- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Friday, 23 September 2016 16:45
- Hits: 3206
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
'ยืนเหนือ 1500 ได้...เลือกซื้อ/ถือต่อ'
หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : LPH (จากถือเป็นซื้อ)
ปัจจัย&กลยุทธ์ทางปัจจัยพื้นฐาน : เมื่อวานนี้ตลาดหุ้นไทยบวกต่อ 18.82 จุดปิดที่ 1505.99 ซึ่งเหนือ 1500 จุดได้อย่างดี ตอบรับการปรับลดคาดการณ์การขึ้นดอกเบี้ยของเฟดในช่วงปี 60-62 และในระยะยาว ซึ่งทำให้ตลาดหุ้นมีความน่าจูงใจมากขึ้น นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิต่อ 2 พันล้านบาท สถาบันในประเทศและพอร์ตบล.ก็ซื้อสุทธิกลุ่มละ 1 พันกว่าล้านบาท รายย่อยเป็นกลุ่มเดียวที่ขายสุทธิ 4.6 พันล้านบาท
Sentiment โดยรวมยังเป็นบวกแต่ระยะสั้นมากควรระวังการแกว่งจากแรงขายทำกำไรระยะสั้นหลังจบการประชุม FED และ BOJ ซึ่ง Price in เข้าไปในตลาดพอควรแล้ว ส่วนปัจจัยในประเทศ ก็เริ่มมีเรื่องคาดการณ์ผลประกอบการไตรมาส 3/59 (ซึ่งจะทำ Preview กันหนาแน่นมากขึ้นในเดือนต.ค.) และจับตาความคืบหน้าของโครงการลงทุนภาครัฐ ซึ่งในส่วนของการยื่นเสนอขอขายไฟฟ้าขยะอุตสาหกรรม 50 MW จะเปิดรับช่วง 22-28 ก.ย.59 ซึ่งคึกคักมากโดยมีผู้ยื่นมาแล้ว 30 รายจำนวน 300 MW นอกจากนั้นคาดว่าการเปิดประมูลเส้นทางคมนาคมใหม่ๆ จะมีมากขึ้นในช่วง 4Q59
กลยุทธ์ : ยังคงแนะนำให้เลือกซื้อหุ้นที่ธุรกิจและกำไรยังเติบโตได้ดี ทั้งนี้ยังเน้นเพื่อการเล่นเด้งตามรอบไว้ก่อน (จนกว่า SET จะยืนเหนือ 1500 จุดได้อย่างมั่นคง) สำหรับหุ้นพื้นฐานแนะนำวันนี้เป็น LPH
การวิเคราะห์ทางเทคนิค : สัญญาณระยะสั้นเป็นบวก แต่ยังต้องระวังการแกว่งจากแรงขายทำกำไรระยะสั้น ให้แนวต้านระยะสั้นไว้ที่ 1510, 1520 จุด การอ่อนตัวจนหลุด 1480 จุดแนะนำให้ชะลอการลงทุน/ลดพอร์ตตาม เพราะมีโอกาสอ่อนตัวลงแรงได้
สำหรับการ SCAN หุ้นที่มีสัญญาณเทคนิคดีมีโอกาสทำ New High พบว่าที่เข้ามาใหม่ คือ TISCO, EPG, GLOBAL ส่วนหุ้นที่ยังอยู่ใน List คือ CKP, TOP, CWT, AAV, BAFS, JASIF, RJH หุ้นที่หลุด List -ไม่มี- ส่วนหุ้นที่แนะนำไปแล้วและให้หาจังหวะ Take Profit คือ CPN, CPALL, TCAP, THANI, UTP
นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค - [email protected]
Need to know TODAY
ปัจจัยต่างประเทศ
+ สหรัฐ : ตัวเลขภาคแรงงานดีเกินคาด
กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า จำนวนชาวอเมริกันที่ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกในสัปดาห์ที่แล้วลดลงสวนทางนักวิเคราะห์ที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น โดยลดลง 8,000 ราย สู่ระดับ 252,000 รายในสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 17 ก.ย. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่กลางเดือนก.ค. ทั้งนี้นักวิเคราะห์คาดการณ์ก่อนหน้านี้ว่าจำนวนชาวอเมริกันที่ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกจะเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 262,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว
+ ตลาดหุ้นสหรัฐ : ดัชนี DJIA ปรับขึ้นต่อ 0.5-0.8%
ดัชนี DJIA ปิดที่ 18,392.46 จุด เพิ่มขึ้น 98.76 จุด หรือ +0.54% ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 5,339.52 จุด เพิ่มขึ้น 44.34 จุด หรือ +0.84% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,177.18 จุด เพิ่มขึ้น 14.06 จุด หรือ +0.65% โดยการซื้อขายคึกคักรับผลประชุม FOMC ที่คงดอกเบี้ยรอบนี้และปรับลดคาดการณ์การปรับขึ้นดอกเบี้ยทั้งในระยะสั้น-กลาง-ยาวลง และตัวเลขภาคแรงงานยังออกมาแข็งแกร่ง
+ ราคาน้ำมันดิบ : ขยับขึ้นต่อ
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนพ.ย.พุ่งขึ้น 98 เซนต์ หรือ 2.2% ปิดที่ 46.32 ดอลลาร์/บาร์เรล ด้าน BRENT ส่งมอบเดือนพ.ย.เพิ่มขึ้น 82 เซนต์ หรือ 1.8% ปิดที่ 47.65 ดอลลาร์/บาร์เรล ปัจจัยหนุนยังคงเป็นสต็อกน้ำมันดิบรายสัปดาห์ของสหรัฐที่ลดลงเกินคาด (-6.2 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว สวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 3.4 ล้านบาร์เรล) และกลุ่มโอเปก & รัสเซียจะมีการประชุมกันอย่างไม่เป็นทางการในวันที่ 26-28 ก.ย.นี้ เพื่อหารือเรื่องการตรึงกำลังการผลิต (ซึ่งอาจไม่ได้ข้อสรุปแต่สัญญาน้ำมันดิบก็มักจะปรับขึ้นก่อนการประชุม)
+ ราคาทองคำ : พุ่งขึ้นต่อ
สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค.พุ่งขึ้น 13.3 ดอลลาร์ หรือ 1.00% ปิดที่ระดับ 1,344.7 ดอลลาร์/ออนซ์ ปัจจัยหนุน คือ การอ่อนค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐหลังเฟดส่งสัญญาณปรับขึ้นดอกเบี้ยน้อยกว่าที่เคยประมาณการกันไว้
ปัจจัยในประเทศ & หุ้นเด่น
+ ORI (ราคาปิด 11.40 บาท, ราคาพื้นฐาน 12.43 บาท) : มี Backlog พร้อมโอนสูงถึง 1 หมี่นล้านบาท
ORI เป็นบริษัทที่อยู่อาศัยที่เน้นพัฒนาแต่คอนโดมีเนียม แต่ถือว่าเป็นกิจการที่เติบโตเร็ว เริ่มเป็นที่รู้จักในกลุ่มผู้ซื้อคอนโดมิเนียม ผลงานปี 59 อยู่ในเกณฑ์ดี ยอดขาย 8M59 เป็น 5 พันล้านบาท คิดเป็น 67% จากเป้าหมายการขายเดิมที่ 7.5 พันล้านบาทแล้ว จึงมีการปรับเป้ายอดขาย Presales เพิ่ม อีกทั้งยอดขายรอโอน (Backlog) ก็ทำสถิติสูงสุดใหม่ตั้งแต่ตั้งบริษัทมาถึง 1 หมื่นล้านบาท จึงทำให้มีแหล่งรายได้ที่มั่นคงในช่วง 2 ปีข้างหน้า สำหรับแนวโน้มกำไรปีนี้จะไปกระจุกตัวในครึ่งปีหลัง เพราะจะมีโครงการที่โอนรับรู้รายได้ในงวดครึ่งหลังปีนี้ถึง 4 โครงการ โดย 3Q59 เริ่มโอนได้ 1 โครงการ และ 4Q59 อีก 3 โครงการ ส่วนคาดการณ์กำไรสุทธิตลอดปีนี้จะเติบโตถึง 93% แต่กำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) เติบโตที่ 45% เพราะจำนวนหุ้นที่เพิ่มขึ้นจากการ IPO เป็น 600 ล้านหุ้น (เดิม 450 ล้านหุ้น) สำหรับการประเมินมูลค่าหุ้น หากกำหนดให้ Forward P/E ปี 59 เป็น 10 เท่า จะได้ราคาพื้นฐานที่ 12.43 บาท
เอกชนชิงดำโรงไฟฟ้าขยะ 'GENCO-CWT' เต็งหนึ่ง
GENCO-SUPER-CWT-WHA-GLOW-SCC-BWG-PSTC เบียดไหล่ยื่นเสนอตั้งโรงไฟฟ้าขยะอุตสาหกรรม 50 เมกะวัตต์ บิ๊กGENCO "อิทธิฤทธิ์ วิภูศิริ" มั่นใจคว้า 2 โครงการ จำนวน 16 เมกะวัตต์ พร้อมใส่เงิน 2.4 พันล้านบาท ก่อสร้างทันที ด้าน CWT ไม่น้อยหน้า ทุ่ม 2 พันล้านบาท ลุยโรงไฟฟ้า 8 เมกะวัตต์ ส่วน SUPER ยกทัพยื่น 5 โครงการ คาดกกพ.ประกาศรายชื่อผู้ได้รับการคัดเลือกวันที่ 28 ต.ค.59 สำหรับคุณสมบัติผู้ผ่านการคัดเลือก คือ กิจการต้องตั้งอยู่ใน 11 นิคมฯ ที่จะป้อนไฟฟ้าให้นิคมฯ และผู้ได้รับการคัดเลือกจะต้องลงนามสัญญาซื้อขายไฟฟ้าหรือ PPA ภายใน 25 ก.พ.60 และจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบได้ภายในธ.ค.62
ทางด้านโรงไฟฟ้าขยะชุมชน คาดว่าจะเปิดให้เอกชนเช้ายื่นเสนอขายไฟฟ้าได้ในช่วงต้นต.ค.59 จำนวน 130 เมกะวัตต์ ส่วนโซลาร์ฟาร์มราชการฯ ระยะที่ 2 กำลังการผลิต 519 เมกะวัตต์ (ราชการ 400 และสหกรณ์ 119 เมกะวัตต์) จะดำเนินการเปิดยื่นได้ต้นปี 60- (ที่มา : ทันหุ้น & ข่าวหุ้น & ไทยรัฐ)
ตลาดหลักทรัพย์ฯ เปิดพอร์ตนักลงทุนต่างชาติถือหุ้นไทย
ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยออก SET Note เรื่องเปิดพอร์ตการถือครองหุ้นไทยของนักลงทุนต่างประเทศ ณ สิ้นเดือน ก.ค. 59 พบว่ามีทั้งสิ้น 4.34 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.24 แสนล้านบาท จากสิ้นเดือน พ.ค.59 จากการกลับเข้ามาซื้อสุทธิในเดือน มิ.ย-ก.ค.59 กว่า 6.37 หมื่นล้านบาท ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่หนุนให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยเพิ่ม 7% จากเดือนพ.ค.59
สำหรับ นักลงทุนต่างชาติที่ถือครองหุ้นไทยมากที่สุดเป็นยุโรป (1.9 ล้านล้านบาท หรือ 47.5% ของมูลค่าถือครองของต่างชาติทั้งหมด และคิดเป็น 14.7% ของ Market cap ตลาดหุ้นไทย แต่ก็ -11.9%YoY เพราะ UK ขายหุ้นธนาคารพาณิชย์ไทย และเนเธอร์แลนด์ขายหุ้น BIGC โดยนักลงทุน UK ถือหุ้น 3 ใน 4 ของนักลงทุนยุโรปทั้งหมด) รองลงมาเป็นเอเชีย (1.5 ล้านล้านบาท หรือ 37.3% ของมูลค่าที่ต่างชาติถือครอง ซึ่ง -2.9%YoY โดยสิงคโปร์ถือครองมากสุดในกลุ่มนี้ที่ 53% ตามมาด้วย ญี่ปุ่น, ฮ่องกง มาเลเซีย จีน และเกาหลี) อันดับสามเป็น นักลงทุนอเมริกา (ถือครอง 4.84 แสนล้านบาท หรือ 12.1%) ด้านออสเตรเลียถือน้อยที่สุด (4.9 พันล้านบาท หรือเพียง 0.1%) - (ที่มา : ตลาดหลักทรัพย์ฯ & โพสต์ทูเดย์)
นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค - [email protected]