- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Tuesday, 30 August 2016 15:49
- Hits: 801
บล.เอเซียพลัส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
กลยุทธ์การลงทุน
SET ยังปรับฐาน ตราบที่ความกังวลต่อการขึ้นดอกเบี้ยสหรัฐยังมีอยู่ จึงแนะนำให้ปรับพอร์ต และซื้อหุ้นที่ผลกำไรเด่นงวด 3Q59 โดยเฉพาะ ร.พ. ที่ได้ประโยชน์จากต้นทุนยาที่ลดลง หลังรัฐให้ BOI แก่โรงงานผลิตยา วันนี้เลือก BDMS(FV@B25) และ AJD([email protected]) เป็น Top picks ซึ่งฟื้นตัวชัดเจนจากการเข้าสู่ธุรกิจบัตรเติมเงิน
การส่งออก และว่างงาน ยังเป็นปัจจัยกดดันเศรษฐกิจไทย
แม้การรายงานอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยที่ดีขึ้น สะท้อน GDP Growth งวด 2Q59 ที่สูงถึง 3.5% (ทำให้ 1H59 ขยายตัว 3.4%) แต่หากพิจารณาในตลาดแรงงานพบว่าเริ่มส่งสัญญาณชะลอตัวลง ล่าสุดสภาพัฒน์ รายงาน ยอดการจ้างงานงวด 2Q59 หดตัว 0.9%yoy ขณะที่จำนวนคนว่างงาน เพิ่มขึ้น 22.3% แม้อัตราการว่างงาน(Unemployment rate) เพิ่มขึ้นมาที่ 1.08% จาก 0.88% ในงวด 1Q59 (สาเหตุจาก แรงงานถูกเลิกจ้างเพิ่มขึ้น 34% ลาออกเพิ่มขึ้น 3.4%)
ทั้งนี้เชื่อว่าแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในช่วงที่เหลือของปีนี้ ยังคงมาจากมาตรการกระตุ้นจากภาครัฐ ที่มีอย่างต่อเนื่องทุกภาคส่วน ทั้งมาตรการบริโภค มาตรการทางภาษี โครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน (รถไฟฟ้า สีส้ม ชมพู เหลือง มอเตอเวย์ สุวรรณภูมิเฟส 2 ) และ มาตรการส่งเสริมการลงทุน อาทิ ให้สิทธิผู้ยื่นขอ BOI ยกเว้นภาษีนิติบุคคลสูงสุดอยู่ไม่เกิน 8 ปี + ลดหย่อน 50% ไม่เกิน 5 ปี
ล่าสุด BOI ส่งเสริมการลงทุน โรงงานผลิตยา ได้รับยกเว้นภาษีนิติบุคคลเป็นเวลา 5 ปี (เดิมไม่เคยได้รับการยกเว้น) และกลุ่มผู้ผลิตเครื่องมือแพทย์ สำหรับ SMEs สามารถยกเว้นภาษีนิติบุคคล 2 ปี (เดิมไม่เคยได้รับการยกเว้น) มาตรการดังกล่าวจะส่งผลทำให้ต้นทุนทางการแพทย์ลดลง
นอกจากกระทรวงการคลังเตรียมเสนอ ครม. เลื่อนการขึ้นอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) เป็น10% ออกไปอีก 1 ปี (ปัจจุบันเก็บ ที่ 7% ซึ่งจะสิ้นสุดในวันที่ 30 ก.ย.59)
ต้นทุนยามีแนวโน้มลดลง หนุนหุ้นโรงพยาบาล : BDMS, BCH
จากการได้รับสิทธิพิเศษทางภาษีข้างต้น คาดว่าส่งผลบวกต่อหุ้นโรงพยาบาลทุกแห่ง กล่าวคือ จะช่วยให้ต้นทุนการรักษาลดลง โดยเฉพาะ BDMS ที่มีโรงงานผลิตยาเป็นของตัวเอง ประกอบกับในไตรมาส 3 จะเป็นช่วงที่มีจำนวนคนไข้มากกว่าปกติ เพราะเป็นช่วงฤดูร้อนของชาวตะวันตก และในประเทศไทยจะเป็นช่วงฤดูฝน มีคนป่วยจำนวนมากขึ้นจากโรคที่มากับฝน
อย่างไรก็ตาม กลุ่มโรงพยาบาลยังคงมีความเสี่ยงจากผู้ป่วยต่างชาติที่ชะลอการเข้ามาในประเทศไทยโดยเฉพาะกลุ่มตะวันออกกลาง จากปัญหาราคาน้ำมันตกต่ำ (ตะวันออกกลางมีรายได้จากน้ำมันกว่า 70% ของรายได้จากการส่งออก) จึงยังคงให้น้ำหนักกลุ่มเท่ากับตลาด โดยเลือก BDMS(FV@B25) เป็น Top pick ของกลุ่ม เชื่อว่าได้รับผลบวกจากประเด็นดังกล่าวสูงสุด และหากไปใช้ มูลค่าหุ้นปี 2560 จะอยู่ที่ 27 บาท รองลงมาคือ BCH([email protected]) ที่นักวิเคราะห์ ASPS ได้ออกบทวิเคราะห์ล่าสุด พร้อมกับปรับเพิ่มคำแนะนำ จาก Switch เป็นซื้อ โดยปรับมูลค่าพื้นฐานปี 2559 เป็น 12.10 และเพิ่มเป็น 14 บาท ในปี 2560 (จากเดิม 11.20 และ 12.10 บาทตามลำดับ) จากสัญญาณการฟื้นตัวชัดเจน ทั้ง ร.พ. ระดับพรีเมี่ยม (WMC.) และ ร.พ. ประกันรับประกันสังคมที่มีผู้ป่วยเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง (มีผู้ป่วยประกันสังคมกว่า 7.5 แสนราย จากโควต้ารับทั้งหมด 1.1 ล้านราย) อีกทั้งปรับขึ้นค่ายารักษาบางรายการอีก 10-50 % จึงคาดว่าจะทำให้มีรายได้เพิ่มขึ้น
ต่างชาติสลับมาซื้อหุ้นในภูมิภาค แต่ด้วยปริมาณที่ยังน้อย
วานนี้แม้ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์หยุดทำการ เนื่องจากเป็นวัน National Heroes Day แต่ตลาดหุ้นอื่นๆยังคงเปิดทำการเป็นปกติ โดยภาพรวมแล้วพบว่า ต่างชาติสลับมาซื้อสุทธิหุ้นในภูมิภาคอีกครั้ง แต่ด้วยเม็ดเงินที่เบาบางเพียง 112 ล้านเหรียญ และมีตลาดหุ้นอินโดนีเซียที่ถูกสลับมาขายสุทธิราว 11 ล้านเหรียญ (หลังจากซื้อสุทธิ 2 วัน) ส่วนตลาดหุ้นที่เหลืออีก 3 ประเทศ ต่างชาติยังคงซื้อสุทธิ คือ เกาหลีใต้ถูกซื้อสุทธิ 70 ล้านเหรียญ (หลังจากขายสุทธิ 3 วัน) ตามมาด้วยไต้หวันถูกซื้อสุทธิเล็กน้อยราว 2 ล้านเหรียญ (ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 3) และไทยที่ถูกซื้อสุทธิ 52 ล้านเหรียญ หรือ 1.8 พันล้านบาท (หลังจากขายสุทธิเพียงวันเดียว) ต่างกับนักลงทุนสถาบันฯที่ขายสุทธิสูงถึง 2.7 พันล้านบาท
ขณะที่ตลาดตราสารหนี้ไทย นักลงทุนสถาบันในประเทศซื้อสุทธิราว 3.8 พันล้านบาท เช่นเดียวกับนักลงทุนต่างชาติที่ซื้อสุทธิเพียง 1 ล้านบาทเท่านั้น (ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 5)
การปรับฐานยังมีอยู่ ควรปรับพอร์ต ถือหุ้นกำไรดีงวด 2Q59
วานนี้ตลาดหุ้นโลกปรับฐานลง ทั้งในภูมิภาคเอเซีย รวมทั้งตลาดหุ้นยุโรป ผลมาจาก Yellen Speech’s Effect เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาสร้างความกังวลเรื่องการปรับขึ้นดอกเบี้ยอีกครั้ง ล่าสุด ผลสำรวจ Fed Fund Rate ปรากฏโอกาสขึ้นดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นในทุกช่วงจากสัปดาห์ก่อน โดยเดือน ก.ย. อยู่ที่ 36% จากเดิม 32%, เดือน พ.ย. มาอยู่ที่ 40.1% จาก 37.8% และ ธ.ค. มาที่ 61.4% จาก 57.4%
จากสถิติในอดีต พบว่าหลังการกล่าวสุนทรพจน์ที่สำคัญๆ ของนางเยลเลน ตลาดหุ้นมักปรับฐานในด้านลบ โดยเฉพาะในปี 2558 ได้มีการกล่าวถ้อยแถลงทั้งสิ้น 16 ครั้ง ซึ่งพบว่าหลังจากพูดจบ 1 วัน ตลาดหุ้นสหรัฐมักปรับตัวลงเฉลี่ย -0.4% ก่อนจะฟื้นตัวเล็กน้อยราว 0.1% ในอีก 3 วันทำการต่อมา และ ภาพดังกล่าวเกิดขึ้นกับตลาดหุ้นไทย กล่าวคือ SET ปรับลดลงเล็กน้อยเฉลี่ย -0.1% หลังจากวันกล่าวถ้อยแถลง 1 วัน และยังลดลงต่อไป -0.3% ในอีก 3 วันทำการให้หลัง
และ หากเทียบเคียงกับช่วงปลายปีที่แล้ว (16 ธ.ค. 2558) ที่ Fed ขึ้นดอกเบี้ยครั้งแรกในรอบ 7 ปี ดังที่ฝ่ายวิจัยได้กล่าวไปวานนี้ พบว่าตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวลดลงทุกแห่ง นำโดยสหรัฐลดลง 20% หลัง Fed ขึ้นดอกเบี้ย จนถึงจุดต่ำสุดกลางเดือน ก.พ. 2559 ตามมาด้วย ตลาดหุ้นเยอรมัน/DAX ปรับลดหนัก 18.5% ตลาดหุ้นฝรั่งเศส หรือ CAC40 ลดลง 16.7% และ อังกฤษ หรือ FTSE100 แต่ลดลงน้อยกว่าเพียง 9.3% ขณะที่ตลาดหุ้นเอเซียลดลงในลักษณะเดียวกัน
แต่หลังการปรับฐานเสร็จตลาดหุ้นโลกก็ฟื้นตัวกลับมาอีกครั้ง เพราะสหรัฐลดท่าทีการขึ้นดอกเบี้ย และไม่ขึ้นดอกเบี้ยอีกเลยจนถึงปัจจุบัน เป็นที่สังเกตว่านับจาก ก.พ. 2558 เป็นต้นมาตลาดหุ้นสหรัฐ เป็นตลาดพัฒนาแล้วแห่งเดียวที่ตลาดหุ้นฟื้นกลับมาจุดเดิมในปลายปี 2558 และ ยังทำ new high เช่นเดียวกับตลาดหุ้นกลุ่ม TIP (ไทย ฟิลิปปินส์ และ อินโดนีเซีย) ยกเว้น จีน และ มาเลเซีย ที่ยังไม่มาที่จุดเดิม
ส่วนตลาดหุ้นไทย การปรับฐานเกิดขึ้นตั้งแต่ต้นเดือน พ.ย. 2558 จนกระทั่งถึงวันที่ Fed ขึ้นดอกเบี้ยจากดัชนีบริเวณ 1,423 จุด ลงไปสู่ 1300 จุด หรือลงไปกว่า 8.7% และหลังจาก Fed ขึ้นดอกเบี้ยจริง และ ยังลงต่อเนื่องจนถึงกลางเดือน ม.ค. 2559 จนลงไปทำจุดต่ำสุดของปีนี้ที่ 1,220 จุด หรือลงอีกกว่า 5% ทั้งนี้ ฝ่ายวิจัย พบว่า กลุ่มที่เป็นเป้าหมายในการขาย ส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มที่มี Market Cap ขนาดใหญ่ โดยพบว่าอัตราการลดลงของหุ้นใหญ่มากกว่าดัชนีตลาดที่ปรับลดลงอาทิ
สื่อสาร ลดลงราว 35% ในนับจาก Fed ขึ้นดอกเบี้ยถึงกลางเดือน ก.พ. 2558 (DTAC ลดลง 53%, JAS ลดลง 47%, TRUE ลดลง 41%, ADVANC ลดลง 38%, INTUCH ลดลง 32%) นอกจากนี้ การลดลงของกลุ่มนี้ สาเหตุหลักมาจากการประมูลคลื่น 900 MHz ที่มีมูลค่ามหาศาล
พลังงาน ลดลง 20% (PTTEP ลดลง 36%, BANPU ลดลง 32%, PTT ลดลง 29%) บวกกับสาเหตุหลัก คือ ราคาน้ำมันโลกที่อยู่ในระดับต่ำ
ปิโตรฯ ลดลง 18% (PTTGC ลดลง 21%, IVL ลดลง 17%)
ธ.พ. ลดลง 14% (SCB ลดลง 18%, KBANK ลดลง 17%, BAY ลดลง 16%)
ตรงข้ามกับกลุ่มที่สามารถปรับขึ้นได้สวนทางตลาด คือ
โรงพยาบาล เพิ่มขึ้น 8% (BCH เพิ่มขึ้น 39%, CHG เพิ่มขึ้น 14%, BDMS เพิ่มขึ้น 10%)
ขนส่ง เพิ่มขึ้น 5% (BA เพิ่มขึ้น 22%, AAV เพิ่มขึ้น 20%)
กลยุทธ์การลงทุนจึงแนะนำให้ขายหุ้นที่เป็นเป้าหมายในการขายทำกำไร ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นหุ้นที่อิงกับเศรษฐกิจโลก หรือราคาหุ้นเกิน Fair Value ไปแล้ว และแนะนำหุ้นที่เข้าสู่ช่วง High Season หรือหุ้นที่อิงกับเศรษฐกิจในประเทศที่ยังมี upside เหลืออยู่ เช่น
กลุ่มเช่าซื้อ: คาดเติบโตตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ซึ่งจะถูกขับเคลื่อนด้วยการลงทุนภาครัฐ และการบริโภคภาคครัวเรือน เป็นผลดีต่อ ASK([email protected]), KCAR ([email protected]) และ S11([email protected])
กลุ่มสายการบิน: 3Q59 เป็นช่วง high season ฤดูกาลท่องเที่ยวในฝั่งเกาะสมุย ซึ่งเป็นประโยชน์โดยตรงต่อ BA ([email protected]) ซึ่งมีฐานรายได้จากเส้นทางบินไปสู่เกาะสมุยสูงที่สุด
กลุ่มเกษตร-อาหาร: ฤดูกาลส่งออกอาหารสู่ต่างประเทศ และแนวโน้มราคาไก่ – หมู ที่สูงขึ้น ผลักดันผลประกอบการ 2H59 โดดเด่น เลือก CPF (FV@B40), GFPT (FV@B17), BR(FV@Bxx)
กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์: เข้าสู่ช่วง high season ของอุตสาหกรรมชิ้นส่วนฯ ทั่วโลก หนุนคำสั่งซื้อจากลูกค้าต่างประเทศเพิ่มขึ้น เลือก SVI (FV@B6), HANA (FV@B42) และ DELTA (FV@B80)
กลุ่มโรงพยาบาล นอกจากจะเข้าสู่ช่วงฤดูกาล ซึ่ง BDMS (FV@B25) โดดเด่นสุดแล้ว ยังได้ประโยชน์จากการที่ BOI มีมติยกเว้นภาษีกิจการผลิตยา 5 - 8 ปี ดังกล่าวข้างต้น ซึ่ง BDMS มีธุรกิจที่ผลิตยาอยู่แล้ว จึงได้รับประโยชน์จากต้นทุนที่ลดลง
ภรณี ทองเย็น เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004146
เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004132
พบชัย ภัทราวิชญ์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 052647
ภราดร เตียรณปราโมทย์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 075365
พาสุ ชัยหลีเจริญ ผู้ช่วยนักวิเคราะห์
กฤต ชาติเชิดศักดิ์ ผู้ช่วยนักเศรษฐศาสตร์