WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

ASP copyบล.เอเซียพลัส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน



กลยุทธ์การลงทุน
      Fund Flow ยังหนุนหุ้นไทยต่อเนื่อง คาดมีโอกาสทดสอบ 1,560 จุด กลยุทธ์สะสมหุ้นขนาดใหญ่-กลางยังมี upside (BBL, TMB, PTTEP, RATCH, BH, BDMS) วันนี้เลือก PTTEP(FV@B89) เป็น Top pick เพราะตราบที่ Dollar Index ทรงตัว-อ่อนค่า หนุนน้ำมันระยะสั้น แม้จะมีกรอบจำกัด 41-45 เหรียญฯ ก็ตาม

ม. หอการค้าไทยนำร่องปรับเพิ่ม GDP Growth ตอบรับการเมืองที่เริ่มสดใส
       ทิศทางเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่อง ตามแผนการที่ภาครัฐพยายามดำเนินมาก่อนหน้า ผ่านมาตรการกระตุ้นฯ และโครงการลงทุนขนาดใหญ่ที่ทยอยอนุมัติและเปิดประมูลไปก่อนหน้านี้ เชื่อว่าเอกชนจะมีความเชื่อมั่นและเดินหน้าลงทุนหลังจากที่ชะลอในช่วงก่อนหน้า ปัจจัยดังกล่าวข้างต้นทำให้สถาบันเศรษฐกิจกลับมามีมุมมองเชิงบวกต่อเศรษฐกิจไทยเพิ่มขึ้น สะท้อนจากวานนี้ ม.หอการค้าไทย ได้นำร่องปรับเพิ่มคาดการณ์ GDP Growth ปี 2559 เป็น 3.3% จากเดิม 3% เทียบกับ ASPS คาดที่ 3.5% (สูงกว่าที่ Consensus คาดเฉลี่ยที่ 3%) ผ่านสมมติฐาน (C) ที่ 2.5% (I) ที่ 4% (G) 3.5% ขณะที่การค้าระหว่างประเทศ (X) รูปดอลลาร์ ติดลบ 1.5% และ (M) รูปดอลลาร์ ติดลบ 3%
       อย่างไรก็ตาม ปัจจัยภายนอกจากผลกระทบ Brexit และเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าที่ชะลอตัว น่าจะกดดันต่อการส่งออก (X) ให้ชะลอตลอดปีนี้ รวมถึงการบริโภค(C) ซึ่งชะลอลงจากผลกระทบจากภัยแล้ง แม้จะชดเชยจากมาตรการกระตุ้นของภาครัฐ สะท้อนจากดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค CCI ที่ฟื้นตัวครั้งแรก (หลังจากหดตัว 7 เดือนติด) อย่างไรก็ตามให้น้ำหนักต่อการรายงาน GDP Growth งวด 2Q59 โดยสภาพัฒน์ วันที่ 15 ส.ค. โดย Consensus ประเมินที่ 3.3% ใกล้เคียงกับงวด 1Q59 ที่ 3.2% หากออกมาดีกว่าที่คาดจะลดโอกาสการปรับลดประมาณการในระยะถัดไป

การเมือง กับ Fund Flow ยังเดินหน้าไปในทิศทางบวก
      ตามกรอบเวลาทางการเมืองหลังจากที่ กกต. ประกาศผลการออกเสียงประชามติอย่างเป็นทางการแล้ว จะเป็นกระบวนการเพื่อนำขึ้นทูลเกล้าฯ ซึ่งมีอยู่ 3 ขั้นตอนใช้เวลาประมาณ 90 วัน เริ่มจาก กรรมการร่างรัฐธรรมนูญต้องนำเนื้อความในคำถามพ่วงที่ผ่านความเห็นชอบจากประชามติบรรจุเข้าไว้ในร่างรัฐธรรมนูญภายใน 30 วัน หลังจากนั้นส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาซึ่งต้องใช้เวลาไม่เกิน 30 วัน และนำส่งให้นายกรัฐมนตรีนำขึ้นทูลเกล้าฯ ภายใน 30 วัน และเมื่อทรงโปรดเกล้าฯ ลงมาแล้วก็จะลงประกาศในราชกิจจานุเบกษาให้มีผลบังคับใช้ ซึ่งน่าจะเป็นช่วงราวกลางเดือน พ.ย. หรือ ต้นเดือน ธ.ค. 2559 เมื่อรัฐธรรมนูญมีผลบังคับใช้ก็จะเข้าสู่กระบวนการในการร่างกฎหมายลูกประกอบรัฐธรรมนูญ ซึ่งมีราว 10 ฉบับ โดย 4 ฉบับเป็นกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้งซึ่งต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 240 วัน (8 เดือน) ซึ่งควรแล้วเสร็จในช่วงเดือน ก.ค.- ส.ค.2560 แล้วนำไปสู่การจัดการเลือกตั้งในอีก 150 วัน (5 เดือน) ข้างหน้า ซึ่งก็จะตกลงในช่วงประมาณเดือน ธ.ค. 2560 หรือ ม.ค. 2561

       แต่หากประเมินจากจุดยืนของ คสช. แล้ว เป็นไปได้ที่จะเห็นการเร่งรัดกระบวนการให้สามารถจัดการเลือกได้ภายในปี 2560
จากเส้นทางการเมืองที่สามารถกำหนดกรอบเวลาได้ชัดเจนดังกล่าว ทำให้ระดับความเสี่ยงจากปัจจัยการเมืองปรับลดลงในสายตานักลงทุน และทำให้ Fund Flow ซึ่งมีอยู่มากมายในระบบไหลเข้ามาหาผลตอบแทนในตลาดหุ้น เห็นได้จากยอดซื้อสุทธิของนักลงทุนต่างชาติจาก 15 ก.พ.2559 จนถึงวานนี้เพิ่มขึ้นเป็น 1.09 แสนล้านบาท โดยประเมินต้นทุนอยู่ที่ SET Index บริเวณ 1446 จุด และดูเหมือนว่า Fund Flow ยังจะมี Momentum ในการไหลเข้ามาสู่ตลาดหุ้นไทยอย่างต่อเนื่อง และเป็นไปได้ที่จะทำให้ SET Index ปรับขึ้นไปใกล้บริเวณ 1590 จุดมากขึ้น โดยที่บริเวณดังกล่าวมีความสำคัญใน 2 ความหมายคือ เป็นบริเวณที่มีค่า PER สิ้นปี 2559 ที่ประมาณ 18 เท่า อันเป็นจุดสูงสุดของค่า PER นับจากกลางปี 2556 และยังเป็นเป้าหมาย SET Index สิ้นปี 2560 บนฐาน Market Earning Yield Gap บริเวณ 4.75% แต่อย่างไรก็ตามต้องพิจารณาในแง่มุมของความเสี่ยงด้วย เพราะทุกครั้งที่ SET Index ปรับตัวขึ้นก็จะทำให้ค่า PER และ ความเสี่ยงในการลงทุนปรับสูงขึ้นตามไปด้วย ซึ่งนักลงทุนต้องเพิ่มความระมัดระวังในการ Trading

ดอลลาร์ยังแกว่งในทิศทางอ่อนค่า ดีต่อหุ้นน้ำมัน
       ดอลลาร์ยังมีแนวโน้มทรงตัวถึงอ่อนค่า (ล่าสุด Dollar Index อยู่ที่ 96.05 จุด) น่าจะหนุนให้ราคาน้ำมันแกว่งตัวขึ้น แต่น่าจะอยู่ในกรอบจำกัด เนื่องจากปัญหา Oversupply ยังมีอยู่ใน 2H59 ล่าสุด EIA ได้ปรับคาดการณ์กำลังผลิตน้ำมันดิบสหรัฐระยะสั้นลดลงช้ากว่าคาด (ปี 2559 8.73 ล้านบาร์เรลต่อวัน ลดลงจากปีก่อน 7.1%) แต่จะเริ่มกลับมาสมดุลใน 1H60 จึงประเมินว่าราคาน้ำมันดิบดูไบในช่วงที่เหลือของปีนี้น่าจะแกว่งตัวในกรอบ 40-45 เหรียญฯ ต่อบาร์เรล สอดคล้องกับคาดการณ์ของ ASPS ที่คาดการณ์ราคาน้ำมันดิบดูไบ เฉลี่ยปี 2559 ที่ 45 เหรียญฯต่อบาร์เรล ปี 2560 ที่ 50 เหรียญฯต่อบาร์เรล ปี 2561 ที่ 60 เหรียญต่อบาร์เรล และเพิ่มขึ้นไปคงที่ระดับ 65 เหรียญฯต่อบาร์เรล ตั้งแต่ปี 2562 เป็นต้นไป
ล่าสุดราคาน้ำมันดูไบอยู่ที่ 41.45 เหรียญฯต่อบาร์เรล ปรับขึ้น 7.16% จากจุดต่ำสุด 29 ก.ค. ซึ่งน่าจะ หนุนหุ้นน้ำมัน โดยเฉพาะ PTTEP(FV@B89) ที่ราคาหุ้นยัง Laggard แม้ราคาตลาดจะมี upside เหลือ 8.21% แต่หากไปใช้ fair value ปี 2560 ที่ 108 บาทจะมี upside 31% (แต่ PTTEP ขึ้น XD แล้ววานนี้ เงินปันผล 0.75 บาท จึงทำให้ราคาปรับตัวลดลงเล็กน้อย) ขณะที่ PTT(FV@B342) มี upside จำกัด หรือแม้จะหันไปใช้ Fair Value ปี 2560 จะอยู่ที่ 392 บาท มี upside 16%

Fund Flow ยังคงถาโถมเข้ามาในตลาดหุ้นภูมิภาค โดยเฉพาะตลาดหุ้นไทย
      Fund Flow ระลอกใหม่ยังคงถาโถมเข้ามาในตลาดหุ้นภูมิภาคต่อเนื่องเป็นวันที่ 4 ด้วยมูลค่าราว 676 ล้านเหรียญ และเป็นการกลับมาซื้อสุทธิทั้ง 5 ประเทศอีกครั้ง นำโดยตลาดหุ้นไต้หวันซื้อสุทธิสูงสุดในภูมิภาคราว 225 ล้านเหรียญ (ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 4) ตามมาด้วยเกาหลีใต้ 219 ล้านเหรียญ (ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 4), อินโดนีเซีย 74 ล้านเหรียญ, ฟิลิปปินส์ 7 ล้านเหรียญ (หลังจากขายสุทธิเพียงวันเดียว) และไทยที่ต่างชาติกลับมาซื้อสุทธิหนาแน่นมากขึ้นเมื่อเทียบกับสัปดาห์ก่อนหน้า โดยซื้อสุทธิสูงถึง 151 ล้านเหรียญ หรือ 5.3 พันล้านบาท (ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 4) ขณะที่ยอดซื้อสุทธิสะสมเฉลี่ยต่อวันในสัปดาห์ที่ผ่านมีค่าเพียง 333 ล้านบาท ส่วนนักลงทุนสถาบันฯสลับมาขายสุทธิราว 1.8 พันล้านบาท (หลังซื้อสุทธิติดต่อกัน 3 วัน)
      ขณะที่ตลาดตราสารหนี้ไทย นักลงทุนสถาบันในประเทศขายสุทธิ 2.8 พันล้านบาท เช่นเดียวกับนักลงทุนต่างชาติที่ขายสุทธิราว 4.7 พันล้านบาท (ขายสุทธิเป็นวันที่ 5)

หาก 2Q59 กำไรไม่ลดลงจาก 1Q59 ที่ 2.3 แสนล้านบาท มีโอกาสปรับประมาณการขึ้น
     การรายงานผลประกอบการ 2Q59 ตามที่ฝ่ายวิจัยรวบรวมจนถึงเย็นวานนี้ มีบริษัทจดทะเบียนประกาศงบแล้ว 85 บริษัท คิดเป็น Market Cap ราว 41% ของ Market Cap ทั้งตลาด ทำกำไรสุทธิรวมกันได้ 1.25 แสนล้านบาท หากเทียบกันเป็นรายบริษัท จะพบว่ามากกว่า 2Q58 ที่ทำกำไรได้ 1.15 แสนล้านบาท และมากกว่า 1Q59 ที่ทำกำไรได้ 1.05 แสนล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 8.8%yoy และ 20.1%qoq ตามลำดับ หลักๆ มาจากกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นมากของ BLA จากการกลับรายการการตั้งเงินสำรองฯ กว่า 9.5 พันล้านบาท
       ทั้งนี้ ฝ่ายวิจัยประเมินว่า หากกำไรตลาด 2Q59 นี้ทำได้ใกล้เคียงกับ 1Q59 ซึ่งอยู่ที่ 2.3 แสนล้านบาท ก็อาจมีโอกาสที่จะปรับประมาณการกำไรปี 2559 ขึ้น โดยนักวิเคราะห์จะทำการพิจารณาผลประกอบการเป็นรายกลุ่มฯ อีกครั้งหลังประกาศงบฯ เสร็จสิ้น ส่วน SET Indes Target นั้น ฝ่ายวิจัยได้ปรับไปใช้เป้าหมายดัชนีปี 2560 (โดยที่ยังคงประมาณการเดิมไว้ก่อน) ประเมินไว้ที่ 1,590 จุด อิง Expected P/E 16.3 เท่า ภายใต้สมมติฐาน EPS ตลาดที่ 97.6 บาท และ Earning Yield Gap 4.75% ทั้งนี้ ภายใต้ดัชนีเป้าหมายปีหน้าเทียบกับดัชนีปัจจุบัน มี upside เหลือราว 3%
       กลยุทธ์การลงทุน จึงเน้นไปที่หุ้นที่ยังมี upside สูง หรือ laggard กว่าตลาด ผลการดำเนินงานมีแนวโน้มฟื้นตัว หรือเติบโตได้ต่อเนื่อง คาดหวังเงินปันผลสูง แนะนำ BBL (FV@B200), BA ([email protected]), BH (FV@B202), BDMS (FV@B25), TASCO ([email protected]) รวมถึง PTTEP (FV@B 89)ซึ่งได้รับแรงหนุนจากราคาน้ำมันที่ขยับขึ้น

ภรณี ทองเย็น เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004146
เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004132
พบชัย ภัทราวิชญ์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 052647
ภราดร เตียรณปราโมทย์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 075365
พาสุ ชัยหลีเจริญ ผู้ช่วยนักวิเคราะห์
ฐกฤต ชาติเชิดศักดิ์ ผู้ช่วยนักเศรษฐศาสตร์

 

 

BSP

 

adsoptimal100

paidtoclick copy

  

 

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!