- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Friday, 09 September 2016 16:07
- Hits: 1439
บล.เอเซียพลัส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
กลยุทธ์การลงทุน
คาด SET แกว่งตัว 1,445-1,475 จุด เพราะหุ้นพื้นฐานดีๆ ลงมาในจุดที่สะสม โดยเฉพาะหุ้นปันผลเด่น (ASK, RATCH, TTW, EASTW, ADVANC, INTUCH, MCS) และราคาน้ำมันฟื้นตัวต่อเนื่อง จากสต๊อกน้ำมันลดมากกว่าคาด และ Dollar อ่อนค่า วันนี้จึงเลือก PTT(FV@B400) และ ASK([email protected]) เป็น Top picks
ธนาคารกลางโลกยังคงนโยบายการเงินผ่อนคลาย
ปัจจัยต่างประเทศยังไม่มีอะไรใหม่ หลังจากที่ตลาดผ่อนคลายต่อการขึ้นดอกเบี้ยของสหรัฐ หลังการรายงานดัชนีชี้นำเศรษฐกิจภาคการผลิตที่ชะลอตัวกว่าคาด และผลการประชุมธนาคารกลางยุโรป (ECB) วานนี้ เป็นไปตามที่ตลาดคาด โดยยังคงดอกเบี้ยฯ ที่ 0% (คงดอกเบี้ยเงินฝาก ธ.พ.ที่ฝาก ECB -0.4% ) และคงวงเงิน QE ที่ 8 หมื่นล้านยูโรต่อเดือน ( ระยะเวลา มี.ค. 2558 - มี.ค. 2560) แต่ประธาน ECB แสดงท่าทีอาจต้องขยายระยะเวลา QE ออกไป เพราะให้น้ำหนักต่อ Brexit มากขึ้น ประกอบกับ เงินเฟ้อยังต่ำ 0.2% สัปดาห์หน้าติดตามผลประชุมธนาคารกลางสำคัญ 2 แห่ง คือ BOT และ BOE
ขณะดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค(CCI) เดือน ส.ค. ของไทย ปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 เกิดจากปัญหาภัยแล้งที่ลดลง และผลการลงประชามติที่ผ่านมาไปด้วยดี ทำให้ความคาดหวังการลงทุนรัฐเกิดขึ้นต่อเนื่องใน 2H59 แต่ประเด็นนี้น่าจะมีน้ำหนักน้อยกว่าต่างประเทศ
Dollar อ่อนค่า สต๊อกน้ำมันลด หนุนน้ำมัน/PTT ฟื้นตัว
การรายงานสต็อกน้ำมันสหรัฐ ล่าสุด (2 ก.ย.) พบว่า น้ำมันดิบลดลง 14.51 ล้านบาร์เรล ซึ่งลดลงมากสุดในรอบ 17 ปี หลักๆ มาจากพายุฤดูร้อนและเฮอร์ริเคน ที่กระทบแหล่งผลิตน้ำมันในอ่าวเม็กซิโก และทางภาคตะวันตกของสหรัฐ ทำให้ปริมาณการนำเข้าน้ำมันดิบลดลงกว่า 1.8 ล้านบาร์เรลต่อวัน และทำให้การผลิตน้ำมันดิบในประเทศลดลง 0.3 ล้านบาร์เรลต่อวันจากสัปดาห์ก่อน และเช่นเดียวกับน้ำมันเบนซินลดลง 4.21 ล้านบาร์เรล จากอานิสงค์วันหยุดวันแรงงานสหรัฐ หนุนปริมาณการใช้น้ำมันสูงขึ้นมาก (ยกเว้น สต็อกน้ำมันดีเซลเพิ่มขึ้นต่อเนื่องราว 3.38 ล้านบาร์เรล)
ขณะที่ความกังวลต่อปัญหา oversupply น่าจะลดลง หลังเห็นการลดกำลังผลิตน้ำมันของผู้ผลิตบางรายก่อนการประชุม อย่างไม่เป็นทางการของกลุ่ม OPEC ในวันที่ 26-28 ก.ย. นี้ กล่าวคือ กำลังการผลิตน้ำมันของซาอุดิอาระเบียเดือน ส.ค.ลดลง 4 หมื่นบาร์เรลต่อวัน เหลือ 10.63 ล้านบาร์เรลต่อวัน (จาก 10.67 ล้านบาร์เรล ซึ่งคาดว่าเป็นกำลังการผลิตสูงสุดที่สามารถทำได้แล้ว) ประกอบกับการแถลงการเจรจาร่วมมือรักษาเสถียรภาพราคาน้ำมันระหว่างซาอุดิอาระเบีย และรัสเซีย เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา ทำให้การประชุมเพื่อคงกำลังการผลิตในการประชุมปลายเดือนนี้มีความเป็นไปได้เพิ่มขึ้น
นอกจากนี้ Dollar Index ที่ยังคงอ่อนค่าต่อเนื่อง ล่าสุด 94.96 จุด (ลดลงราว 3% จากปลายเดือนที่ผ่านมา) หนุนให้ราคาน้ำมันตลาดล่วงหน้าทั้ง WTI และ Brent ปรับตัวขึ้นกว่า 4% ปิดตลาด 47.32 และ 49.99 เหรียญฯต่อบาร์ลตามลำดับ เช่นเดียวกับน้ำมันดิบดูไบปิดตลาด 44.94 เพิ่มขึ้น 6.67% นับจากต้นเดือนที่ผ่านมา ซึ่งถือว่าดีต่อหุ้นน้ำมันอย่าง PTT(FV@B400) และ PTTEP(FV@B89) ราคาหุ้นมี Upside กว่า 20.12% และ 13.38% ตามลำดับ
ต่างชาติซื้อหุ้นใน TIP แผ่วเบา และอาจจะสลับไปลงทุนหุ้นกู้อินโดมากขึ้น
วานนี้ตลาดหุ้นไทยยังคงตกหนักต่อเนื่อง โดยปรับตัวลดลงกว่า 31.82 จุด หรือ 2.14% ซึ่งแรงขายส่วนใหญ่ยังคงมาจากนักลงทุนสถาบันฯเป็นหลักราว 2.4 พันล้านบาท สวนทางกับต่างชาติที่ซื้อสุทธิหุ้นไทยเล็กน้อยราว 626 ล้านบาท และหากกลับมาดูภาพรวมทั้งภูมิภาค พบว่า ต่างชาติยังคงซื้อสุทธิหุ้นในภูมิภาคต่อเนื่องเป็นวันที่ 5 ด้วยมูลค่า 213 ล้านเหรียญ โดยแรงซื้อส่วนใหญ่ยังคงให้น้ำหนักไปที่กลุ่มประเทศแถบเอเชียตะวันออก อย่าง ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ที่ถูกซื้อสุทธิ 183 ล้านเหรียญ (ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 4) ตามมาด้วยไต้หวัน 78 ล้านเหรียญ (ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 5) ส่วนตลาดหุ้นในกลุ่ม TIP แรงยังคงชะลอตัวลง และมีการสลับมาขายในบางประเทศ คือตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ถูกขายสุทธิ 46 ล้านเหรียญ (ขายสุทธิต่อเนื่องนานถึง 12 วัน), อินโดนีเซียถูกขายสุทธิ 19 ล้านเหรียญ (ขายสุทธิเป็นวันที่ 2) และตลาดหุ้นไทยถูกซื้อสุทธิเล็กน้อยราว 18 ล้านเหรียญ
ส่วนทางด้านตราสารหนี้ไทย แรงซื้อจากนักลงทุนต่างชาติน่าจะเริ่มน่าจะชะลอตัวลง และสลับไปซื้อตราสารหนี้ในกลุ่มประเทศเพื่อนบ้านมากขึ้น โดยเฉพาะอินโดนีเซียที่มี Bond Yield 10 ปี สูงถึง 6.8% ซึ่งสูงกว่าไทยมาก (Bond Yield 10 ปีของไทยอยู่ที่ 2.1%) อีกทั้งรัฐบาลอินโดนีเซียยังได้มีการลดภาษีกำไรจากการลงทุนในพันธบัตร ในปี 2560
ข้อมูลแสดงเงินทุนต่างชาติไหลเข้าออกรายเดือนของแต่ละประเทศในภูมิภาค
กลยุทธ์เน้นหุ้นปันผลสูง : ASK, ADVANC, INTUCH, TTW, PTT
ณ ระดับดัชนีบริเวณ 1450-1455 จุด เทียบเท่า Expected P/E 16 เท่า นับว่าเป็นจุดที่มีความน่าสนใจในการทยอยเข้าสะสมหุ้น อย่างไรก็ตาม ความผันผวนที่ยังคงมีอยู่ค่อนข้างสูง ฝ่ายวิจัยจึงแนะนำเลือกลงทุนเป็นรายหุ้น โดยคัดเลือกหุ้นที่มีคุณสมบัติดังนี้ คือ เป็นหุ้นที่มีผลตอบแทนเงินปันผลสูง Dividend Yield สูงกว่า 4% ต่อปี, ระดับ P/E ไม่เกิน 15 เท่า, มีความผันผวนต่ำ (Beta ไม่เกิน 1) และมี upside สูงเกินกว่า 15%
ฝ่ายวิจัยแนะนำ MCS ([email protected]) คาด 3Q59 ผลประกอบการโดดเด่นจากปริมาณการส่งออกรวมทรงตัวระดับสูง รวมทั้งการแข็งค่าของเงินเยน และมีโอกาสปรับเพิ่มประมาณการ RATCH (FV@B60) หุ้น Defensive เติบโตต่อเนื่องในระยะยาว คาดหวัง upside จากโครงการต่างประเทศได้ และ ASK ([email protected]) ผลตอบแทนจากเงินปันผลสูงกว่า 7% ทั้งยังมีปัจจัยหนุนจากโครงการก่อสร้างภาครัฐหนุนความต้องการใช้สินเชื่อรถบรรทุก
ส่วนอีกกลุ่ม สำหรับนักลงทุนที่คาดหวังการฟื้นตัวของราคาหุ้นหลังจากปรับลดลงมาค่อนข้างเยอะ ขณะเดียวกันก็ต้องการหุ้นที่มีความปลอดภัย คือ หุ้นที่มี Dividend Yield ค่อนข้างสูง (ตั้งแต่ 3.5% ขึ้นไป), ซื้อขายกันบนระดับ P/E ไม่สูงกว่าตลาดฯ และมี upside ตั้งแต่ 10% ขึ้นไป ได้ชุดหุ้นดังตารางด้านล่าง
ฝ่ายวิจัยแนะนำ ADVANC (FV@B189) ยังเป็นตัวเลือกที่แข็งแกร่งสุดของกลุ่มสื่อสาร, INTUCH (FV@B73) ปันผลยังอยู่ในระดับสูงน่าพอใจ, TTW ([email protected]) ปันผลสูง ราคาหุ้นไม่ผันผวน ขณะที่ปัญหาภัยแล้งผ่านพ้นไปแล้ว หนุนผลประกอบการดีขึ้น เช่นเดียวกับ EASTW ([email protected]), PTT (FV@B400) มีโอกาสปรับขึ้นตามราคาน้ำมันโลก, SCCC (FV@B342) แผนการลงทุนขนาดใหญ่ในต่างประเทศสร้างผลกำไรที่เติบโตในระยะยาว, HANA (FV@B39) งวด 3Q59 เข้าสู่ช่วงฤดูกาลส่งออก รวมทั้งหุ้นเด่นในชุดแรก คือ ASK , MCS และ RATCH
รวมทั้งเลือกลงทุนในหุ้น property fund ที่มีความผันผวนต่ำ แต่ให้ผลตอบแทนจากเงินปันผลที่สม่ำเสมอ ได้แก่ CPNRF และ TFUND
ภรณี ทองเย็น เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004146
เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004132
พบชัย ภัทราวิชญ์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 052647
ภราดร เตียรณปราโมทย์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 075365
พาสุ ชัยหลีเจริญ ผู้ช่วยนักวิเคราะห์
ฐกฤต ชาติเชิดศักดิ์ ผู้ช่วยนักเศรษฐศาสตร์