้นการดีเบต พบว่า หากมีการจัดการเลือกตั้งในวันนี้ นางฮิลลารีมีโอกาสชนะการเลือกตั้ง 52.1% ขณะที่นายทรัมป์มีโอกาส 47.9%
+ สหรัฐ : ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนก.ย.เพิ่มแกร่ง
ผลสำรวจของ Conference Board ซึ่งระบุว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐเพิ่มขึ้นในเดือนก.ย. แตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่เกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย โดยอยู่ที่ระดับ 104.1 และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ที่ระดับ 99.0 ทั้งนี้ผู้บริโภคมีมุมมองที่ดีขึ้นต่อภาวะการจ้างงาน และยังคงมีมุมมองเชิงบวกต่อสภาวะธุรกิจในปัจจุบัน และคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจจะมีการขยายตัวปานกลางในช่วงหลายเดือนข้างหน้า
+ ตลาดหุ้นสหรัฐ : ปรับขึ้นรับผลดีเบต (ผลสำรวจระบุว่าฮิลลารี่ชนะ) & ความเชื่อมั่นผู้บริโภคเพิ่มขึ้น
ดัชนี DJIA ปิดที่ 18,228.30 จุด พุ่งขึ้น 133.47 จุด หรือ +0.74% ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 5,305.71 จุด เพิ่มขึ้น 48.22 จุด หรือ +0.92% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,159.93 จุด เพิ่มขึ้น 13.83 จุด หรือ +0.64% เป็นการตอบรับผลสำรวจที่บ่งชี้ว่า นางฮิลลารีมีชัยชนะเหนือนายโดนัลด์ ทรัมป์ คู่แข่งจากพรรครีพับลิกัน ในการดีเบตรอบแรก และความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนก.ย.เพิ่มขึ้นดี
- ราคาน้ำมันดิบ : ร่วงลงเพราะการประชุม 26-28 ก.ย.จะเป็นเพียงการหารือที่ยังไม่มีข้อสรุป
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนพ.ย.ร่วงลง 1.26 ดอลลาร์ หรือ 2.7% ปิดที่ 44.67 ดอลลาร์/บาร์เรล ส่วน BRENT ส่งมอบเดือนพ.ย.ลดลง 1.38 ดอลลาร์ หรือ 2.9% ปิดที่ 45.97 ดอลลาร์/บาร์เรล โดยนักลงทุนเชื่อว่า การประชุมอย่างไม่เป็นทางการระหว่างรัสเซียและกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) วันที่ 26-28 ก.ย.จะไม่มีการทำข้อตกลงในประเด็นการตรึงกำลังการผลิตแต่เป็นเพียงหารือและรับฟังมุมมองต่างๆ เพื่อนำไปประชุมอย่างเป็นทางการต่อในวันที่ 30 พ.ย.59 ที่กรุงเวียนนา ออสเตรีย ด้านรมว.น้ำมันของอิหร่าน กล่าวว่าอิหร่านต้องการเพิ่มการผลิตน้ำมันดิบเป็น 4 ล้านบาร์เรลต่อวัน จากปัจจุบันที่ 3.6 ล้านบาร์เรลต่อวัน
โกลด์แมน แซคส์ออกรายงานปรับลดคาดการณ์ราคาน้ำมันในไตรมาส 4/59 สู่ระดับ 43 ดอลลาร์/บาร์เรล จากเดิมที่ 50 ดอลลาร์/บาร์เรล เนื่องจากการผลิตเพิ่มขึ้นมากเกินคาดในไตรมาส 3/59 ทำให้มีน้ำมันส่วนเกิน 400,000 บาร์เรล/วันในไตรมาส 4/59 เทียบกับส่วนเกิน 300,000 บาร์เรล/วันก่อนหน้านี้
- ราคาทองคำ : ร่วงลงแรงหลังผลดีเบตออกมา
สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค.ร่วงลง 13.7 ดอลลาร์ หรือ 1.02% ปิดที่ 1,330.4 ดอลลาร์/ออนซ์
ปัจจัยในประเทศ & หุ้นเด่น
-/+ ปริมาณการค้าโลกเติบโตน้อยกว่าที่เคยคาดไว้...เลือกลงทุนในหุ้นที่เติบโต Outperform
องค์กรการค้าโลก (WTO) ออกรายงานระบุว่าอัตราการเติบโตของปริมาณการค้าโลกในปี 59 จะเหลือเพียง +1.7% จากคาดการณ์เดิมเมือเม.ย.59 ที่ +2.8% ซึ่งเป็นผลจากการที่สหรัฐนำเข้าน้อยลง และการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนทำให้การค้าในภูมิภาคเอเชียซบเซาลง
ความเห็นเชิงกลยุทธ์ DBSV Retail Research : ปริมาณการค้าโลกที่เติบโตน้อยส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวของภาคส่งออกของไทยด้วย ซึ่งเราคาดการณ์ว่ามูลค่าส่งออกของไทยในรูปดอลลาร์สหรัฐจะ -2% (กระทรวงพาณิชย์คาดว่าจะ -1% หรือ 0% ส่วนธปท.ประมาณการไว้ที่ -1.5%) แต่คาดว่าจะฟื้นตัวเป็นบวกได้เล็กน้อยในปี 60
อย่างไรก็ดี แม้ภาพรวมการส่งออกจะไม่สดใส แต่ก็มีบางสินค้าและบางบริษัทที่ยังเติบโตได้ดี เนื่องจากมีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ได้ตรงกับความต้องการของลูกค้า รวมทั้งมีการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตและเพิ่ม Economy of scales ซึ่งหนึ่งในบริษัทที่อยู่ในข่ายนี้และเป็นหุ้น Top Pick กลุ่มส่งออกของเรา คือ KCE (แนะนำซื้อ ราคาเป้าหมาย DBSV 121 บาท โดยคาดการณ์กำไรสุทธิปี 59-60 เติบโต 44% และ 19% ตามลำดับ
+ ADB ปรับเพิ่มคาดการณ์ GDP growth ไทยปีนี้เป็น +3.2%
ธนาคารพัฒนาเอเชียปรับเพิ่มคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจไทยปี 59 เป็น +3.2% (เดิม +3.0%) โดยประเมินว่า 2H59 จะเติบโตดีกว่า 1H59 เป็นผลจากการใช้จ่ายและบริโภคภาครัฐ และภาคบริการโดยเฉพาะท่องเที่ยวที่ขยายตัวแกร่ง สำหรับปี 60 ประมาณการว่าจะเติบโตที่ +3.5% โดยการลงทุนภาครัฐเป็นตัวกระตุ้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจให้มีมากขึ้น การลงทุนภาคเอกชนมีแนวโน้มกระเตื้องกว่าปีนี้ ส่วนการบริโภคที่เริ่มฟื้นตัวก็น่าจะมีโมเมนตัมดีต่อในปีหน้า ปัจจัยจับตา/เสี่ยง คือ ความล่าช้าของการลงทุนโครงการใหญ่ภาครัฐ, การเมืองซึ่งไทยจะมีการเลือกตั้งในปี 60, การฟื้นตัวที่ล่าช้าของภาคส่งออก, ภัยธรรมชาติที่รุนแรงขึ้น และการปรับขึ้นดอกเบี้ยของสหรัฐที่จะกระทบ Fund flow & ค่าเงินบาท
+ CPN (ราคาปิด 59 บาท : เติบโตอย่างมีเสถียรภาพและต่อเนื่องในระยะยาว
บริษัทยังคงเป้าหมายการเติบโตรายได้ 14-15% ในปี 59 โดยในช่วง 1H59 รายได้เติบโต 17%YoY เนื่องจากเปิดโครงการใหม่ 4 แห่งในปี 58 (ระยอง, ภูเก็ต, เวสต์เกท และอีสท์วิลล์) และอัตราการเช่าพื้นที่ของเซ็นทรัลปิ่นเกล้าเพิ่มขึ้นหลังปรับปรุงเฟส 1 เสร็จตั้งแต่ธ.ค.58 ส่วนรายได้ค่าเช่าในพื้นที่เดิมสูงขึ้น 3%YoY ปัจจุบันมีศูนย์การค้าทั้งหมด 30 แห่ง (ล่าสุดคือที่นครศรีธรรมราช เปิดไปเมื่อ 28 ก.ค.59) บริษัทกำลังปรับปรุง 4 โครงการ (บางนา, พัทยา, ภูเก็ต และแจ้งวัฒนะ) ซึ่งจะแล้วเสร็จภายในปี 59 และสร้างรายได้เพิ่มในปี 60 เป็นต้นไป ส่วนในปี 60 มีแผนปรับปรุง 5 โครงการ (เซ็นทรัลเวิลด์, พระราม 1, เชียงใหม่แอร์พอร์ต และภูเก็ต 1 ซึ่งจะเสร็จภายในปี 60 และสร้างรายได้เพิ่มตั้งแต่ปี 61 เป็นต้นไป สำหรับเงินลงทุนวางไว้ที่ 15-17 พันล้านบาทในช่วง 3 ปีข้างหน้า แหล่งที่มาของเงินลงทุน คือ กระแสเงินสดจากการดำเนินงาน และการขายสินทรัพย์ของกอง REIT ส่วนโครงการคอนโดเพื่อขาย บริษัทมีเป้าหมายเปิดขาย 3 โครงการต่อปี ซึ่งขณะนี้เปิดขายไปแล้ว 3 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 3 พันล้านบาท ราคาเฉลี่ยที่ 2 ล้านบาท/ยูนิต (เชียงใหม่-ยอดขาย Presales 100%, ขอนแก่น-100% และระยอง-95%) จะโอนรับรู้รายได้ในปี 61 ทั้งนี้บริษัทกล่าวว่าขณะนี้มีที่ดินพร้อมที่จะเปิดขายคอนโดได้อีก 17 โครงการ สำหรับการแปลง CPNRF เป็น REIT คาดว่าจะแล้วเสร็จภายใน 1H60 ทาง DBSV คาดการณ์กำไรสุทธิปี 59/60/61 เติบโต 17%/13%/21% ซึ่งการเติบโตมาจากการเปิดมอลล์ใหม่ (2-3 แห่งต่อปี), การเพิ่มขึ้นของค่าเช่า 3-5%, การขยายสินทรัพย์ และเปิดขายโครงการคอนโด (ซึ่งจะเริ่มมีรายได้และกำไรตั้งแต่ปี 61 เป็นต้นไป) เราเชื่อว่าแผนธุรกิจและกลยุทธ์ที่ชัดเจน และการบริหารงานอย่างมืออาชีพ ทำให้ CPN เติบโตได้อย่างมีเสถียรภาพในระยะยาว แนะนำซื้อ โดยให้ราคาพื้นฐาน 70 บาท (Sum-of-parts)
BCPG : เข้าซื้อขายวันแรก 28 ก.ย.59 ราคา IPO 10 บาท/หุ้น
บมจ.บีซีพีจี (BCPG) เตรียมเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) วันแรกในวันที่ 28 ก.ย.นี้ หลังได้เสนอขายหุ้นให้กับประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) จำนวน 590 ล้านหุ้น ที่ราคาหุ้นละ 10 บาท โดย BCPG เป็นผู้ผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในเครือ BCP บริษัทมีเป้าหมายภายในปี 63 จะมีกำลังผลิตไฟฟ้าติดตั้ง 1,000 MW ปัจจุบันมีกำลังการผลิตไฟฟ้าติดตั้งแล้ว 418 MW เป็นกำลังการผลิตไฟฟ้าตามสัญญารวม 324 MW (มีทั้งในประเทศไทยและญี่ปุ่น) และกำลังเดินหน้าลงทุนเพื่อขยายกำลังการผลิตตามเป้าหมายต่อ ซึ่งคาดว่าจะใช้เงินลงทุนเฉลี่ย 80 ล้านบาท/MW แหล่งเงินทุนมาจาก IPO และกู้ยืม นอกจากนั้นบริษัทยังสนใจลงทุนพัฒนาโครงการพลังความร้อนใต้พิภพ พลังงานลม ก๊าซชีวภาพ ชีวมวล และขยะ ซึ่งจะมีทั้งลงทุนเอง เข้าซื้อกิจการ และร่วมทุนกับพันธมิตรทั้งในและต่างประเทศ สำหรับ EBITDA ของโครงการที่ลงทุนในไทยอยู่ที่ 15-16 ล้านบาท/MW และในญี่ปุ่น 8-10 ล้านบาท/MW ซึ่งในการลงทุนใหม่ๆ บริษัทจะพยายามไม่ให้ผลตอบแทนต่ำกว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้ BCPG มีนโยบายจ่ายปันผลไม่น้อยกว่า 40% ของกำไรสุทธิ
นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค - [email protected]
นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค - [email protected]