- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Monday, 19 September 2016 17:12
- Hits: 1107
บล.เอเซียพลัส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
กลยุทธ์การลงทุน
ดัชนียังคงฟื้นตัวต่อเนื่องทดสอบ 1,480-1,490 จุด ด้วยแรงหนุนต่างชาติ (ทั้งๆ ที่ขายหุ้น TIP) กลยุทธ์ยังเน้นหุ้นกำไรเด่นใน 3Q59 (GFPT, TFG, BDMS, BCH, RJH, LPH, HANA, BA) หรือหุ้นปันผลสูงถือ 3-6 เดือน (ASK, RATCH, TTW, EASTW, ADVANC, MCS) Top picks BA([email protected]) และ KSL([email protected]) ราคาน้ำตาลทำสถิติสูงต่อเนื่อง หนุนกำไรในปี 2560 เติบโตเกินกว่า 30%
เงินเฟ้อสหรัฐดีกว่าคาด หนุนตลาดเชื่อ Fed ขึ้นดอกเบี้ย ธ.ค. นี้
ปัจจัยต่างประเทศสัปดาห์นี้ให้น้ำหนักการประชุมธนาคารกลางญี่ปุ่น(BOJ) และธนาคารกลางสหรัฐ(Fed) 20-21 ก.ย. นี้ ตลาดคาด BOJ อาจลดดอกเบี้ยเงินฝาก (ธ.พ. ฝาก BOJ) จากปัจจุบัน -0.1% แม้ผลนักเศรษฐศาสตร์ของ Bloomberg 40 คนพบว่ามีเพียง 35% สนับสนุนลดดอกเบี้ย แต่ส่วนใหญ่ 65% ยังคงดอกเบี้ย หลังเงินเฟ้อติดลบนาน 5 เดือน (ล่าสุด -0.5%yoy)
ขณะที่ Fed ในรอบนี้ น่าจะคงดอกเบี้ยฯที่ 0.5% ตามเดิม หลังจากดัชนีชี้นำเศรษฐกิจของสหรัฐยังมีลักษณะขัดแย้งกัน กล่าวคือ ล่าสุด ยอดค้าปลีก(Retail sales) เดือน ส.ค. พลิกกลับมาติดลบครั้งแรกในรอบ 5 เดือน หลังจากที่ดัชนีภาคบริการ(ISM Non-Manufacturing) ในเดือนเดียวกัน(ลดลงติดต่อกัน 2 เดือน (ทำระดับต่ำสุดตั้งแต่ ก.พ. 2553) และภาคการผลิตชะลอต่อเนื่อง สะท้อนจากผลผลิตภาคอุตสาหกรรม เดือน ส.ค. พลิกกลับมาติดลบครั้งแรกในรอบ 3 เดือน
แต่อย่างไรก็ตามเงินเฟ้อ เดือน ส.ค. เพิ่มขึ้นมากกว่าที่ตลาดคาดอยู่ที่ระดับ 1.1%(สูงสุดตั้งแต่ เม.ย.2559 เพิ่มจาก 0.8% ในเดือน ก.ค.) จากการเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายการแพทย์ และค่าเช่าที่อยู่อาศัย ทำให้ตลาดคาดหวังว่า Fed จะขึ้นดอกเบี้ยในรอบ ธ.ค. เพิ่มมากขึ้น สะท้อนจากผลการสำรวจ Fed fund future ล่าสุดมีโอกาสจะขึ้นดอกเบี้ย 55% เพิ่มจาก 49% อย่างไรก็ตาม ASPS ยังเชื่อว่าดัชนีชี้นำที่ขัดแย้ง และปัจจัยเสี่ยงรอบด้าน น่ากดดันให้ Fed ชะลอการขึ้นดอกเบี้ยฯ ในช่วง 1H60
ราคาน้ำตาลสูงต่อ..ผลผลิตขาดแคลนต่อเนื่องในปี 2559/60 ดีต่อ KSL, KTIS, KBS
แม้เงินเฟ้อเพิ่มขึ้นกว่าคาดทำให้ Dollar Index ฟื้นตัวแรง (ล่าสุด 96.028 จุด) แต่อย่างไรก็ตามกลับมิได้กดดันราคาน้ำมันดิบโลกลดลง ทั้งนี้เชื่อว่าน่าจะได้รับ sentiment เชิงบวกในการร่วมมือกันเพื่อรักษากำลังการผลิต ระหว่างผู้ผลิตน้ำมันกลุ่ม OPEC และ Non-OPEC ก่อนการประชุม 26-28 ก.ย. กล่าวคือ มีผู้ผลิตหลายราย แสดงความเห็นสนับสนุนการคงกำลังผลิต ได้แก่ อิหร่าน (หลังปฎิเสธการข้อตกลงในการประชุมเมื่อ เม.ย. 2556) ตามมาด้วย ซาอุดิอาระเบีย, เวเนซุเอล่า และรัสเซีย ทั้งนี้แม้การประชุมรอบนี้ จะเป็นการปรึกษาเพื่อหาข้อสรุปเท่านั้น แต่การตัดสินใจอย่างเป็นทางการ อาจจะมีการจัดประชุมอีกครั้งเป็นกรณีพิเศษ ซึ่งถือว่าดีต่อหุ้นน้ำมันทั้ง PTT(FV@B400) และ PTTEP(FV@B89)
ขณะเดียวกันพบว่า ราคาน้ำตาลดิบในตลาดโลกที่ยังคงทำสถิติสูงต่อเนื่อง ล่าสุดอยู่ที่ 22.47 เซนต์ต่อปอนด์ ทำให้ราคาเฉลี่ยจากต้นปีจนถึงปัจจุบัน (ytd)อยู่ที่ 19 เซนต์ต่อปอนด์ แต่เนื่องจากปีผลผลิต 2555/59 (สิ้นสุด ต.ค.) ทางบริษัทอ้อยและน้ำตาลทราย (อนท) ซึ่งเป็นบริษัทกลางในการกำหนดราคาส่งออก ที่ทำราคาส่งออกเฉลี่ย 15 เซนต์ต่อปอนด์ ดังนั้นราคาอ้อยที่ขยับสูงขึ้นในขณะนี้ จึงส่งผลบวกต่อผลดำเนินงานปี 2560 (พ.ย. 2559-ต.ค. 2560) ซึ่งขณะนี้ทาง อนท ได้กำหนดราคาขายที่ 20 เซนต์ต่อปอนด์ (50% ของยอดส่งออก) นับว่าสูงกว่าที่ ASPS กำหนดสมมติฐานไว้เพียง 19 เซนต์ต่อปอนด์ หากราคาน้ำตาลขยับขึ้นต่อเนื่อง อาจจะต้องปรับเพิ่มสมมติฐาน KSL([email protected]) และ KTIS([email protected]) ทั้งนี้เนื่องจากผลผลิตน้ำตาลโลกมีแนวโน้มจะน้อยกว่าความต้องการเป็นปีที่ 2 ในปีผลผลิตหน้าคือปี 2560 (ปีผลผลิต 2559 ขาดแคลนเป็นปีแรกในรอบ 5 ปี) จากปัญหาภัยแล้งที่บราซิล ซึ่งเป็นผู้ผลิตและส่งออกน้ำตาลรายใหญ่ของโลก จึงเชื่อว่าเป็น Sentiment เชิงบวกต่อ KSL([email protected]) เลือกเป็น Top pick ในกลุ่มน้ำตาล
Fund Flow ยังคงช่วยหนุน SET แต่ขายหุ้น TIP
วันศุกร์ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นเกาหลีใต้และไต้หวันยังคงหยุดทำการ เนื่องจากเป็นวันหยุด แต่โดยภาพรวมแล้วต่างชาติสลับมาซื้อสุทธิหุ้นกลุ่ม TIP ราว 120 ล้านเหรียญ (หลังจากขายสุทธิ 2 วัน) แต่ยังคงใน TIP คือ ขายสุทธิตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ราว 24 ล้านเหรียญ (ขายสุทธิต่อเนื่องนานถึง 17 วัน) และอินโดนีเซียราว 11 ล้านเหรียญ (ขายสุทธิเป็นวันที่ 7) ยกเว้นตลาดหุ้นไทยที่ซื้อสุทธิสูงถึง 165 ล้านเหรียญ หรือ 5.8 พันล้านบาท ขณะเดียวกันยังเปิดสถานะ long สัญญา SET50 Futures สูงถึง 2.9 หมื่นสัญญา (สูงสุดในรอบเกือบ 4 ปีที่ผ่านมา) ซึ่งเป็นปัจจัยหลักหนุนให้ SET Index ปรับตัวเพิ่มขึ้นได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งสวนทางต่างกับนักลงทุนสถาบันฯที่ขายสุทธิราว 4.0 พันล้านบาท
ขณะที่ตลาดตราสารหนี้ไทย นักลงทุนสถาบันในประเทศซื้อสุทธิราว 2.0 หมื่นล้านบาท ต่างกับนักลงทุนต่างชาติที่ยังคงขายสุทธิราว 1.5 พันล้านบาท (ขายสุทธิติดต่อกันเป็นวันที่ 7 วัน โดยมียอดรวม 1.8 หมื่นล้านบาท)
SET ฟื้นตัวต่อเนื่องยังให้หุ้นรายตัวเด่นใน 3Q59 : BCH, TFG, BA, ASK
ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมาตลาดหุ้นไทยฟื้นตัวได้กว่า 3% โดยนักลงทุนต่างชาติยังคงเป็นผู้ซื้อสุทธิหลัก ทำให้ในระยะสั้นดัชนีมีโอกาสขึ้นไปทดสอบ 1,490-1,500 จุด อีกทั้งเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมามีการเปิดสถานะ Long ใน SET50 Index Futures สูงสุดเป็นประวัติการณ์กว่า 2.9 หมื่นสัญญา ทำให้สถานะ Short ที่สะสมมานับตั้งแต่ 5 ส.ค. ลดลงจาก 3.8 หมื่นสัญญา เหลือ Short สุทธิราว 9.3 พันสัญญาเท่านั้น ซึ่งสถานะ Long ที่เพิ่มขึ้นส่วนใหญ่มาจากสัญญาเดือนธันวาคม จึงทำให้อาจเป็นสัญญาณที่บอกว่านักลงทุนต่างชาติมีมุมมองที่ดีขึ้นในช่วงปลายปี อย่างไรก็ตาม ในระยะสั้น อาจต้องระวังถึงความผันผวนที่จะเกิดขึ้นก่อนการประชุม Fed ในช่วงกลางสัปดาห์นี้ รวมทั้งแรงขายที่อาจเกิดขึ้นหลังการเก็งกำไรหุ้นที่เข้าคำนวณใน FTSE Rebalance อาจทำให้ดัชนียังไม่สามารถขึ้นผ่าน 1500 จุดไปได้ กลยุทธ์การลงทุนยังเน้นให้คัดเลือกหุ้นลงทุนระยะ 3-6 เดือน ก็เน้นพื้นฐานดี 2 กลุ่ม คือ
I.กลุ่มที่มีกำไรเติบโตโดดเด่นในงวด 2H59 อาทิ กลุ่มโรงพยาบาล ท่องเที่ยวและโรงแรม ประกันฯ ส่งออกอาหาร และชิ้นส่วนฯ เป็นต้น รายละเอียดคือ
กลุ่มโรงพยาบาล : คาดงวด 3Q59 กำไรกลุ่ม ร.พ. จะสูงสุด จากผลของฤดูกาล (โรคต่างๆที่มากับฤดูฝน) และคนไข้ต่างประเทศเพิ่มขึ้น จากตะวันออกกลาง ซึ่งเป็นช่วงวันหยุดฤดูร้อน และ ปีนี้วันถือศีลอด(รอมฎอน) ตกงวด 3Q59 เพียง 7 วัน เทียบกับปีก่อนที่ 21 วัน โดย BDMS (FV@B27) เป็นโรงพยาบาลขนาดใหญ่ที่มีการกระจายตัวของคนไข้ที่ดี มีการเติบโตต่อเนื่อง และยังได้รับประโยชน์ทางภาษี หลัง BOI มีนโยบายส่งเสริมอุตสาหกรรมยาและเครื่องมือแพทย์เป็นครั้งแรกในประเทศ ส่วน BH(FV@B220) แม้กำหนดเป้ารายได้ทรงตัว แต่แผนการลดต้นทุนเพื่อควบคุมค่าใช้จ่าย รวมทั้งการเร่งเปิดคลินิคทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพื่อเป็นศูนย์ส่งต่อผู้ป่วย น่าจะช่วยหนุนกำไรปีนี้จะยังเติบโต 7% และเพิ่มขึ้นอีก 10.7% ในปีหน้า ส่วนหุ้นขนาดกลาง BCH (FV@B14) จะพลิกกลับมาเติบโตก้าวกระโดดทั้งจากช่วงฤดูกาลและการเพิ่มศักยภาพ รพ.เก่า และการเตรียมขยายสาขาใหม่ และจากการประชุมนักวิเคราะห์วานนี้ ทำให้มั่นใจว่ากำไรสุทธิปีนี้จะเติบโตถึง 34%yoy จากรายได้ผู้ป่วยประกันสังคมที่เพิ่มขึ้น ขณะที่รายได้จาก WMC ดีขึ้นเป็นลำดับจากรายได้ผู้ป่วยต่างชาติที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง คาดว่าจะเริ่มเห็นกำไรในปีหน้า ส่วน RJH (FV@B24) คาดปีนี้จะเติบโตแบบก้าวกระโดดกว่าเท่าตัว จากทำเลที่ดี และการบกระดับการให้บริการศูนย์โรคหัวใจและไตเทียม บวกกับราคาหุ้นยังมี upside สูง 17.6% ส่วน LPH(FV@B12) คาดปีนี้เติบโตถึง 70% และโตแรงต่อเนื่องในปี 2560 จากเปิดเพิ่ม 9 ศูนย์ Excellent Center ขณะที่ราคาหุ้นยังมี Upside จากราคาปัจจุบัน 42% โดยยังไม่รวมมูลค่าเพิ่มจากดีล รพ.เดชาที่คาดจะทราบผลสิ้นเดือนนี้
กลุ่มประกันฯ : เชื่อว่า bond yield curve น่าจะผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว รวมทั้งการที่ คปภ. ได้พิจารณาปรับอัตราคิดลด (discount rate) ที่เหมาะสมใหม่รองรับกรณีอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ระดับต่ำ ส่งผลบวกต่อ BLA ([email protected]) มีการตั้งเงินสำรองฯ กรมธรรม์ลดลง หนุนกำไรปกติยังอยู่ในทิศทางที่ดี และน่าจะเข้าสู่ช่วง Peak ในช่วง 4Q59 เช่นเดียวกับ BKI (FV@B409) คาด 3Q59 ขึ้นทำ peak ของปี เนื่องจากเป็นช่วงต่อสัญญาประกันภัยโดยเฉพาะในกลุ่มงานภาครัฐและรัฐวิสาหกิจ ซึ่งจะช่วยหักล้างผลกระทบจากรายได้จากธุรกิจลงทุนที่จะเห็นการลดลงของรายได้จากเงินปันผลเนื่องจากเป็นช่วงนอกฤดูกาล ส่วน THREL ([email protected]) การเติบโตของเบี้ยฯ กลุ่ม non-conventional ที่แข็งแกร่งมากในช่วง 1H59 ทำให้ผลการดำเนินงาน 1H59 คิดเป็นสัดส่วนถึง 53% ของประมาณการกำไรสุทธิปี 2559 ที่ประเมินไว้เดิม บวกกับการควบคุม combined ratio ได้ดีกว่าคาด ทำให้ฝ่ายวิจัยเพิ่มประมาณการกำไรสุทธิปี 2559-60 ขึ้น 9.2% และ 5.7% จากเดิม โดยคาดแนวโน้มผลการดำเนินงานงวด 3Q59 ยังทรงตัวใกล้เคียงกับงวด 2Q59 ก่อนที่จะกลับขึ้นไปทำระดับสูงสุดของปีในงวด 4Q59 เมื่อเข้าสู่ช่วงฤดูกาล ทำให้ปีนี้คาดกำไรสุทธิเติบโต 16%yoy และปีหน้าโตต่อเนื่อง 12.6%yoy
กลุ่มสายการบิน : ช่วง 3Q59 เป็นช่วง high season เกาะสมุย ส่งผลบวกโดยตรงต่อ BA ([email protected]) โดยคาดว่า Cabin Factor ช่วง 2H59 จะสูงกว่า 1H59 ที่ 69.6% หนุนยอดทั้งปีจะสูงกว่าสมมติฐานฝ่ายวิจัยที่ 68.3% ขณะที่ต้นทุนน้ำมันช่วงที่เหลือของปี คาดว่าจะลดลงจาก 2H58 ที่ 90 เหรียญฯ เนื่องจากได้ทำสัญญาล่วงหน้าในช่วง 2H59 ไป 50% ของปริมาณใช้ที่ราคาราว 60 เหรียญฯฯ และส่วนที่เหลืออีก 50% ยังคาดมีต้นทุนราคาใกล้เคียงราคาปัจจุบันที่ 60-65 เหรียญฯ
กลุ่มท่องเที่ยว-โรงแรม น่าจะดีเป็นรายหุ้นแม้ยังไม่เข้าสู่ high season ในช่วง 4Q59 คือ ERW ([email protected]) นั้นคาดงวด 3Q59 จะมีกำไรสูงกว่า 2Q59 จากอัตราการเข้าพักเพิ่มขึ้นจาก 2Q59 อีก 8% สู่ 79% และน่าจะมีกำไรเพิ่มต่อเนื่องจนถึง 4Q59 และยาวไปจนถึง 1Q60 ซึ่งเป็นช่วง Peak Season ท่องเที่ยว ส่วน CENTEL (FV@B46) ธุรกิจโรงแรม 2H59 คาดเติบโตตามทิศทางการท่องเที่ยวไทย โดยดีสุด 4Q59 จากช่วง High Season ส่วนธุรกิจอาหารยังเติบโตจากยอดขายเดิม และขยายสาขาใหม่จากการจัดโปรโมชั่นกระตุ้นยอดขาย และช่วงเทศกาลวันหยุดต่าง ๆ ในช่วงปลายปี MINT (FV@B44) ธุรกิจโรงแรมในงวด 3Q59 มีแรงหนุนจาก High Season ในโปรตุเกส ส่วนธุรกิจอาหาร ยังมีสัญญาณเป็นบวกต่อเนื่องจากยอดขายร้านอาหารเดิม (SSS) ที่ยังเติบโตได้ดี รวมทั้งการขยายสาขาร้านอาหารใหม่ ช่วยหนุนให้ธุรกิจอาหารรวมเติบโตไม่ต่ำกว่า 20% yoy
กลุ่มชิ้นส่วนฯ : แม้ทิศทางเงินบาทเทียบกับดอลล่าร์สหรัฐฯ ที่แข็งขึ้นจนนำไปสู่การปรับสมมติฐานเฉลี่ยทั้งปี 2559-60 เป็น 35 บาท แต่การแข็งค่าที่ค่อยเป็นค่อยไป ผนวกกับเป็นช่วง high season ของการส่งออก ซึ่งจะช่วยหนุนกำไรกลุ่มฯ เติบโตสูงกว่า 1H59 โดยเฉพาะ KCE (FV@B110) และ SVI ([email protected]) จากแนวโน้มผลการดำเนินงานงวด 2H59 เติบโตโดดเด่นจากกำลังการผลิตใหม่ๆ ที่เข้ามาต่อเนื่อง พร้อมกับแนะนำซื้อ HANA (FV@B39) ที่จะเห็นการ turnaround ของผลการดำเนินงานในงวด 2H59 และสามารถคาดหวัง div yield ได้ถึง 6% p.a. (จ่ายปีละ 2 ครั้ง)
กลุ่มเกษตร-อาหาร : แนวโน้มกำไรจากการดำเนินงานงวด 3Q59 ของกลุ่มเกษตร-อาหาร จะเติบโตจากงวด 2Q59 จากการเข้าฤดูกาลส่งออกอาหารสู่ต่างประเทศ ทำให้ราคาไก่ และ สุกร ยังทรงตัวสูงต่อเนื่องจากงวด 2Q59 อีกทั้งราคาวัตถุดิบอาหารสัตว์ ทั้งข้าวโพดและกากถั่วเหลืองอ่อนตัว เนื่องจากจีนเร่งระบายสต็อกข้าวโพด และผลผลิตข้าวโพดและถั่วเหลืองในสหรัฐฯ ออกสู่ตลาด โดยเลือก TFG ([email protected]) จากปัจจัยบวกราคาไก่และสุกรอยู่ในระดับสูง และซื้อ GFPT (FV’[email protected]) BR ([email protected]) ที่ได้ผลประโยชน์จากราคาวัตถุดิบอาหารสัตว์ลดลง และ CPF ([email protected])
II.หุ้นพื้นฐานแกร่ง และมีเงินปันผลสูง
ชุดแรก คัดเลือกเฉพาะหุ้นที่มีคุณสมบัติ คือ เงินปันผลเกินกว่า 4% ต่อปี, Ex.P/E ไม่เกิน 15 เท่า, มีความผันผวนต่ำ (Beta ไม่เกิน 1) และมี upside สูงเกินกว่า 15% คือ
MCS ([email protected]) คาด 3Q59 ผลประกอบการโดดเด่นจากปริมาณการส่งออกรวมทรงตัวระดับสูง รวมทั้งการแข็งค่าของเงินเยน และมีโอกาสปรับเพิ่มประมาณการ
RATCH (FV@B60) หุ้น Defensive เติบโตต่อเนื่องในระยะยาว คาดหวัง upside จากโครงการต่างประเทศได้
ASK ([email protected]) ได้ปัจจัยบวกจากโครงการก่อสร้างภาครัฐหนุนความต้องการใช้สินเชื่อรถบรรทุก รวมทั้งผลตอบแทนจากเงินปันผลสูงกว่า 7.4% จ่ายปีละครั้ง หากนักลงทุนซื้อหุ้นในช่วงนี้ และถือไปจนถึงขึ้น XD เปรียบเสมือนได้ปันผลกว่า 14% จึงเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ
ชุด 2 มี เงื่อนไข คือ Dividend Yield ตั้งแต่ 3.5% ขึ้นไป P/E ต่ำกว่าตลาดฯ และ upside ตั้งแต่ 10% ขึ้นไป คือ
TTW ([email protected]) หุ้นปันผลสูง ราคาหุ้นไม่ผันผวน ขณะที่ปัญหาภัยแล้งผ่านพ้นไปแล้ว หนุนผลประกอบการดีขึ้น ราคาหุ้นที่ปรับฐานลงมาช่วยเพิ่ม upside ให้น่าสนใจอีกครั้ง
EASTW ([email protected]) หุ้นปันผลสูงเช่นกัน คาดผลประกอบการน่าจะดีขึ้นในช่วง 2H59 หลังผ่านช่วงภัยแล้งไปแล้ว และกำไรจะกลับมาเติบโตอีกครั้งปี 2560
GLOW (FV@B95) จุดเด่นที่กระแสเงินสดในระดับสูง ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลมีความสม่ำเสมอ อีกทั้งยังสามารถคาดหวังปันผลพิเศษที่อาจเกิดขึ้นได้เช่นที่เกิดขึ้นในปีที่แล้ว ขณะที่ผลการดำเนินงานในปี 2559 และ 60 อาจปรับตัวลดลงจากโรงไฟฟ้า IPP ที่รายได้ค่าความพร้อมจ่ายตามสัญญา (AP) อยู่ในช่วงขาลง อีกทั้งยังมีการ shutdown ทั้ง planned และ unplanned เกิดขึ้น อย่างไรก็ตาม GLOW ยังอยู่ระหว่างการศึกษาโครงการลงทุนใหม่ ถือเป็น upside ในอนาคต
HANA (FV@B39) งวด 3Q59 เข้าสู่ช่วงฤดูกาลส่งออก ส่งผลให้ภาพรวมผลการดำเนินงานงวด 2H59 จะกลับมาเติบโตโดดเด่น จากสินค้าในกลุ่มยานยนต์ การแพทย์ และ RFID ขณะที่ราคาหุ้นยัง laggard SET และกลุ่มฯ ค่อนข้างมาก ราคาที่ปรับลงถือเป็นจุดเข้าสะสมที่ดี โดยมี PER เพียง 10.5 เท่า และยังคาดหวังปันผลได้มากกว่า 6%
SCCC (FV@B342) แผนการลงทุนขนาดใหญ่ในต่างประเทศสร้างผลกำไรที่เติบโตในระยะยาว โดยฐานะการเงินแข็งแรงพอสำหรับการลงทุน แต่อาจมีโอกาสเพิ่มทุนบางส่วนเพื่อลด Net Gearing ลง
PTT (FV@B400) ราคาหุ้นมีโอกาสปรับขึ้นตามราคาน้ำมันโลกที่ปรับตัวขึ้นในช่วงสั้น
ADVANC (FV@B189) ยังเป็นตัวเลือกที่แข็งแกร่งสุดของกลุ่มสื่อสาร ศักยภาพการแข่งขัน และรักษาตำแหน่งผู้นำอย่างยั่งยืนด้วยการมีคลื่นในมือกว่า 55 MHz อย่าวงไรก็ตาม ด้วยการแข่งขันที่รุนแรง ทำให้การเติบโตของกำไรในปีนี้ลดลง ก่อนจะกลับมาเติบโตในปีหน้า
รวมทั้งเลือกลงทุนในหุ้น property fund ที่มีความผันผวนต่ำ แต่ให้ผลตอบแทนจากเงินปันผลที่สม่ำเสมอ ได้แก่ CPNRF, TFUND และ POPF เป็นต้น
ภรณี ทองเย็น เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004146
เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004132
พบชัย ภัทราวิชญ์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 052647
ภราดร เตียรณปราโมทย์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 075365
พาสุ ชัยหลีเจริญ ผู้ช่วยนักวิเคราะห์
ฐกฤต ชาติเชิดศักดิ์ ผู้ช่วยนักเศรษฐศาสตร์