WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

ASP copyบล.เอเซีย พลัส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน

 

กลยุทธ์การลงทุน
SET ลงทดสอบ 1,530 จุด ตลาดกังวลต่อ Fed ขึ้นดอกเบี้ยภายในปีนี้ และต่างชาติชะลอซื้อ กลยุทธ์ปรับพอร์ต สะสมหุ้นกำไรเด่น 2H59 (BDMS, BCH, GFPT, BA, AJD) หรือหุ้น Low Beta + High Dividend (HANA, SCCC, TTW) Top picks BDMS(FV@27) และลงทุนระยะสั้น RJH(FV@B24) ราคาย่อเป็นโอกาสสะสม

จุดสนใจอยู่ที่สหรัฐ + ผลประชุมธนาคารกลางโลกที่ยังใช้นโยบายผ่อนคลายต่อ
       ความคาดหวังต่อทิศทางการเคลื่อนไหวของทิศทางการขึ้นดอกเบี้ยของสหรัฐ นับว่ามีอิทธิพลต่อตลาดหุ้นโลกนับจากนี้จนถึงการประชุมรอบถัดไป 20-21 ก.ย. ซึ่งคงต้องติดตามยอดการจ้างงานนอกภาคการเกษตร (Nonfarm payrolls โดยกรมแรงงาน) เดือน ส.ค. ในคืนนี้ ซึ่งตลาคคาดที่ 1.8 แสนราย ชะลอจาก 2.55 แสนรายในเดือน ก.ค. หากออกมาดีกว่าที่คาด เชื่อว่าจะเปิดโอกาสให้ Fed พิจารณาขึ้นดอกเบี้ยในปีนี้ อย่างไรก็ตามผลสำรวจ Fed Fund Future ล่าสุดเริ่มย่อตัวลง กล่าวคือโอกาสการขึ้นดอกเบี้ยในเดือน ก.ย. ราว 35% ลดลงจาก 42% ต้นสัปดาห์ รอบ 1-2 พ.ย. ราว 40% ลดลงจาก 47% และ13-14 รอบ ธ.ค. 60% ลดลงจาก 64%
ASPS ยังคงย้ำจุดยืนเดิมคือ FED ยังไม่น่าขึ้นดอกเบี้ยภายในสิ้นปีนี้ จากเศรษฐกิจโลกยังมีความเสี่ยงต่อ BREXIT แม้ล่าสุดการรายตัวเลขดัชนีชี้นำเศรษฐกิจภาคการผลิตของประเทศหลักๆของโลกจะมีสัญญาณฟื้นตัว สะท้อนจากรายงาน PMI ภาคการผลิตของญี่ปุ่น ในเดือน ส.ค. ปรับเพิ่มขึ้น 0.5%mom อยู่ที่ระดับ 49.5 (สูงสุดตั้งแต่ มี.ค.2559) สอดคล้องกับ PMI ภาคการผลิตจีน ในเดือนเดียวกันปรับเพิ่มขึ้น 1%mom อยู่ที่ระดับ 50.4 จุด (สูงสุดตั้งแต่ ต.ค. 2557) แต่เชื่อว่าน่าจะเป็นการฟื้นตัวชั่วคราว อย่างไรก็ตาม ติดตามการประชุมของธนาคารกลางโลกตลอดเดือน ก.ย. นี้ เชื่อว่าส่วนใหญ่ยังเน้นนโยบายการเงินผ่อนคลายต่อเนื่อง

ที่มา : Bloomberg , ฝ่ายวิจัย ASPS รวบรวม

น้ำมันลงแรง..สต็อกสูงเกินคาด + รัสเซียไม่ร่วมประชุมคงการผลิต
       ราคาน้ำมันปรับตัวลงแรงวานนี้ แม้ว่า Dollar Index เริ่มชะลอการแข็งค่า โดยล่าสุดลงมาที่ 95.641 จุด คาดน่าจะได้รับแรงกดดันจากสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐล่าสุด เพิ่มขึ้นมากกว่าตลาดคาด กล่าวคือ สต็อกน้ำมันดิบเพิ่มขึ้น 2.3 ล้านบาร์เรล ติดต่อกันเป็นสัปดาห์ที่ 2 (VS ตลาดคาดเพิ่มขึ้น 0.92 ล้านบาร์เรล) เช่นเดียวกันสต็อกน้ำมันสำเร็จรูปดีเซลเพิ่มขึ้น 1.5 ล้านบาร์เรล ยกเว้นน้ำมันเบนซินที่ปรับตัวลดลงเล็กน้อย คาดจากปริมาณการนำเข้าน้ำมันดิบที่เพิ่มขึ้นในสัปดาห์ที่ผ่านมา
     นอกจากนี้ รัฐมนตรีกระทรวงพลังงานของรัสเซีย (กำลังผลิต 10.48 ล้านบาร์เรลต่อวัน เป็นลำดับ 2 ของโลก แต่กลับส่งออกอันดับ 1 ของโลก) ได้แสดงจุดยืนที่จะไม่เข้าร่วมประชุมกับ OPEC (26-28 ก.ย. นี้) เพื่อคงการผลิตตราบที่ราคาน้ำมันดิบยังคงแกว่งตัวระดับ 50 เหรียญฯต่อบาร์เรล (แผนกำลังผลิต 11 ล้านบาร์เรลต่อวัน และจะขยับขึ้นอีก 5%)
ขณะที่ปัญหา oversupply ยังคงมีอยู่ แม้แนวโน้มจะเริ่มเข้าสู่สมดุลในช่วง 1H59 แต่ระยะสั้นถูกแรงกดดันรอบด้าน จึงน่าจะเป็น Sentiment เชิงลบต่อหุ้นกลุ่มพลังงาน แนะนำชะลอการลงทุนระยะสั้น แต่ระยะกลาง-ยาวยังถือว่าเป็นโอกาสสะสม เมื่อราคาหุ้นย่อตัว โดยเฉพาะ PTT(FV@B342) ที่ราคานิ่งนาน

ต่างชาติปรับฐานระยะสั้น..น่าจะรอผลการประชุม Fed ปลายเดือนนี้
        แรงขายหุ้นในภูมิภาคจากต่างชาติเริ่มชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ โดยวานนี้ต่างชาติยังคงขายสุทธิหุ้นในภูมิภาคต่อเนื่องเป็นวันที่ 2 ด้วยมูลค่าสูงถึง 427 ล้านเหรียญ และยังเป็นการขายสุทธิที่สูงที่สุดในรอบ 57 วันที่ผ่านมา โดยเกิคจากการขายสุทธิใน 4 ประเทศ คือ ไต้หวันขายสุทธิ 277 ล้านเหรียญ (ขายสุทธิเป็นวันที่ 2) ตามมาด้วยเกาหลีใต้ 90 ล้านเหรียญ (ขายสุทธิเป็นวันที่ 2), ฟิลิปปินส์ 44 ล้านเหรียญ (ขายสุทธิต่อเนื่องเป็นวันที่ 7) และอินโดนีเซีย 27 ล้านเหรียญ (ขายสุทธิเป็นวันที่ 4) ยกเว้นตลาดหุ้นไทยที่ต่างชาติยังคงซื้อสุทธิ แต่แรงซื้อแผ่วลงไปมากแล้ว โดยมีมูลค่าเพียง 11 ล้านเหรียญ หรือ 378 ล้านบาท (ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 4) ต่างกับนักลงทุนสถาบันฯที่ขายสุทธิราว 186 ล้านบาท
ขณะที่ตลาดตราสารหนี้ไทย นักลงทุนสถาบันในประเทศซื้อสุทธิราว 1.4 หมื่นล้านบาท ต่างกับนักลงทุนต่างชาติที่ขายสุทธิราว 910 ล้านบาท (ขายสุทธิเป็นวันที่ 2)
ข้อมูลแสดงเงินทุนต่างชาติไหลเข้าออกรายเดือนของแต่ละประเทศในภูมิภาค

กลยุทธ์การลงทุนภายใต้ความผันผวนเน้นหุ้น Low beta, high dividend yield
คาดว่าวันนี้ SET Index น่าจะแกว่งตัวในกรอบแคบๆ เป็นไปในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นสหรัฐวานนี้ ขณะที่นักลงทุนยังรอการประกาศตัวเลขการจ้างงานนอกภาคการเกษตร (Non-farm Payrolls) ซึ่งเป็นหนึ่งในปัจจัยที่มีน้ำหนักต่อการตัดสินใจขึ้นดอกเบี้ยของ Fed และตั้งแต่สัปดาห์หน้าเป็นต้นไป จะเริ่มเข้าสู่การประชุมของธนาคารกลางที่สำคัญหลายแห่ง ดังกล่าวข้างต้น ในระหว่างนี้จึงคาดว่า SET Index มีโอกาสแกว่งตัวเชิงลบมากกว่า sideway ออกข้าง ซึ่งหากมองกันในเชิง Technical ระดับ week ดัชนีอาจลงไปทดสอบ 1,530 จุด หากรับไม่อยู่อาจลงลึกไปถึง 1,510 หรือ 1,500 จุดได้
ภายใต้ภาวะความไม่แน่นอนที่รออยู่ และ Valuation ที่ค่อนข้างแพงของตลาดหุ้นไทย กลยุทธ์การลงทุน จึงเลือกหุ้นแบบ selective buy มีปัจจัยบวกเฉพาะตัวหนุน หรือ เข้าสู๋ช่วง high season อาทิ
กลุ่มโรงพยาบาล : BCH (FV@B14), BDMS (FV@B27) และ RJH (FV@B24)
กลุ่มชิ้นส่วน : HANA (FV@B42), DELTA (FV@B80), SVI (FV@B6)
สายการบิน : BA ([email protected])
เช่าซื้อ-ลิสซิ่ง : ASK ([email protected]), KCAR ([email protected])
หรือเลือกหุ้นปลอดภัย หุ้นที่มี Beta ต่ำ Div. Yield สูง ดังตารางด้านล่าง

ภรณี ทองเย็น
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004146
เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004132
พบชัย ภัทราวิชญ์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 052647
ภราดร เตียรณปราโมทย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 075365
พาสุ ชัยหลีเจริญ
ผู้ช่วยนักวิเคราะห์
ฐกฤต ชาติเชิดศักดิ์
ผู้ช่วยนักเศรษฐศาสตร์

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!