WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

DBS copyบล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน

 

“เลือกซื้อ/ถือค่าบวก”
• หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : ไม่มี
      ปัจจัย&กลยุทธ์ทางปัจจัยพื้นฐาน : SET Index เมื่อวานนี้ปิดลดลง 5.89 จุดที่ 1531.63 โดยเป็นการพักฐานหลังจบรายงานผลประกอบการไตรมาส 2/59 และความกังวลเรื่องเฟดปรับขึ้นดอกเบี้ยทำให้ตลาดชะลอการลงทุนและรอดูรายงานการประชุมเฟดประจำเดือนก.ค.59 ที่รายงานในคืนวันพุธ (เวลาไทย) ก่อน นักลงทุนต่างชาติพลิกกลับมาซื้อสุทธิ 1.3 พันล้านบาท พอร์ตบล.ซื้อสุทธิ 877 ล้านบาท รายยย่อยซื้อสุทธิ 2.4 พันล้านบาทส่วนสถาบันในประเทศเป็นกลุ่มเดียวที่ขายสุทธิ 4.6 พันล้านบาท

     ตลาดแกว่งตัวต่อ โดยรายงานการประชุม FOMC เดือนก.ค.59 บ่งชี้ว่าคณะกรรมการมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องระยะเวลาปรับขึ้นดอกเบี้ยของสหรัฐ ขณะที่จบปัจจัยเรื่องผลประกอบการ 2Q59 แล้ว อย่างไรก็ดี การเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันดิบเพราะประเมินว่าอุปทานจะค่อยๆลดลงทำให้หุ้นกลุ่มพลังงานมีแนวโน้มดีขึ้นและน่าจะช่วยพยุงตลาดไม่ให้ร่วงแรง ปัจจัยติดตาม คือ การประชุมประจำปีของเฟดที่เมืองแจ็คสัน โฮล รัฐไวโอมิ่ง ในวันที่ 26 ส.ค.นี้ ซึ่งตลาดรอฟังถ้อยแถลงของประธานเฟดเพื่อหาสัญญาณการปรับขึ้นดอกเบี้ย สำหรับในประเทศ เป็นการติดตามความคืบหน้าของโครงการลงทุนภาครัฐ ซึ่งเป็นความหวังที่จะช่วยกระตุ้นให้เกิดกิจกรรมเศรษฐกิจในภาคส่วนอื่นตามมา สำหรับภาคท่องเที่ยวนั้นยังเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง และเป็น Key growth สำคัญอีกส่วนหนึ่งของเศรษฐกิจไทยในปีนี้ การอ่อนตัวของราคาหุ้นในกลุ่มท่องเที่ยวเป็นจังหวะในการทยอยซื้อสะสมเพื่อการลงทุน หุ้นเด่น คือ AOT (ราคาพื้นฐาน 470 บาท), AAV (ราคาพื้นฐาน 8.30 บาท), MINT (ราคาปิด 50 บาท) กลยุทธ์การลงทุน : ยังเป็นการเลือกซื้อ/ถือหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดีและยังเหลือ Upside พอควร, มีหุ้นอยู่ก็ควรพิจารณาแบ่งขายทำกำไรเมื่อราคาหุ้นปรับขึ้นสูงกว่าเป้าหมายที่ประเมินอย่าง Aggressive ไปแล้ว สำหรับหุ้นเชิงกลยุทธ์แนะนำวันนี้เป็น AAV

     การวิเคราะห์ทางเทคนิค : ภาพตลาดเป็นลบโดยยังอยู่ภายใต้ภาวะ Overbought + Divergence แต่ยังไม่ตัดประเด็นเรื่องการรีบาวด์ ซื้อใหม่จึงเน้นตามด้วยค่าบวกและเมื่อ SET ไม่ต่ำกว่า 1530 จุด แต่ถ้าต่ำกว่าก็รอรับที่แนวเด้ง 1500+/- จุด ส่วนแนวต้านให้ไว้ที่ 1540-1550, 1560 จุด หุ้นที่มีสัญญาณทางเทคนิคดี ประกอบด้วย SENA, TTCL, JMART, TPIPL, PTTGC, MALEE, VGI, ATP30

      นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค – [email protected]

Need to know TODAY
ปัจจัยต่างประเทศ
• สหรัฐ : คณะกรรมการเฟดยังมีความเห็นแตกต่างในเรื่องระยะเวลาปรับขึ้นดอกเบี้ยรายงานการประชุม FOMC ประจำวันที่ 26-27 ก.ค.59 ที่เปิดเผยเมื่อวานนี้ (17 ส.ค.59) บ่งชี้ว่ากรรมการเฟดยังคงมีความคิดเห็นที่แตกต่างกันเกี่ยวกับช่วงเวลาในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย โดยบางส่วนมองว่าเฟดควรรอให้อัตราเงินเฟ้อปรับตัวขึ้นสู่ระดับเป้าหมายที่ 2% ก่อนที่จะตัดสินใจปรับขึ้นดอกเบี้ย ขณะที่กรรมการอีกส่วนหนึ่งเห็นว่าภาวะเศรษฐกิจของสหรัฐจะสามารถปรับตัวรับมือกับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยได้

•/- สหรัฐ : จำนวนยื่นขอกู้ที่พักอาศัยลดลงในสัปดาห์ก่อนสมาคมนายธนาคารเพื่อการจำนอง (MBA) ของสหรัฐ เปิดเผยว่า จำนวนผู้ยื่นขอสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยลดลง 4% ในสัปดาห์สิ้นสุด 12 ส.ค.แตะระดับต่ำสุดในรอบ 6 เดือน ขณะที่ดัชนียื่นขอสินเชื่อเพื่อการรีไฟแนนซ์ ร่วงลง 4% แม้ว่าอัตราดอกเบี้ยเงินกู้เพื่อที่อยู่อาศัยร่วงลงก็ตาม

+ตลาดหุ้นสหรัฐ : รีบาวด์ & ปิดบวกเล็กน้อยดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 18,573.94 จุด เพิ่มขึ้น 21.92 จุด หรือ +0.12% ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 5,228.66 จุดเพิ่มขึ้น 1.55 จุด หรือ +0.03% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,182.22 จุด เพิ่มขึ้น 4.07 จุด หรือ +0.19% เนื่องจากความเห็นของคณะกรรมการ FOMC เรื่องระยะเวลาปรับขึ้นดอกเบี้ยยังแตกต่างกัน ทำให้ตลาดคาดว่าเฟดอาจยังไม่ปรับขึ้นดอกเบี้ยเร็วๆนี้ นอกจากนั้นราคาน้ำมันดิบที่ปรับขึ้นก็ช่วยหนุนหุ้นกลุ่มพลังงานด้วย

+ ราคาน้ำมันดิบ : ปรับขึ้นต่อหลังสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐร่วงลงสัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.ย.เพิ่มขึ้น 21 เซนต์ หรือ 0.5% ปิดที่ 46.79 ดอลลาร์/บาร์เรล ด้าน BRENT ส่งมอบเดือนต.ค.เพิ่มขึ้น 62 เซนต์ หรือ 1.3% ปิดที่ 49.89 ดอลลาร์/บาร์เรล ทั้งนี้ EIA ระบุว่า สต็อกน้ำมันดิบสหรัฐลดลง 2.5ล้านบาร์เรล สู่ระดับ 521.1 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ก่อน ซึ่งลดลงครั้งแรกในรอบ 4 สัปดาห์ รวมทั้งสต็อกน้ำมันเบนซินลดลง 2.7 ล้านบาร์เรล (ลดลงมากกว่า 2 ล้านบาร์เรลเป็นสัปดาห์ที่ 3 ติดต่อกัน) ส่วนสต็อกน้ำมันกลั่นเพิ่มขึ้น 1.9 ล้านบาร์เรล นอกจากนั้นธนาคารยูบีเอสคาดการณ์ว่าการผลิตน้ำมันดิบของกลุ่มโอเปกอาจลดลงในเดือนส.ค.59 ท่ามกลางความไม่สงบในหลายประเทศ หลังจากที่การผลิตน้ำมันดิบของโอเปกพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 8 ปีเมื่อเดือนที่แล้ว

- ราคาทองคำ ; กลับมาอ่อนลงก่อนเปิดเผยรายงานประชุม FOMC รอบก.ค.59สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค.ลดลง 8.1 ดอลลาร์ หรือ 0.6% ปิดที่ระดับ1,348.8 ดอลลาร์/ออนซ์ เนื่องจากนักลงทุนชะลอการซื้อขายก่อนที่เฟดจะเปิดเผยรายงานการประชุมประจำวันที่ 26-27ก.ค.

ปัจจัยในประเทศ & หุ้นเด่น
      • ADVANC : มีข่าวว่าสิงเทลจะซื้อหุ้น INTUCHมีกระแสข่าวว่า "สิงเทล" กำลังหารือกับ "เทมาเส็ก" เรื่องการซื้อหุ้น INTUCH บางส่วนจากทั้งหมดที่เทมาเส็กถืออยู่ 40.5%หวังที่จะเพิ่มบทบาทธุรกิจโทรคมนาคมในไทย ด้านซีอีโอของ ADVANC ชี้ว่าถ้าข่าวดังกล่าวเป็นจริงก็ยังมั่นใจว่าแม้มีการเปลี่ยนแปลงสัดส่วนหุ้น แต่การบริหารงานทุกอย่างจะคงเดิม ขณะสถาบันจัดอันดับเครดิต "ฟิชท์" เตือนหากดีลเกิดขึ้นจริงอาจกระทบต่ออันดับความน่าเชื่อถือของสิงเทล เพราะใช้เงินก้อนใหญ่ในการเข้าซื้อ

      ทั้งนี้ปัจจุบัน INTUCH มีจำนวนหุ้นเรียกชำระแล้ว 3,206 ล้านหุ้น ราคาพาร์ 1 บาท มี Market Cap ประมาณ 2 แสนล้านบาท นักวิเคราะห์ใน IAA Consensus ให้ราคาเป้าหมายเฉลี่ยเท่ากับ 66 บาท โดยผู้ถือหุ้นใหญ่ คือ เทมาเส็ก (ในนามบริษัท แอสเพน โฮลดิ้งส์ จำกัด) เท่ากับ 40.5%

       สำหรับ ADVANC มีจำนวนหุ้นเรียกชำระแล้ว 2,973 ล้านหุ้น ราคาพาร์ 1 บาท มี Market Cap 5.13 แสนล้านบาทนักวิเคราะห์ DBS ให้ราคาพื้นฐานไว้ที่ 175 บาท ส่วน IAA Consensus อยู่ที่ 191 บาท ผู้ถือหุ้นใหญ่ คือ INTUCH ที่40.45% และสิงเทล 23.32% (ในนาม SINGTEL STRATEGIC INVESTMENTS PTE LTD)

       ถ้าสิงเทลเข้าไปซื้อหุ้น INTUCH จากเทมาเส็กทั้งหมด 40.5% ก็จะกลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ที่สุด และจะถือหุ้น ADVANCโดยอ้อม 16.38% เมื่อรวมกับที่ถือ ADVANC โดยตรง 23.32% แล้วจะเป็นการถือหุ้นใน ADVANC รวมทั้งสิ้น 39.70% ซึ่งเราต้องติดตามกันต่อว่าดีลนี้จะมีการซื้อขายหุ้นที่ราคาเท่าไรและจะมีการทำเทนเดอร์ ออฟเฟอร์หรือไม่

+ AAV (ราคาปิด 7.35 บาท, ราคาพื้นฐาน 8.30 บาท) – แนวโน้มกำไรแข็งแกร่งแนวโน้มผลประกอบการดีต่อเนื่อง และบริษัทได้ส่วนแบ่งการตลาดเพิ่มขึ้น โดยทางไทยแอร์เอเซียมีเป้าหมายยอดเติบโตผู้โดยสารปีนี้ 14.5% เป็น 17 ล้านคน โดยใน 1H59 สามารถเติบโตได้ถึง 17.8%YoY ทำให้คาดว่าเป้าหมายทั้งปีที่ตั้งไว้จะสามารถบรรลุได้ไม่ยาก ความต้องการใช้บริการการบินต้นทุนต่ำยังคงแข็งแกร่ง ทั้งจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ ซึ่งในช่วง7M59 จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เข้ามาไทยเติบโตแกร่ง 11.7%YoY และผู้โดยสารในประเทศ (ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นการใช้ทดแทนการเดินทางด้วยรถไฟ รถทัวร์ และรถส่วนตัว เพราะราคาแตกต่างกันไม่มาก และใช้เวลาเดินทางน้อยกว่ามาก)สำหรับต้นทุนดำเนินงานในปีนี้ก็ต่ำลง โดยเฉพาะต้นทุนน้ำมันที่ลดลงไปมาก และแม้ว่า Yield จะอ่อนลงจากการแข่งขันที่สูง แต่มาร์จิ้นยังขยายตัวได้จากต้นทุนที่ต่ำลงมากกว่า เราประมาณการว่ากำไรสุทธิปี 59-60 ของ AAV จะเติบโต 86%และ 10% ตามลำดับ แนะนำซื้อ ปรับราคาพื้นฐานขึ้นเป็น 8.30 บาท

นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค – [email protected]

 

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!