- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Wednesday, 31 August 2016 17:49
- Hits: 3723
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
'ยืนเหนือ 1540 ได้...เลือกซื้อ/ถือต่อ'
หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : ไม่มี
ปัจจัย&กลยุทธ์ทางปัจจัยพื้นฐาน : SET Index เมื่อวานนี้ปิดขยับขึ้นเพียงเล็กน้อย (+1.98 จุดปิดที่ 1546.13) นักลงทุนในตลาดยัง Wait & See รอดูตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรสหรัฐประจำเดือนส.ค.ว่าจะออกมาเป็นอย่างไร ซึ่งมีผลต่อการตัดสินใจในการปรับขึ้นดอกเบี้ยของเฟด อย่างไรก็ดี นักลงทุนต่างชาติยังเดินหน้าซื้อสุทธิต่อ 736 ล้านบาท ส่วนอีก 3 กลุ่มที่เหลือขายสุทธิ
ดัชนี ค่าเงินดอลลาร์ (เทียบกับ 6 สกุลหลัก) ขยับแข็งขึ้นเป็น 96 (จาก 94.5 ในวันที่ 25 ส.ค.59 ก่อนมีถ้อยแถลงในการประชุมประจำปีเฟดที่เมืองแจ็คสัน โฮล รัฐไวโอมิ่ง บ่งชี้ว่าตลาดมองถึงความเป็นไปได้ที่มากขึ้นที่เฟดจะปรับขึ้นดอกเบี้ยในการประชุม 20-21 ก.ย.นี้ ซึ่งทาง DBS Group Research คาดการณ์ว่าในช่วงที่เหลือของปีนี้ เฟดจะปรับขึ้นดอกเบี้ย 2 ครั้งๆ ละ 0.25% เป็น 1.00% ในสิ้นปี 2559 (ปัจจุบันอยู่ที่ 0.50%) สำหรับในประเทศ ตัวเลขผลผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนก.ค.59 ที่ติดลบ (-5.1%YoY และต่ำสุดในรอบ 2 ปี) บ่งชี้ว่าภาคธุรกิจยังซบเซาและการฟื้นตัวเป็นไปอย่างช้าๆ ขณะที่การลงทุนภาครัฐมีความคืบหน้าแต่ก็ไม่ได้เร็วมาก การบริโภคภาคครัวเรือนกระเตื้องขึ้นแต่เป็นเฉพาะสินค้าอุปโภคบริโภคขั้นพื้นฐาน ภาคท่องเที่ยวไปได้ดีต่อเนื่อง แต่ภาคส่งออกคาดว่าจะชะลอตัวต่อ แต่ในการลงทุนก็ยังสามารถใช้กลยุทธ์เลือกลงทุนเป็นรายบริษัท อย่างไรก็ดี ไม่ควรหวัง Gap กำไรมากในยามที่ตลาดและราคาหุ้นขึ้นมาอยู่ในโซนสูง รวมทั้งถ้ามีหุ้นอยู่ก็ควรพิจารณาแบ่งขายทำกำไรเมื่อราคาหุ้นปรับขึ้นสูงกว่าเป้าหมายที่ประเมินอย่าง Aggressive ไปแล้ว สำหรับหุ้นเชิงกลยุทธ์แนะนำวันนี้เป็น CPALL
การวิเคราะห์ทางเทคนิค : ภาพตลาดเป็นลบเล็กๆ ควรระวังการแกว่ง/อ่อน การซื้อใหม่จึงเน้นตามด้วยค่าบวก ค่าลบดูไม่ดีและควร Stop loss ถ้าต่ำกว่า 1540 จุด แนวต้านระยะสั้นอยุ่ที่ 1550-1560, 1570 จุด ส่วนแนวรับกรณี SET หลุด 1540 จุดคือ 1520, 1500 จุด
สำหรับการ SCAN หุ้นที่สัญญาณเทคนิคดี มีโอกาสทำ New high ที่เข้ามาใหม่คือ TTCL, SCN, CEN ส่วนที่ยังอยู่ใน List เป็น KAMART, S, VGI, KKP, WICE, PACE หุ้นที่หลุด List คือ XO หุ้นที่หาจังหวะขายทำกำไร คือ PTG, WORK, BH
นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค & Retail research team - [email protected]
Need to know TODAY
ปัจจัยต่างประเทศ
+ สหรัฐ : ความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนส.ค.พุ่งขึ้นดีเกินคาด
ผลสำรวจของ Conference Board ซึ่งระบุว่า ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐอยู่ในระดับสูงเกินคาดในเดือนส.ค. โดยอยู่ที่ระดับ 101.1 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบเกือบ 1 ปี และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ที่ 97.0
สหรัฐ : จับตาตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนส.ค.ที่จะออกมาในวันศุกร์นี้
นักลงทุนจับตาการเปิดเผยตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนส.ค.59 ของสหรัฐที่จะรายงานในวันศุกร์ที่ 2 ก.ย.นี้ ซึ่งหากออกมาแข็งแกร่ง ก็จะเป็นปัจจัยหนุนให้เฟดขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมวันที่ 20-21 ก.ย. แต่ถ้าตัวเลขจ้างงานออกมาต่ำกว่าคาด ก็จะลดแนวโน้มการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟด
- ตลาดหุ้นสหรัฐ : ปิดลดลงหลังพุ่งขึ้นแรงในวันก่อน
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 18,454.30 จุด ลดลง 48.69 จุด หรือ -0.26% ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 5,222.99 จุด ลดลง 9.34 จุด หรือ -0.18% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,176.12 จุด ลดลง 4.26 จุด หรือ -0.20% โดยหุ้น Apple Inc กดดันตลาดเพราะราคาดิ่งลงหลังคณะกรรมาธิการยุโรป (EC) มีคำสั่งให้ Apple จ่ายเงิน 1.3 หมื่นล้านยูโร (1.45 หมื่นล้านดอลลาร์) เป็นค่าภาษีย้อนหลัง บวกดอกเบี้ย ให้แก่รัฐบาลไอร์แลนด์ หลังพบว่าทางบริษัทได้รับประโยชน์ด้านภาษีจากรัฐบาลไอร์แลนด์ที่ผิดกฎระเบียบของสหภาพยุโรป (EU) เป็นเวลาถึง 11 ปี อย่างไรก็ตาม หุ้นกลุ่มธนาคารปรับขึ้นรับโอกาสที่เฟดจะปรับขึ้นดอกเบี้ยมีมากขึ้น
- ราคาน้ำมันดิบ : ปิดลดลง
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนต.ค.ลดลง 63 เซนต์ หรือ 1.3% ปิดที่ 46.35 ดอลลาร์/บาร์เรล ด้าน BRENT ลดลง 89 เซนต์ หรือ 1.8% ปิดที่ 48.37 ดอลลาร์/บาร์เรล เนื่องจากขาดปัจจัยกระตุ้นและอุปทานน้ำมันเพิ่มขึ้น โดยอิรักและซาอุฯผลิตน้ำมันดิบมากขึ้นในเดือนนี้ แต่ราคาน้ำมันดิบก็อ่อนไม่มากเพราะมีข่าวว่าผู้ผลิตน้ำมันและก๊าซของสหรัฐในอ่าวเม็กซิโกได้ระงับการผลิตน้ำมัน 168,334 บาร์เรล/วัน และก๊าซ 190 ล้านลูกบาศก์ฟุต/วัน ก่อนที่พายุโซนร้อนจะพัดกระหน่ำบริเวณดังกล่าว
- ราคาทองคำ : ร่วงลง
สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค.ร่วงลง 10.6 ดอลลาร์ หรือ 0.8% ปิดที่ระดับ 1,316.5 ดอลลาร์/ออนซ์ โดยราคาทองคำได้รับแรงกดดันจากการแข็งค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐ
ปัจจัยในประเทศ & หุ้นเด่น
ไทย : ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมก.ค.59 ต่ำสุดในรอบ 2 ปี
สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหรรมเปิดเผยดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (MPI) เดือนก.ค.ว่าอยู่ที่ 103.36 จุด หรือ -5.1%YoY ซึ่งต่ำสุดในรอบ 2 ปี เพราะค่ายรถยนต์ปรับโมเดลใหม่และเร่งทำการตลาดไปมากในปีก่อน และการส่งออกรถยนต์ไปตลาดตะวันออกกลางลดลงโดยเป็นผลจากราคาน้ำมันต่ำทำให้เศรษฐกิจซบเซา (การผลิตรถยนต์เดือนก.ค.59 -8.4%YoY)
ความเห็นเชิงกลยุทธ์ Retail Research : เป็นไปตามที่เราคาดการณ์ไว้ว่าในช่วง 3Q59 จะมีบางอุตสาหกรรมที่ชะลอตัวลง เช่น ยานยนต์และชิ้นส่วน เพราะมีฐานที่สูงในปีก่อน, อุตสาหกรรมก่อสร้าง เพราะเป็นช่วง Low season ของธุรกิจ (ฤดูฝน) เป็นต้น อย่างไรก็ตาม อุตสาหกรรมที่เกี่ยวกับการส่งออกจะดีขึ้นใน 3Q เพราะเป็น High season ของการส่งออกอาหาร หลักทรัพย์ใน DBSV Coverage ที่คาดว่าจะได้อานิสงค์ทางบวกได้แก่ CPF (ราคาพื้นฐาน 40 บาท), GFPT (ราคาพื้นฐาน 15.40 บาท), TU (ราคาพื้นฐาน 26.50 บาท)
สำหรับแนวโน้ม 4Q59 คาดการณ์ว่าการผลิตของอุตสาหกรรมที่เกี่ยวกับการส่งออกจะอ่อนลงโดยเฉพาะในช่วงปลายปี เพราะมีวันหยุดยาวในเทศกาลคริสมาสต์และปีใหม่ แต่อุตสาหกรรมที่ผลิตเพื่ออุปโภคและบริโภคในประเทศมีโอกาสดีขึ้นเพราะเป็นเทศกาลจับจ่ายใช้สอย
/- Fin Tech จะเข้าถึงลูกค้ารายย่อยมากขึ้นในอีก 5 ปีข้างหน้า
จากการสำรวจความคิดเห็นผู้บริหารระดับสูงที่เชี่ยวชาญด้าน IT จำนวน 163 ราย จาก 46 ประเทศโดย PwC พบว่า 73% ของผู้บริหารเชื่อว่าในอีก 5 ปีข้างหน้า สายงานธุรกิจเพื่อลูกค้ารายย่อยของกลุ่มธนาคารจะอ่อนไหวและได้รับผลกระทบจาก Fin Tech มากที่สุด และ 76% ของผู้ตอบแบบสอบถามยอมรับว่าธุรกิจของตนมีความเสี่ยงกับธุรกิจ Fin Tech โดยความเสี่ยงสำคัญ 3 เรื่อง คือ ส่วนแบ่งการตลาด, แรงกดดันด้านอัตรากำไรขั้นต้น และภัยคุกคามต่อความปลอดภัยของข้อมูลและความเป็นส่วนตัว
ทางออกของธนาคารพาณิชย์และธุรกิจการเงิน คือ การเป็นพันธมิตรกับธุรกิจ Fin Tech มากขึ้น ซึ่งผลสำรวจพบว่าผู้ประกอบการธนาคาร 42% จับมือและจัดตั้งกองทุนฯเพื่อลงทุนในบริษัท Fin Tech (โดยธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ของไทยได้ขยับตัวในเรื่องนี้แล้ว เช่น BBL, KBANK เป็นต้น) สำหรับข้อจำกัดของ Fin Tech คือ ยังมีความกังวลในระบบความปลอดภัยด้านข้อมูล
ความเห็นเชิงกลยุทธ์ Retail Research : การดำเนินธุรกิจของธนาคารและสถาบันการเงินจะเปลี่ยนไปสู่ระบบดิจิตอลแพลทฟอร์มมากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มลูกค้ารายย่อย ซึ่งไม่แต่เพียงธนาคารพาณิชย์ที่จะใช้ระบบนี้ แต่ธุรกิจไฟแนนซ์ก็จะใช้ด้วยเช่นกัน (GL ประกาศตัวว่าจะเป็นผู้นำในดิจิตอลไฟแนนซ์ของภูมิภาค ซึ่งปัจจุบันได้ดำเนินธุรกิจผ่านระบบนี้ไปแล้ว) สำหรับผลกระทบต่อผู้ประกอบการที่ใช้ Fin Tech คือ ต้องใช้เงินลงทุนในระบบพอควร, อัตรากำไรจะลดลงเพราะอัตราค่าบริการที่ต่ำลง แต่ส่วนหนึ่งจะได้รับการชดเชยจากต้นทุนบุคคลากรที่ลดลง (เพราะใช้อุปกรณ์และระบบ IT แทนคนมากขึ้น) รวมทั้งอาจมีการแข่งขันตัดราคาค่าบริการกัน โดยเฉพาะเมื่อตัดค่าเสื่อมราคาเงินลงทุนไปได้พอควรแล้ว
ธนาคารพาณิชย์ต้องเร่งหารายได้จากการออกผลิตภัณฑ์การเงินใหม่ๆ ที่จะมาเสนอขายลูกค้า เพื่อไปชดเชยกับรายได้ค่าบริการทางการเงินที่ลดลง จากการใช้ Fin Tech ซึ่งเป็นโอกาสของธนาคารที่มีพันธมิตรต่างประเทศที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญ และกระตุ้นให้ธนาคารพาณิชย์ & สถาบันการเงินหาพันธมิตรต่างชาติชั้นนำของโลกเข้ามาร่วมทำธุรกิจมากขึ้นด้วย
นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค - [email protected]