- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Tuesday, 20 September 2016 18:16
- Hits: 2695
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
'เลือกซื้อค่าบวก/ถือเมื่อ SET ยืนเหนือ 1460'
หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : ไม่มี
ปัจจัย&กลยุทธ์ทางปัจจัยพื้นฐาน : เมื่อวานนี้นักลงทุนต่างชาติพลิกกลับเป็นขายสุทธิ 3.5 พันล้านบาท พอร์ตบล.ขายสุทธิ 2.1 พันล้านบาท สถาบันในประเทศขายสุทธิเล็กน้อย 560 กว่าล้านบาท รายย่อยเป็นกลุ่มเดียวที่ซื้อสุทธิ 6.1 พันล้านบาทและหนุนให้ดัชนี +13.66 จุด ปิดที่ 1492.73 จุด
ในระยะสั้นมาก ตลาดยังคงติดตามผลประชุม FED และ BOJ โดยนักลงทุนส่วนใหญ่คาดว่า FED จะยังไม่ปรับขึ้นดอกเบี้ยในการประชุม 20-21 ก.ย.นี้ แต่อาจส่งสัญญาณระยะเวลาปรับขึ้นดอกเบี้ยที่ชัดเจนขึ้น (ดัชนีค่าเงินดอลลาร์ที่อ่อนลงสะท้อนการคาดการณ์นี้) แต่มีความหวังว่า BOJ จะมีมาตรการกระตุ้นเพิ่มเติมในการประชุม 21 ก.ย.นี้ แม้ว่าความเห็นของเจ้าหน้าที่ระดับสูงของ BOJ จะแตกต่างกันบ้างก็ตาม
สำหรับในประเทศ ผลประชุมรมว.กระทรวงเศรษฐกิจ คาดว่าเศรษฐกิจไทย 3Q59 จะเติบโตมากกว่า 3% ส่วน 4Q59 จะขยายตัวได้ดีจากเงินลงทุนภาครัฐที่เข้ามาช่วยหนุน และจะออกมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร & ผู้มีรายได้น้อย รวมทั้งรัฐบาลกับ BOI จะเร่งกระตุ้นให้มีการลงทุนจากต่างประเทศเข้ามาไทยมากขึ้น
กลยุทธ์ : ยังคงแนะนำให้เลือกซื้อหุ้นที่ธุรกิจและกำไรยังเติบโตได้ดี ทั้งนี้เน้นเพื่อการเล่นเด้งตามรอบไว้ก่อน และควรระวังแรงขาย Sell on Fact ถ้าผลการประชุม FED & BOJ ออกมาตามคาดหรือแย่กว่าคาด สำหรับหุ้นพื้นฐานแนะนำวันนี้เป็น AAV
การวิเคราะห์ทางเทคนิค : สัญญาณระยะสั้นเป็นบวก แต่ยังมีโครงสร้างขาลงระยะกลางกดดัน ให้แนวต้านระยะสั้นไว้ที่ 1500, 1510 จุด การอ่อนตัวจนหลุด 1460 จุดแนะนำให้ชะลอการลงทุน/ลดพอร์ตตาม เพราะมีโอกาสอ่อนตัวลงแรงได้
สำหรับ การ SCAN หุ้นที่มีสัญญาณเทคนิคดีมีโอกาสทำ New High พบว่าที่เข้ามาใหม่ คือ CPN, CKP, CPALL, TOP, CWT, AAV ส่วนหุ้นที่ยังอยู่ใน List คือ BA หุ้นที่หลุด List -ไม่มี- ส่วนหุ้นที่แนะนำไปแล้วและให้หาจังหวะ Take Profit คือ TCAP, YUASA, GPSC, ANAN
นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค - [email protected]
Need to know TODAY
ปัจจัยต่างประเทศ
- จีน : BIS ระบุหนี้สินต่อจีดีพีสูงในระดับอันตราย
ธนาคารเพื่อการชำระหนี้ระหว่างประเทศ (BIS) เปิดเผยว่า ภาคธนาคารจีนกำลังเผชิญกับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง หลังผลการทดสอบพบว่า ภาคธนาคารจีนมีอัตราส่วนสินเชื่อต่อขนาดเศรษฐกิจของประเทศ (Credit-to-GDP) สูงที่ 30.1 ในไตรมาส 1/59 ซึ่งสูงมากเมื่อเทียบกับขีดอันตรายที่ทาง BIS กำหนดไว้ที่ระดับ 10 และตัวเลขดังกล่าวของจีนได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นจาก 25.4 ที่ทาง BIS เคยประเมินไว้เมื่อปี 2558
+ สหรัฐ : ความเชื่อมั่นผู้สร้างบ้านก.ย.ดีกว่าคาด
สมาคมผู้สร้างบ้านแห่งชาติ (NAHB) สหรัฐรายงานดัชนีความเชื่อมั่นผู้สร้างบ้านที่ระดับ 65 ในเดือนก.ย. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 11 เดือน และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 60
ตลาดหุ้นสหรัฐ : ปิดทรงตัว
ดัชนี DJIA ปิดที่ 18,120.17 จุด ลดลง 3.63 จุด หรือ -0.02% ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 5,235.03 จุด ลดลง 9.54 จุด หรือ -0.18% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,139.12 จุด ลดลง 0.04 จุด หรือ 0.00% นักลงทุนซื้อขายรอผลประชุมเฟด 20-21 ก.ย.นี้ สำหรับกลุ่มที่ร่วง คือ กลุ่มสุขภาพ เนื่องจากบริษัทซาโนฟีได้ยื่นฟ้องเมอร์ค แอนด์ โค ในข้อหาละเมิดสิทธิบัตรยา Lantus และหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี นำโดยหุ้นแอปเปิล และหุ้นอินเทล กลุ่มที่ช่วยพยุง คือ หุ้นกลุ่มธุรกิจสร้างบ้าน และกลุ่มธนาคาร เพราะเป็นกลุ่มที่ได้ประโยชน์ถ้าเฟดปรับขึ้นดอกเบี้ย (Spread จะดีขึ้น)
ราคาน้ำมันดิบ : ขยับขึ้นเล็กน้อย
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนต.ค.เพิ่มขึ้น 27 เซนต์ หรือ 0.6% ปิดที่ 43.30 ดอลลาร์/บาร์เรล ด้าน BRENT ส่งมอบเดือนพ.ย.เพิ่มขึ้น 18 เซนต์ หรือ 0.4% ปิดที่ 45.95 ดอลลาร์/บาร์เรล ทั้งนี้ประธานาธิบดีเวเนซุเอลา กล่าวว่าโอเปกและประเทศนอกกลุ่มโอเปกกำลังใกล้ที่จะบรรลุข้อตกลงเพื่อรักษาเสถียรภาพในตลาดน้ำมัน โดยคาดว่าจะมีการประกาศข้อตกลงภายในเดือนนี้ สำหรับกลุ่มโอเปกจะมีการประชุมอย่างไม่เป็นทางการในวันที่ 26-28 ก.ย.นี้ อย่างไรก็ตาม ตลาดไม่ได้คาดหวังกับข้อสรุปในการประชุมมากนัก
+ ราคาทองคำ : รีบาวด์
สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค.เพิ่มขึ้น 7.6 ดอลลาร์ หรือ 0.58% ปิดที่ระดับ 1,317.8 ดอลลาร์/ออนซ์ ดัชนีค่าเงินดอลาร์ที่อ่อนลงเพราะตลาดประเมินว่าเฟดจะยังไม่ปรับขึ้นดอกเบี้ยในรอบก.ย.นี้ เป็นปัจจัยหนุนราคาทองคำ กองทุน SPDR Gold Trust ซึ่งเป็นกองทุน ETF ทองที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ได้เพิ่มการถือครองทองมากกว่า 1% สู่ระดับ 942.61 ตันเมื่อวันศุกร์ที่แล้วก็เป็นปัจจัยบวกต่อตลาดทองคำ
ปัจจัยในประเทศ & หุ้นเด่น
/+กลุ่มทีวีดิจิตอล : กสทช.ประเมินและให้แนวทางแก้ปัญหา
กสทช.ระบุถึงแนวทางการแก้ปัญหาทีวีดิจิทัลที่กสทช.สามารถดำเนินการได้ ในฐานะองค์กรกำกับดูแลที่มีหน้าที่และอำนาจโดยตรง คือ
1.การพิจารณา"ขยาย"ระยะเวลาการจ่ายเงินค่าใบอนุญาตทีวีดิจิทัลตามข้อเสนอของผู้ประกอบการ จากเดิมกำหนดจ่ายเงินค่าประมูลใบอนุญาต 6 ปีจากอายุใบอนุญาต 15 ปี ด้วยการปรับวิธีการจ่ายเงินใหม่ โดยนำเงินงวดที่เหลือทั้งหมดมาหารจำนวนปีอายุใบอนุญาตที่เหลืออยู่ขณะนี้ คือ 12 ปี แล้วเฉลี่ยจ่ายเป็นรายปีตลอดอายุใบอนุญาตที่เหลือ วิธีการนี้รัฐจะไม่เสียประโยชน์และได้เงินค่าประมูลครบตามจำนวน ขณะที่ผู้ประกอบการมีภาระต้นทุนลดลง ในช่วงเริ่มต้นธุรกิจที่มีต้นทุนสูง
2.กำหนดแนวทางการ"ร่วมทุน"ของผู้ประกอบการทีวีดิจิทัล เพื่อดึงกลุ่มทุนใหม่เข้ามาเสริมศักยภาพด้านเงินทุนและคอนเทนท์ ทั้งนี้ควรเปิดทางให้กลุ่มทุนที่เข้าร่วมประมูลทีวีดิจิทัลแต่แพ้การประมูลเป็นกลุ่มแรก จากนั้นค่อยเป็นกลุ่มทุนอื่นๆ ที่สนใจ แต่ควรจำกัดการร่วมทุนกันเองของกลุ่มที่ถือใบอนุญาตปัจจุบัน เพราะส่งผลต่อการแข่งขัน
3.อาจพิจารณากำหนดแนวทางการ "คืนใบอนุญาต" หากผู้ประกอบการไม่ต้องการดำเนินกิจการหรือไม่มีความสามารถประกอบกิจการต่อไป ทั้งนี้มองว่าการคืนใบอนุญาต ควรกำหนดแนวทางเป็นลักษณะ "จ่ายก่อนคืน" คือ ผู้รับใบอนุญาตที่ใช้คลื่นความถี่ทีวีดิจิทัลประกอบกิจการไปแล้ว ต้องจ่ายเงินส่วนที่ใช้งานไป และไม่คืนเงินส่วนที่จ่ายค่าใบอนุญาตมาแล้วทุกงวด
สำหรับภาพรวมอุตสาหกรรมโฆษณาซึ่งเป็นแหล่งรายได้หลักของทีวีดิจิทัล จากการรายงานของมูลของบริษัทนีลเส็น ประเทศไทย จำกัด พบว่าใน 3 ปีที่ทีวีดิจิตอลดำเนินการนั้น ปี 2557 อุตสาหกรรมโฆษณามีมูลค่า 1.02 แสนล้านบาท -9.51%, ปี 2558 มูลค่า 1.22 แสนล้านบาท +3.34% และช่วง 8 เดือนแรกปี 59 มีมูลค่า 76,882 ล้านบาท -6.04% (ทีวีอนาล็อก มีมูลค่า 34,830 ล้านบาท -11.04% ทีวีดิจิทัล มูลค่า 14,819 ล้านบาท +4.76%)
+ AAV (ราคาปิด 7.35 บาท, ราคาพื้นฐาน 8.30 บาท) - แนวโน้มกำไรแข็งแกร่ง
แนวโน้มผลประกอบการดีต่อเนื่อง และบริษัทได้ส่วนแบ่งการตลาดเพิ่มขึ้น โดยทางไทยแอร์เอเซียมีเป้าหมายยอดเติบโตผู้โดยสารปีนี้ 14.5% เป็น 17 ล้านคน โดยใน 1H59 สามารถเติบโตได้ถึง 17.8%YoY ทำให้คาดว่าเป้าหมายทั้งปีที่ตั้งไว้จะสามารถบรรลุได้ไม่ยาก ความต้องการใช้บริการการบินต้นทุนต่ำยังคงแข็งแกร่ง ทั้งจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ ซึ่งในช่วง 7M59 จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เข้ามาไทยเติบโตแกร่ง 11.7%YoY และผู้โดยสารในประเทศ (ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นการใช้ทดแทนการเดินทางด้วยรถไฟ รถทัวร์ และรถส่วนตัว เพราะราคาแตกต่างกันไม่มาก และใช้เวลาเดินทางน้อยกว่ามาก) สำหรับต้นทุนดำเนินงานในปีนี้ก็ต่ำลง โดยเฉพาะต้นทุนน้ำมันที่ลดลงไปมาก และแม้ว่า Yield จะอ่อนลงจากการแข่งขันที่สูง แต่มาร์จิ้นยังขยายตัวได้จากต้นทุนที่ต่ำลงมากกว่า เราประมาณการว่ากำไรสุทธิปี 59-60 ของ AAV จะเติบโต 86% และ 10% ตามลำดับ แนะนำซื้อ ให้ราคาพื้นฐาน 8.30 บาท
JAS (ราคาปิด 7.20 บาท, ราคาเทนเดอร์ฯ 7.25 บาท) : ระยะเวลาเทนเดอร์ฯ 29 ก.ย.-3 พ.ย.59
ที่ประชุมบอร์ด JAS รับทราบการทำคำเสนอซื้อทั้งหมดของหุ้น JAS ของนายพิชญ์ โพธารามิก ที่ราคา 7.25 บาท/หุ้น และ JAS-W3 3.68 ที่ราคา 3.68 บาท/หน่วย โดยมี SCB เป็นธนาคารผู้จัดเตรียมคำเสนอซื้อหลักทรัพย์และเป็นผู้สนับสนุนทางการเงินโดยมีวงเงินรับซื้อทั้งหมดไม่เกิน 4.25 หมื่นล้านบาท โดยแจ้งว่าไม่ได้มีแผนที่จะนำ JAS ออกจากการเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดฯ แต่ทำเทนเดอร์ฯเพราะต้องการขยายสัดส่วนการถือหุ้นและเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารงาน ระยะเวลารับซื้อหุ้น 29 ก.ย.-3 พ.ย.59
นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค - [email protected]