- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Friday, 19 August 2016 16:21
- Hits: 1005
บล.เอเซียพลัส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
กลยุทธ์การลงทุน
ดัชนีน่าจะติด 1550-1560 จุด ต่างชาติมีแนวโน้มชะลอการซื้อ ขณะที่หุ้นขับเคลื่อนตลาดยังเป็นหุ้นอิงตามการฟื้นตัวของราคาน้ำมัน (ดีต่อ PTT, PTTEP) ทำให้การขายทำกำไรรายหุ้นที่ให้ผลตอบแทนสูงหรือมี upside จำกัด ยังเน้นเลือกสะสมหุ้น laggard และมี upside (TMB, RATCH, BH, BDMS) วันนี้ยังเลือก Top picks PTT(FV@B400) และ TFG([email protected])
เศรษฐกิจอาเซียน ฟื้นตัวสอดคล้องกัน sentiment เชิงบวกต่อตลาด
ท่ามกลางเศรษฐกิจโลกที่ยังฟื้นตัวล่าช้า หรือยังมีปัญหา โดยเฉพาะในฝั่งสหภาพยุโรป หลังจากที่อังกฤษกำลังจะถอนตัวออกจากสภาพยุโรป จะมีน้ำหนักกดดันการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐมากน้อยเพียงใด แต่ปัญหานี้จะค่อย ๆ เกิดและกินเวลา แต่ทำให้ตลาดน่าจะมีหวังว่าธนาคารกลางโลกจะใช้นโยบายการเงินผ่อนคลายต่อเนื่อง ซึ่งน่าจะดีต่อปริมาณเงินในตลาดที่สูงขึ้น และเป็นเหตุผลทำให้เม็ดเงินหลั่งไหลจากประเทศที่ให้ผลตอบแทนต่ำ (GDP Growth/EPS growth ต่ำ) มายังประเทศที่มีเศรษฐกิจ และ แนวโน้มกำไรตลาดที่ดีขึ้น ซึ่งประเทศกำลังพัฒนาในภูมิภาคเอเซียน่าจะเป็นเป้าหมายของเงินทุนไหลเข้า
ล่าสุด สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ (Moody’s) ปรับเพิ่มคาดการณ์ GDP Growth ปี 2559 ของจีน มาอยู่ที่ 6.6% จากเดิมคาดไว้ที่ 6.3% แต่ถือว่าใกล้เคียงกับที่ IMF คาด 6.5% ขณะที่เศรษฐกิจในภูมิภาคอาเซียนมีทิศทางขยายตัวดีต่อเนื่องทุกประเทศ สะท้อนจาก GDP Growth งวด 2Q59 มีแนวโน้มดีขึ้นเป็นส่วนใหญ่ กล่าวคือ ฟิลิปปินส์ GDP Growth ขยายตัว 7% เร่งจาก 6.8% ในงวด 1Q59 และ อินโดนีเซีย ขยายตัว 5.2% จาก 4.9% งวด 1Q59 ยกเว้นมาเลเซีย ชะลอตัว 4% จาก 4.2%
ส่วนไทยงวด 2Q59 พบว่าขยายตัว 3.5% เร่งจาก 3.2% ในงวด 1Q59 และคาดว่าน่าจะมีแนวโน้ม ดีขึ้นในงวด 2H59 หลังจากผ่านการลงประชามติผ่าน ซึ่งน่าจะทำให้ภาคเอกชนมีความมั่นใจและกลับมาลงทุนอีกครั้ง หลังจากที่ภาครัฐได้เดินหน้าลงทุนในสาธารณูปโภคต่อเนื่อง ด้วยเหตุนี้ทำให้ สำนักเศรษฐกิจทั้งภาครัฐและเอกชนเริ่มทยอยปรับคาดการณ์ GDP Growth ปี 2559 แต่ก็ขึ้นมา ใกล้เคียงกับที่ ASPS คาดที่ 3.5% เนื่องจากก่อนหน้านี้ได้ทำประมาณการต่ำเกินไป
ต่างชาติเริ่มกลับมาซื้อหุ้นในภูมิภาคอีกครั้ง
วานนี้ Fund Flow เริ่มไหลกลับเข้ามาสู่ตลาดหุ้นภูมิภาคด้วยภาวะปกติอีกครั้ง โดยมียอดซื้อสุทธิราว 462 ล้านเหรียญ (เม็ดเงินดังกล่าวมีปริมาณใกล้เคียงกับยอดซื้อสุทธิสะสมเฉลี่ยในสัปดาห์ก่อนที่ 544 ล้านเหรียญ) และเป็นการซื้อสุทธิเกือบทุกตลาดยกเว้นเพียงตลาดหุ้นฟิลิปปินส์เท่านั้นที่ยังคงถูกขายสุทธิราว 11 ล้านเหรียญ (ขายสุทธิต่อเนื่องเป็นวันที่ 5) ตลาดหุ้นที่เหลือยังคงซื้อสุทธิ นำโดยเกาหลีใต้ซื้อสุทธิสูงสุดในภูมิภาคราว 205 ล้านเหรียญ ตามมาด้วยไต้หวัน 148 ล้านเหรียญ, อินโดนีเซีย 108 ล้านเหรียญ และไทย 12 ล้านเหรียญ หรือ หรือ 418 ล้านบาท เช่นเดียวกับนักลงทุนสถาบันฯที่สลับมาซื้อสุทธิ 1.8 พันล้านบาท (หลังจากขายสุทธิต่อเนื่อง 6 วัน)
และหากกลับมาดูเฉพาะตลาดหุ้นไทย พบว่า ตั้งแต่ต้นปีจนถึงต่างชาติซื้อสุทธิสูงถึง 1.1 แสนล้านบาท (ytd) ซึ่งเม็ดเงินดังกล่าวคิดเป็นสัดส่วน 10% ของเม็ดเงินที่ซื้อรวมกัน 5 ประเทศ นับว่าสูงกว่าที่เคยเกิดขึ้นในอดีตร โดยเฉพาะในปี 2552 (หลังฟื้นจากวิกฤตซับไพร์ม) พบว่าต่างชาติซื้อหุ้นไทยมีสัดส่วนเพียง 3% ของเม็ดเงินที่ซื้อรวมกัน 5 ประเทศ เท่านั้น สะท้อนว่าต่างชาติมีความสนใจตลาดหุ้นไทยมากขึ้นเมื่อเทียบกับในอดีต แต่อย่างไรก็ตาม SET ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นไปแล้ว กว่า 20.11% (ytd) ซึ่งสูงสุดในตลาดหุ้นภูมิภาคเมื่อเทียบกับ (อินโดนีเซีย 18.91%, ฟิลิปปินส์ 14.30%, ไต้หวัน 9.41% และเกาหลีใต้ 4.87%) ซึ่งยังไม่รวมผลตอบแทนจากอัตราแลกเปลี่ยนจากเงินบาทที่แข็งค่าราว 1% ในช่วง 1 เดือนเศษ จึงมีโอกาสาระวังแรงขายทำกำไรในช่วงสั้น
แม้ใช้ดัชนีเป้าหมายปี 2560 แต่ upside จำกัด และยังให้เลือกสะสมรายหุ้น
แม้กระแส Fund Flow จากนักลงทุนต่างชาติ จะยังคงไหลเข้าสู่ตลาดหุ้นไทย ตั้งแต่ต้นปีจนถึงล่าสุด มียอดซื้อสุทธิสะสมรวมกว่า 1.06 แสนล้านบาท แต่แรงซื้อก็เริ่มแผ่วลงในช่วงหลัง โดยมีข้อสังเกตจากนักลงทุนต่างชาติที่เปิดสถานะ Short สุทธิ 9 วันติดต่อกันรวม 2.7 หมื่นสัญญา จึงอาจมีการ take profit ระยะสั้น เช่นเดียวกับมีแรงงขายจากนักลงทุนสถาบันในประเทศ ที่มีการขายสุทธิออกมาหนักๆ กว่า 6 วันติดต่อกัน
ขณะที่ในเชิงปัจจัยพื้นฐานแม้จะมีมุมมองที่ดีขึ้นหลัง ผลประกอบการ 1H59 ที่ออกมาดีกว่าคาด ทำให้ฝ่ายวิจัยจะปรับประมาณการกำไรปีนี้ขึ้นสู่ 8.60 แสนล้านบาท จาก 8.44 แสนล้านบาท คิดเป็น EPS ที่ 90.14 บาท หรือเพิ่มขึ้น 1.7% จากประมาณการเดิมที่ 88.66 บาท และปีหน้าปรับขึ้นสู่ 9.4 แสนล้านบาท จาก 9.30 แสนล้านบาท คิดเป็น EPS ที่ 98.5 บาท หรือเพิ่มขึ้น 1% จากประมาณการเดิมที่ 97.65 บาท และทำให้ปรับเพิ่มดัชนีเป้าหมายปี 2559 ขึ้นจากเดิมที่กำหนดโดยใช้ Expected P/E 16.3 เท่า (earning yield gap) ที่ 4.75% ได้ดัชนีเป้าหมายปี 2559 เพิ่มจากเดิม 1,450 จุด เป็น 1,470 จุด ซึ่งถือว่าได้เกินดัชนีเป้าหมายปีนี้ไปแล้วกว่า 4% และแม้จะหันไปใช้ดัชนีเป้าหมายปี 2560 ภายใต้ประมาณการใหม่ จะอยู่ที่บริเวณ 1,580 จุด อิง P/E 16 เท่า แม้จะยังมี upside แต่ก็มามากนักเพียง 2.1% เท่านั้น
โดยรวมถึงคาดว่าตลาดหุ้นนับจากนี้มีความเสี่ยงต่อการปรับฐานได้ตลอดเวลา กลยุทธ์การลงทุน ยังเน้นไปยังหุ้นที่มีผลประกอบการเติบโตโดดเด่น และราคายัง laggard กว่าตลาด อาทิ
เข้าสู่ช่วง High Season ได้แก่ 1) หุ้นกลุ่มอาหาร โดยเฉพาะธุรกิจหมู-ไก่-กุ้ง ที่ได้อานิสงส์จากการเข้าสู่ช่วง High Season ช่วยหนุน Demand มากขึ้น ประกอบกับราคาหมูและไก่ที่ยังทรงตัวในระดับสูงต่อเนื่อง ส่วนราคากุ้งกำลังอยู่ในช่วงฟื้นตัว ฝ่ายวิจัยยังคงแนะนำ TFG ([email protected]) รวมทั้ง GFPT (FV’60@B17) และ CPF (FV@B40) และ 2) หุ้นกลุ่ม ร.พ. แม้ผลประกอบการช่วงครึ่งปีแรกจะไม่ค่อยดีนัก แต่คาดว่าในช่วง 3Q59 กลุ่ม ร.พ.น่าจะมีผลประกอบการที่ดีขึ้น โดยเฉพาะ BH (FV@B202) ที่มีรายได้หลักจากกลุ่มตะวันออกกลาง เนื่องจากเป็นช่วงวันหยุดภาคฤดูร้อนของชาวตะวันออกกลาง จึงเชื่อว่าน่าจะเดินทางมารับการรักษาเพิ่มขึ้น รวมทั้ง BDMS (FV@B25) ได้ประโยชน์จากช่วงฤดูร้อนของชาวตะวันออก และโรคที่มากับฤดูฝนในไทย ฝ่ายวิจัยจึงแนะนำซื้อทั้ง 2 บริษัท
หุ้นน้ำมัน ที่ได้ปัจจัยหนุนจากการปรับขึ้นแรงของราคาน้ำมันโลก คือ PTTEP(FV@B89) ที่ราคาหุ้นยัง Laggard แม้ราคาตลาดจะมี upside เหลือ 7.8% แต่หากไปใช้ fair value ปี 2560 ที่ 108 บาทจะมี upside 30.9% ขณะที่ PTT(FV@B342) แม้เต็มมูลค่าปีนี้แต่หากไปใช้ Fair Value ปี 2560 จะอยู่ 400 บาท มี upside 15.2%
หุ้นที่ได้ประโยชน์จากการแข็งค่าของเงินบาท โดยเฉพาะหุ้นที่มีหนี้สินเป็นสกุลเงินต่างประเทศ อาทิ BJC (FV@B47), TPIPL ([email protected])
ภรณี ทองเย็น เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004146
เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004132
พบชัย ภัทราวิชญ์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 052647
ภราดร เตียรณปราโมทย์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 075365
พาสุ ชัยหลีเจริญ ผู้ช่วยนักวิเคราะห์
ฐกฤต ชาติเชิดศักดิ์ ผู้ช่วยนักเศรษฐศาสตร์