- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Thursday, 08 September 2016 16:41
- Hits: 1263
บล.เอเซียพลัส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
กลยุทธ์การลงทุน
SET ผันผวนคล้ายกับประเทศ TIP เพราะต่างชาติมีสลับขายรายประเทศ ทำให้ดัชนีมีโอกาสแกว่งลง 1,480-1,485 จุด กลยุทธ์ถือหุ้น 30% สะสมหุ้นกำไรเด่น 2H59 (CPF, BA, BLA, BCH, BDMS) Top picks เลือก BLA([email protected]) BDMS(FV@B27) และลงทุนระยะสั้น PTT(FV@B400) กับ LPH (FV@B12)
คาดประชุม ECB วันนี้ยังไม่มีอะไรเพิ่มเติม
วันนี้มีการประชุมธนาคารกลางยุโรป (ECB) ตลาดคาดว่าจะไม่มีอะไรเป็นพิเศษ สะท้อนจากผลสำรวจของนักเศรษฐศาสตร์ Reuters ทั้งหมด 70 คน คาดคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 0% คงดอกเบี้ยเงินฝากธ.พ.ที่ฝาก ECB ติดลบ 0.4% และคงวงเงิน QE ที่ 8 หมื่นล้านยูโรต่อเดือน แต่คาดว่า ECB จะต้องขยายระยะเวลา QE ที่จะสิ้นสุด มี.ค.2560 ออกไปภายในการประชุมที่เหลืออีก 2 ครั้งในปีนี้ เนื่องจากเงินเฟ้อของยุโรป ล่าสุดยังอยู่ในระดับต่ำที่ 0.2%
ขณะที่วานนี้มีการรายงานสรุปภาวะเศรษฐกิจสหรัฐ หรือ Beige Book เผยว่าภาพรวมเศรษฐกิจ เดือน ก.ค และ ส.ค. ขยายตัวล่าช้า และยอดการจ้างงานที่เริ่มชะลอตัว และถูกกดดันจากค่าแรงที่ลดลง ทำให้ความคาดหวังการขึ้นดอกเบี้ยของ Fed ในปีนี้ลดลง กดดันค่าเงิน Dollar Index อ่อนค่าต่อเนื่อง ล่าสุด 94.96 จุด เป็นปัจจัยบวกหนุนสินทรัพย์เสี่ยง อย่างน้ำมันและทองคำ นอกจากดอลลาร์ที่อ่อนค่า แล้วตลาดยังคงจับตามอง การรายงานสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐที่จะรายงานวันนี้ที่คาดว่าจะลดลง หลังเพิ่มขึ้นมา 2 สัปดาห์ติดต่อ ผลจากพายุฤดูร้อนที่ส่งผลให้ต้องหยุดการผลิตน้ำมันดิบชั่วคราวในอ่าวเม็กซิโก จึงทำให้ราคาน้ำมันปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง
ล่าสุด ราคาน้ำมันดูไบมีแนวโน้มฟื้นตัวช่วงสั้น ๆ หลังจากที่ฟื้นตัวขึ้นมาเกือบ 3% มาที่ 43.91 เหรียญ ต่อบาร์เรล หลังจากทำระดับต่ำสุดของสัปดาห์ที่ 42.3 เหรียญฯ ซึ่งถือว่าดีต่อหุ้นน้ำมันอย่าง PTT(FV@B400) ราคาหุ้นมี Upside กว่า 20.12%
คาดแรงซื้อตราสารหนี้ไทยมีโอกาสชะลอตัวลง
ขณะที่ค่าเงินในภูมิภาคอาเซียนบางประเทศ มีสัญญาณอ่อนค่าอีกครั้ง หลังจากที่แข็งค่าต่อเนื่องตลอดปีนี้ กล่าวคือเงินริงกิตแข็งค่ามากสุดถึง 6.1% จากต้นปีนี้จนถึงปัจจุบัน (ytd) เงินรูเปียะห์แข็งค่าราว 5.7%ytd และ ใกล้เคียงกัน รองลงมาคือเงินบาทแข็งค่าราว 4%ytd ขณะที่ค่าเงินเปโซแข็งค่า 3%ytd สอดคล้องกับแรงซื้อตราสารหนี้ในภูมิภาคของต่างชาติที่เข้ามาหนาแน่นกว่า 2 หมื่นล้านเหรียญ (ytd)
แต่จากนี้ไปคาดว่าแรงซื้อตราสารหนี้ไทยน่าจะชะลอตัวลง และสลับไปซื้อตราสารหนี้ในกลุ่มประเทศเพื่อนบ้านที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า สังเกตได้จาก Bond Yield 10 ปี ของไทยล่าสุดอยู่ที่ 2.17% แต่ อินโดนีเซียผลตอบแทนสูงถึง 6.827%, ฟิลิปปินส์อยู่ที่ 3.966% และมาเลเซียราว 3.487% เป็นต้น จึงทำให้เชื่อว่านักลงทุนต่างชาติน่าจะมีการปรับพอร์ตโดยการขายตราสารหนี้ไทย แล้วไปซื้อตราสารหนี้ประเทศอื่นๆในภูมิภาคที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่าดังที่กล่าวมา โดยเฉพาะอินโดนีเซีย ที่รัฐบาลได้มีการประกาศลดภาษีกำไรจากการลงทุนในพันธบัตร และดอกเบี้ยที่ได้รับจากการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล โดยจะมีผลบังคับใช้ใช้ในปีภาษี 2560
โดยประเด็นดังกล่าวยังส่งผลให้ค่าเงินค่าเงินรูเปียะห์อินโดนีเซียแข็งค่าขึ้นกว่า 1% (ตั้งแต่ต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา) ส่วนประเทศอื่นๆในภูมิภาค เช่น บาทและริงกิตมาเลเซียยังคงทรงตัว ขณะที่เปโซฟิลิปปินส์อ่อนค่าราว 0.4%
แรงซื้อหุ้นในกลุ่ม TIP เริ่มชะลอตัวลง
วานนี้ต่างชาติซื้อสุทธิหุ้นในภูมิภาคต่อเนื่องเป็นวันที่ 4 ด้วยมูลค่า 197 ล้านเหรียญ โดยแรงซื้อส่วนใหญ่จะให้น้ำหนักไปที่กลุ่มประเทศแถบเอเชียตะวันออก อย่าง ตลาดหุ้นไต้หวันถูกซื้อสุทธิราว 207 ล้านเหรียญ (ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 4) ตามมาด้วยเกาหลีใต้ 53 ล้านเหรียญ (ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 4), ส่วนตลาดหุ้นในกลุ่ม TIP แรงซื้อเริ่มชะลอตัวลง และมีแรงขายกลับเข้ามาในบางประเทศ คือตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ถูกขายสุทธิ 20 ล้านเหรียญ (ขายสุทธิต่อเนื่องนานถึง 11 วัน), อินโดนีเซียถูกขายสุทธิ 18 ล้านเหรียญ ส่วนตลาดหุ้นไทยถูกซื้อสุทธิเล็กน้อยราว 12 ล้านเหรียญ หรือ 422 ล้านบาท (หลังจากขายสุทธิในวันก่อนหน้า) ต่างกับนักลงทุนสถาบันฯที่ซื้อสุทธิราว 1.6 พันล้านบาท
กลยุทธ์ถือหุ้น 30% เน้นหุ้นกำไรเด่น 2H59: BA, BDMS, CPF, BCH
เชื่อว่า SET Index ยังคงมีความผันผวนหากอยู่ต่ำกว่า 1,500 จุด และบริเวณ 1480-1485 จุดยังเป็นแนวรับที่มีนัยสำคัญ ส่วนแนวรับถัดไปคือ 1,450-1,460 จุด (Ex.P/E 16.3 เท่า เป็นดัชนีเป้าหมายปี 2559) จึงยังแนะนำให้ถือหุ้น 30% และเลือกลงทุนหุ้นที่ผลกำไรเด่นใน 2H59 คือ
หุ้นโรงพยาบาล : เลือก BCH (FV@B14) เนื่องจากผลประกอบการพลิกกลับมาเติบโตก้าวกระโดด ขณะที่ราคาหุ้นยังไม่ตอบรับ BDMS (FV@B27) ซึ่งคาดว่าจะเป็น โรงพยาบาลแห่งเดียว ที่น่าจะได้ประโยชน์จากนโยบายส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมยาและเครื่องมือแพทย์ (BOI) โดยได้รับลดหย่อนภาษีเป็นเวลา 8 ปี เและ RJH (FV@B24) โรงพยาบาลน้องใหม่ที่คาดการเติบโตได้แบบก้าวกระโดด แต่ราคาหุ้นยังมี upside สูง แนวโน้มน่าจะขึ้นไปปิดยอดสูงที่ทำไว้ในวันที่เข้าซื้อขายวันแรกที่ 22 บาท
นอกจากนี้ ยังแนะนำ LPH (FV’60@B12) จากแนวโน้มผลการดำเนินงาน 2H59 เติบโตโดดเด่น 20%yoy ส่วนปีหน้าคาดเติบโตอีก 35%yoy หนุนด้วยการเปิดศูนย์ Excellent Center ทำให้ไม่ต้องส่งต่อผู้ป่วยโรคร้ายแรง อาทิ โรคผ่าตัดกระดูกและหลัง รวมถึงทางเดินอาหาร ฯลฯ ไปยัง รพ. อื่น (ยกเว้นผู้ป่วยโรคมะเร็งและโรคหัวใจเท่านั้นที่ยังคงต้องส่งต่อ) ส่งผลให้ต้นทุนค่าใช้จ่ายของผู้ป่วยประกันสังคมลดลงแต่จะ Margin ของผู้ป่วยประกันสังคมจะมากขึ้น ยิ่งไปกว่านั้น LPH ยังมีแผนการเช่าโรงพยาบาลเดชา ซึ่งมีผู้ป่วยประกันสังคมกว่า 5 หมื่นราย แต่หลังจาก รพ. ปิดตัวลงผู้ป่วยประกันสังคมต้องย้ายไปขึ้นทะเบียนกับโรงพยาบาลรัฐบาลแทน ซึ่งถ้า รพ.เดชา สามารถกลับมาเปิดให้บริการตามปกติจะสามารถเรียกคืนผู้ป่วยทั้งหมดกลับมาได้ โดยคาดว่า LPH จะนำอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ไม่ได้ใช้แล้วไปใช้ที่ รพ.เดชา ทำให้ลดเงินลงทุนไปได้เหลือเพียงราว 50 ล้านบาท ยิ่งไปกว่านั้น โรงพยาบาล เปาโล เมโมเรียล ได้ประกาศยกเลิกผู้ป่วยประกันสังคม โดย รพ.มีผู้ประกันตนอยู่ที่ 1.4 แสนคน ซึ่งโรงพยาบาลเปาโลฯ อยู่ในละแวกที่ไม่ไกลจาก LPH มากนัก ทำให้คาดว่าจะมีผู้ประกันตนย้ายมาที่ LPH กว่า 5 หมื่นราย และยังสามารถไปใช้บริการที่ รพ. เดชาได้เพิ่มเติมอีก
ทั้งนี้ ฝ่ายวิจัยยังคงประมาณการเดิมของ LPH จนกว่าดีลข้อตกลง รพ. เดชา จะทราบผลภายในสิ้นเดือนนี้ และจะเป็น Upside เพิ่มเติมขึ้นจากมูลค่าพื้นฐานปี 2560 ที่ 12 บาท
หุ้นส่งออกอาหาร : นอกจากฤดูกาลส่งออกแล้ว พบว่าราคาผลิตภัณฑ์ทุกชนิด ทั้ง ราคาไก่ หมู และเป็ดมีแนวโน้ม ที่ดีขึ้นตามความต้องการที่เพิ่มขึ้นทั้งในประเทศ และต่างประเทศ ขณะที่ต้นทุนยังคงเปลี่ยนแปลงในอัตราที่น้อยกว่า หนุนให้กำไรในปี 2559 มีทิศทางที่ดีขึ้นจากปี 2558 อย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้น ปัญหา Supply ไก่จากจีนที่ขาดแคลนอย่างหนักจนถึงปีหน้า เนื่องจากทางการจีนยังไม่อนุญาตให้นำเข้าไก่ปู่ย่าพันธุ์จากสหรัฐฯ ทำให้จีนต้องนำเข้าไก่จากต่างประเทศ ซึ่งจะหนุนให้ราคาส่งออกไก่ต่างประเทศปรับสูงขึ้น นอกจากนี้ ยังทำให้ลูกค้าญี่ปุ่นและมาเลเซียบางราย ที่ปกตินำเข้าไก่จากจีน หันมานำเข้าไก่จากไทยมากขึ้น ส่งผลบวกต่อผู้ประกอบการไก่ในประเทศไทยที่จะสามารถขยายตลาดส่งออกได้มากขึ้น ยิ่งเป็น Sentiment บวกต่อกลุ่มฯ ทั้ง CPF (FV@B40), GFPT (FV@B17) และ TFG ([email protected]) แต่เนื่องจากราคาหุ้นกลุ่มนี้ได้ปรับตัวขึ้นมามาก จึงแนะนำซื้อ เมื่อราคาอ่อนตัว โดย ณ ราคาปัจจุบันให้ทยอยสะสม CPF เป็นลำดับแรก
กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ที่ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นน้อยในช่วงที่ผ่านมาคือ HANA (FV@B42), DELTA (FV@B80), SVI (FV@B6)
หุ้นสายการบิน : จากการเข้าสู่ฤดูกาล High Season ที่เกาะสมุย ในช่วง 3Q59 หนุน BA ([email protected]) นอกจากนี้ยังได้ประโยชน์จากต้นทุนน้ำมันที่อยู่ในระดับต่ำ และการเปิดเส้นทางบินใหม่กรุงเทพ-ดานัง ซึ่งล้วนมีฐานลูกค้าที่ชัดเจน
นอกจากนี้ ยังชอบหุ้นที่ได้ประโยชน์จากอัตราดอกเบี้ยที่น่าจะผ่านพ้นจุดต่ำสุดไปแล้ว ส่งผลให้ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล (Government Bond Yield) มีแนวโน้มปรับขึ้นต่อจากนี้ เลือก BLA ([email protected]) ในภาวะดอกเบี้ยต่ำ ทำให้ภาระหนี้สินจากการซื้อกรมธรรม์ลดลง จะทำให้สามารถกลับรายการตั้งสำรองฯ มาเป็นรายได้ ทำให้งบกำไรขาดทุนดีขึ้นใน 3Q59
ส่วนที่เหลือถือเงินสด 70% หรือลงทุนใน property fund ที่มีความผันผวนต่ำ แต่ให้ผลตอบแทนจากเงินปันผลที่สม่ำเสมอ ได้แก่ CPNRF และ TFUND หรือเลือกหุ้นปลอดภัย หุ้นที่มี Beta ต่ำ Div. Yield สูง
ภรณี ทองเย็น เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004146
เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004132
พบชัย ภัทราวิชญ์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 052647
ภราดร เตียรณปราโมทย์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 075365
พาสุ ชัยหลีเจริญ ผู้ช่วยนักวิเคราะห์
ฐกฤต ชาติเชิดศักดิ์ ผู้ช่วยนักเศรษฐศาสตร์