- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Friday, 23 September 2016 15:19
- Hits: 782
บล.ฟินันเซีย ไซรัส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
Today’s Report : ---
Our Portfolio Sep 2016 : ARROW, BCH, BJC, BLA, KTC
SET รีบาวด์แรงพอควรในช่วง 2 สัปดาห์นี้ คาดมีลุ้นพักลงให้ซื้อใหม่ได้
ตลาดหุ้นวานนี้ : SET ขยับขึ้นบวกต่อเนื่องอีกกว่า 15 จุดในช่วงเช้า รับข่าวการชะลอการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐ และการฟื้นตัวของราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก แต่ก็ยังมีแรงขายทำกำไรกดดันให้แกว่งแคบเกือบทั้งวัน ก่อนที่จะมีแรงซื้อหนุนให้บวกอีกได้ในช่วงท้ายตลาด จนกระทั่งดัชนีขยับบวกต่อขึ้นถึงเกือบ 20 จุด และยืนปิดสูงกว่า 1500 จุดได้อีกครั้ง
แนวโน้มตลาดวันนี้ : เช้านี้ตลาดหุ้นต่างประเทศส่วนใหญ่ยังขยับบวกสดใสหลังเมื่อคืนนี้ตลาดหุ้นสหรัฐและยุโรปปิดบวกได้ดี ขานรับการตรึงอัตราดอกเบี้ยของเฟด นอกจากนี้ยังได้รับแรงหนุนจากความมั่นใจในภาวะเศรษฐกิจสหรัฐ หลังจากจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานของสหรัฐปรับลงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 2 เดือน รวมทั้งการฟื้นตัวของราคาน้ำมันอีกกว่า 2% จากตัวเลขสต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐที่ร่วงลงอย่างมากในสัปดาห์ที่แล้ว อย่างไรก็ตามตลาดหุ้นเอเชียหลังจากเปิดบวก ก็เริ่มมีแรงขายทำกำไรกดดันให้บางแห่งมีจังหวะปรับตัวย้อนลบ ซึ่ง FSS คาดว่าน่าจะกดดันตลาดหุ้นไทยให้แกว่งตัวผันผวนด้วยเช่นกัน เพราะช่วงก่อนหน้านี้ SET รีบาวด์กลับขึ้นมารับข่าวบวกไปพอควรแล้ว นอกจากนี้ที่ประชุมเฟดวันก่อนยังยืนยันว่าน่าจะมีการขยับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมท้ายปีนี้อยู่ ดังนั้นยังต้องระวัง SET ปรับพักไว้ด้วย
กลยุทธ์ : ซื้อแล้วเน้นถือรอรอบบวกใหญ่ได้ แต่ซื้อใหม่ยังน่ารอช่วงอ่อนตัวลง
แนวรับ 1502-1500 , 1496-1490 จุด
แนวต้าน 1508-1510 , 1512-1515 จุด
หุ้นเด่นทางเทคนิค : TISCO , MONO , GUNKUL(short)
Fund Flow วานนี้กระแสเงินทุนไหลเข้าภูมิภาค US$281ล้าน นำโดยเกาหลีใต้ US$157ล้าน ไต้หวัน US$83ล้าน และไทย US$58ล้าน ขณะที่ไหล ออกจากอินโดนีเซีย US$18ล้าน แนวโน้มกระแสเงินทุนมีทิศทางไหลเข้าภูมิภาคหลัง Fed คงอัตราดอกเบี้ยเปิดทางให้เงินทุนกลับมาเข้าสินทรัพย์เสี่ยงอีกครั้ง
ข่าว/หุ้นเด่นมีประเด็น
• (+) เงินบาทแข็งค่าต่อเนื่อง การลดคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยระยะยาวของ Fed ทำให้ดอลลาร์อ่อนค่า ราคาหุ้น ทองคำ และสินทรัพย์เสี่ยงอื่นๆได้รับผลบวก เพราะนักลงทุนคิดว่ายังมีเวลาในการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง ขณะที่เศรษฐกิจไทยผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว ดุลบัญชีเดินสะพัดเป็นบวก เงินสำรองมีสูง ผลประกอบการของบจ.ฟื้นตั้งแต่ 4Q15 โฟลว์จึงไหลเข้าตลาดหุ้นไทยต่อเนื่อง ขณะที่การประชุม OPEC กับ Non-OPEC สัปดาห์หน้า เราคาดว่าจะไม่บรรลุข้อตกลงใดๆ หุ้นที่เราชอบในกลุ่มนี้คือ PTTGC (ราคาพื้นฐานปีหน้า 70บาท) และ IRPC (ราคาพื้นฐานปีหน้า 5.8 บาท )
• (0) สินเชื่อธนาคารทรงตัว M-M ในเดือน ส.ค. และ -0.42% YTD สินเชื่อที่เพิ่มเดือนนี้เป็นสินเชื่อรายย่อยโดยเฉพาะสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย และ SME ส่วน Corporate ทรงตัวขณะที่สินเชื่อภาครัฐหดตัวแรง BAY มีสินเชื่อเติบโตสูงสุด +1.3% M-M, +4.72% YTDจากสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์และเพื่อที่อยู่อาศัย ขณะที่ KTB หดตัวแรงสุด -1.39% M-M, -6.77% YTD จากการคืนสินเชื่อของภาครัฐ เราเชื่อว่ากลุ่มธนาคารผ่านช่วงเลวร้ายไปแล้วใน 1Q16 แต่การเติบโตจะค่อยเป็นค่อยไปตามความสามารถของแต่ละธนาคาร ประเด็นที่ต้องจับตายังเป็น NPL ซึ่งเราเห็นว่าการก่อตัวใหม่เริ่มชะลอ Top pick ยังเป็น SCB (ราคาพื้นฐานปีหน้า 190 บาท) และ KKP (ราคาพื้นฐานปีนี้ 61 บาท )
• (+) กลุ่มโรงพยาบาล 3Q เป็น Peak season ของธุรกิจโรงพยาบาลเพราะเป็นช่วงฝนมักมีโรคที่มากับฝนและยุงทำให้มีผู้ป่วยสูงกว่าไตรมาสอื่นๆ ขณะที่ดัชนีกลุ่ม Health+4.7% YTD laggard กว่า SET ที่ +16.9% YTD ปัจจุบันราคาหุ้นกลุ่มนี้มี upside เฉลี่ย17% Top pick ในกลุ่มคือ BCH (ราคาพื้นฐานปีหน้า 14 บาท) กำไรกำลังเร่งตัวขึ้นหลังร.พ. WMC น่าจะเริ่มทำกำไรได้สิ้นปีนี้ (เราคาด EBITDA เป็นบวกใน 3Q16 แต่ยังขาดทุนสุทธิ) และ EKH (ราคาพื้นฐานปีหน้า 7 บาท) ศูนย์แม่และเด็กเป็นหนึ่งในศูนย์ที่เป็นรายได้หลักและได้ประโยชน์มากจากฤดูกาลใน 3Q ขณะที่ utilization rate ของเตียงผู้ป่วยในเพิ่มเป็น 75-80% ในช่วง 2 เดือนแรกของ 3Q16 เทียบกับ 50-60% ใน1H16
• (+) CPALL แม้ 3Q จะเป็น low season ของธุรกิจค้าปลีก ผลประกอบการของกลุ่มจึงมักแผ่วลง แต่เราคาดว่า CPALL จะยังมี Same store sales growth เป็นบวก และสูงกว่าค้าปลีกรายอื่นในกลุ่ม ซึ่งจะเป็นการบวกติดต่อกันเป็นไตรมาสที่ 7 ยาวนานที่สุดในกลุ่มเพราะ Stamp promotion ที่เริ่ม 26 ก.ค. ถึง 25 พ.ย. และได้รับการตอบรับที่ดี เข้ามาช่วย แม้ราคาปัจจุบันจะคิดเป็น 2017PE 30 เท่าและ PEG 2 เท่า สูงกว่ากลุ่ม แต่เสถียรภาพของกำไรและ ROE ที่สูงกว่ากลุ่ม จึงแนะนำซื้อ ราคาเป้าหมายปีหน้า 68 บาท
• (0) กกพ.สรุปวันแรกมีผู้ยื่นขอตั้งโรงไฟฟ้า 26 ราย ได้แก่ GENCO, SUPER, CWT,BWG, PSTC, SCC และ WHA จับมือกับ GLOW และบริษัทนอกตลาดฯอีกจำนวนหนึ่ง แต่ละรายยื่นขอมากกว่า 1 โครงการ รวมทั้งหมดประมาณ 300MW สูงกว่าปริมาณที่กกพ.จะรับซื้อ (50MW) ถึง 6 เท่า ทั้งนี้ กกพ.จะประกาศรายชื่อผู้ได้รับคัดเลือก 28 ต.ค. นี้ และCOD ภายในสิ้นปี 2019
ปัจจัยที่ต้องติดตาม
22-28 ก.ย. - ไทย: กกพ.ให้ยื่นขายไฟโรงไฟฟ้าขยะอุตสาหกรรมไม่เกิน 50 MW
23 ก.ย. - ยูโรโซน: Markit Eurozone Composite PMI (ก.ย.)
- ไทย: ดุลการค้า (ส.ค.)
26 ก.ย. - สหรัฐ: ยอดขายบ้านใหม่ (ส.ค.)
27 ก.ย. - ไทย: ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม, อัตราการใช้กำลังการผลิต (ส.ค.)
28 ก.ย. - สหรัฐ: คำสั่งซื้อสินค้าคงทน (ส.ค.)
26-28 ก.ย. - ประชุม OPEC กับ Non-OPEC
29 ก.ย. - สหรัฐ: 2Q16 GDP (ตัวเลขสุดท้าย)
- ยูโรโซน: ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคและภาคธุรกิจ
(ก.ย.)
30 ก.ย. - ไทย: ธปท.รายงานภาวะเศรษฐกิจเดือน ส.ค.
1 ต.ค. - ไทย: ดัชนีความเชื่อมั่นภาคธุรกิจ (ก.ย.)
- จีน: Manufacturing & Non-manufacturing PMI (ก.ย.)
(+) ตลาดหุ้นสหรัฐฯเมื่อคืนที่ผ่านมายังปิดบวกได้ต่อเนื่องติดต่อกันเป็นวันที่ 3 หลังตัวเลขผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ลดลงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 2 เดือน
(+) ด้านตลาดหุ้นยุโรปเมื่อคืนที่ผ่านมาปิดบวกได้ค่อนข้างแรงรับผลการประชุม FED ที่ยังคงอัตราดอกเบี้ย
(0) ขณะที่ตลาดหุ้นเอเชียเช้านี้เปิดผสมหลังจากบวกขึ้นค่อนข้างดีวานนี้ โดยตลาดหุ้นญี่ปุ่นถูกกดดันจากค่าเงินเยนที่แข็งหลัง FED คงดอกเบี้ย
(+) ค่าเงินบาทเริ่มแกว่งทรงตัวหลังจากที่แข็งค่ามาต่อเนื่องในช่วงก่อนหน้า แต่ยังมีโอกาสไหลลงไปแตะระดับ 34.50 บาท/ดอลลาร์
(+) ราคาน้ำมันดิบ NYMEX ส่งมอบเดือน พ.ย. พุ่งขึ้น 0.98 ดอลลาร์/บาร์เรล มาอยู่ที่ 46.32 ดอลลาร์/บาร์เรล บวกติดต่อกันเป็นวันที่ 4จากสต๊อกน้ำมันดิบที่ร่วงลงผิดคาด และมีแรงเก็งกำไรสำหรับการประชุมกลุ่มผู้ผลิตน้ำมันในสัปดาห์หน้า
ราคาทองคำ COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค. พุ่งขึ้น 13.30 ดอลลาร์/ออนซ์ มาอยู่ที่ 1,344.70 ดอลลาร์/ออนซ์ รับมติของ FED ที่ยังคงอัตราดอกเบี้ยอยู่ที่ 0.25-0.50% ในการประชุมช่วงกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา
Contact person : Somchai Anektaweepon Register : 002265
Tel: 02-646-9967, 02-646-9852 www.fnsyrus.com
FB: Finansia Syrus Research, IG: fss_research