- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Tuesday, 09 August 2016 16:50
- Hits: 1315
บล.เอเชีย เวลท์ : Daily Market Outlook
ความดีใจเรื่อง รธน. ผ่านคลาย
คาดหุ้นไทยขยับขึ้นวันนี้ในทิศทางเดียวกับหุ้นในภูมิภาคที่เงินทุนโลกยังแสวงหาอัตราผลตอบแทนกันอย่างหนัก โดยน่าจะยังเข้ามาที่หุ้นและพันธบัตรเอเซีย หลัง BOJ ส่งสัญญาณไม่ขยายเพิ่มมาตรการ ซื้อพันธบัตร อย่างไรก็ตามการปรับตัวขึ้นยังจะถูกจำกัดจากความกังวลเศรษฐกิจโลกที่กลับมาหลังจากตัวเลขส่งออก และนำเข้าของจีนยังคงอ่อนแอต่อเนื่อง ภายในประเทศความดีใจของนักลงทุนหลังจากประชามติผ่านร่างรัฐธรรมนูญน่าจะคลายลงและต้องเผชิญกับการขายทำกำไรหลังจากเมื่อวานหุ้นพุ่งขึ้นไปแรงมาก มุมมองของผู้ว่า ธปท. ที่ยังคงมุมมองที่ดีต่อเศรษฐกิจไทยเป็นปัจจัยบวก
หุ้นเด่นวันนี้ : CPF (Bt29.25; BUY; AWS 2016 TP Bt37.00)
เรามีมุมมองเชิงบวกต่อ CPF เนื่องจากมีการฟื้นตัวของธุรกิจ 3 อย่างหลัก คือ (1) เนื้อสัตว์ในประเทศทั้งไก่ หมู และกุ้ง คิดเป็น 40% ของยอดขายรวมบริษัท (2) ธุรกิจของ CPP ฮ่องกง ซึ่ง CPF ถือหุ้น 50.43% มีธุรกิจหลักคือการจำหน่ายอาหารเลี้ยงสัตว์ และฟาร์มในจีน และฟาร์มในเวียดนาม ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเนื้อหมู ซึ่งคิดเป็น 22% ของยอดขายทั้งหมดของ CPF เราคาดว่ากำไรจากการดำเนินงานของ CPF ฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งต่อเนื่องนับจากไตรมาสที่ 1/59 เนื่องจากราคาเนื้อสัตว์ ทั้งไก่ และหมู มีราคาที่ดีขึ้นอย่างมาก ทำให้เราคาดธุรกิจเนื้อสัตว์บกในไทย มีอัตรากำไรขั้นต้นงวดครึ่งแรกของปี 2559 ฟื้นเป็น 15.5% จาก 10%-11% ในช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นของ CPP ดีขึ้นจากราว 13%-15% ในจีนและเวียดนาม ปรับดีขึ้นไปอีกเป็น 16%-18% ส่วนกุ้งในประเทศ ซึ่งเผชิญกับโรคตายด่วนเมื่อ 3 ปีก่อน ส่งผลกระทบต่อผลผลิตกุ้งในไทย ปัจจุบันกลับฟื้นตัวมีผลผลิตดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง อัตรากำไรขั้นต้นปรับตัวขึ้นมาเป็น 11-12% จากช่วงที่มีปัญหา อัตรากำไรขั้นต้นถึงขั้นติดลบกว่า 10% อีกทั้งในช่วงไตรมาส 2 และ 3 เป็นช่วง High Season ของการส่งออกจำนวนผลผลิตเพิ่มขึ้นอีกทั้งอัตรากำไรขั้นต้นก็ดีขึ้น เราจึงคาดว่า CPF อาจจะมีกำไรสุทธิในไตรมาส 2/59 ได้มากถึง 5 พันล้านบาท, +68% YoY และ +33% QoQ โดยเป็นกำไรจากผลการดำเนินงานประมาณ 3 พันล้านบาท
เราคาดการณ์ CPF จะมีกำไรสุทธิเป็น 14 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 369% YoY และ เพิ่มเป็น 15 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.3% YoY เราแนะนำซื้อ CPF ราคาเหมาะสม 37 บาท โดยคำนวณจากวิธีการรวมมูลค่าของแต่ละธุรกิจ (sum-of-the-parts) มูลค่าธุรกิจหลักของ CPF เท่ากับ 18.50 บาท/หุ้น และมูลค่ายุติธรรมของ CPALL ที่ CPF ถืออยู่ 32% เท่ากับ 20.32 บาท/หุ้น มุมมองทางเทคนิค Price Pattern ของ CPF ยังคงมีแนวโน้มหลักอยู่ในแนวโน้มขาขึ้น จากการเกิด Monthly Buy Signal โดยล่าสุด Price Pattern ของ CPF ได้กลับมาเกิด Daily Buy Signal ใหม่ บ่งบอกว่าการปรับฐานระยะสั้นที่ผ่านมานั้นอาจจบแล้ว และหากสามารถปิดตลาดรายสัปดาห์ได้เหนือ 28.75 บาท จะกลับมาเกิด Weekly Buy Signal แสดงว่าการปรับฐานของ CPF ที่ผ่านมานั้นได้จบแล้ว ทั้งนี้เมื่อพิจารณา Price Pattern ของ CPF มีเป้าหมายสำคัญอยู่ที่ 32 บาท โดย CPF มีจุด Stop Loss ระยะสั้นในรอบนี้อยู่ที่ 26.75 บาท (Resistance: 29.50, 29.75, 30.00; Support: 29.00, 28.75, 28.50)
ปัจจัยสำคัญ
ประเด็นในประเทศ :
การโหวตเห็นชอบรัฐธรรมนูญจะช่วยเร่งโครงการเมกะโปรเจกต์ สำนักงานเศรษฐกิจการคลังเชื่อว่าโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่หลังจากผ่านการโหวตเห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญจะสามารถดำเนินการได้ตามแผนอย่างรวดเร็ว โดยก่อนหน้านี้คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติไปแล้ว 11 โครงการและเชื่อว่าจะสามารถเซ็นได้ 18-19 โครงการ มูลค่ารวม 1.4 ล้านล้านบาทภายในปีนี้ ซึ่งบางส่วนจะสามารถเบิกจ่ายได้ทันภายในปีนี้ราว 6.0 หมื่นล้านบาท (Bangkok Post) ความเห็น: ประเด็นดังกล่าวเชื่อว่าจะช่วยสร้าง Sentiment เชิงบวกและความเชื่อมั่นให้กับภาคเอกชนได้มากขึ้น
แบงค์ชาติคงมุมมองเชิงบวกต่อเศรษฐกิจไทย นาย วิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่าธปท. ยังคงมีมุมมองเชิงบวกว่าการเติบโตของ GDP ปีนี้จะยังสามารถทำได้ตามเป้าที่ 3.1% หนุนจากภาคการท่องเที่ยวที่มีแนวโน้มสดใสมาอย่างต่อเนื่อง รวมไปถึงการใช้จ่ายและลงทุนของภาครัฐที่มีความคืบหน้าในเชิงบวก ซึ่งจะช่วยชดเชยกับความต้องการใช้ในประเทศที่ยังอ่อนแอในปัจจุบันรวมไปถึงภาคการส่งออกที่ได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว (Bangkok Post)
เร่งเจรจาข้อสรุปข้อตกลงความร่วมมือทางเศรษฐกิจในภูมิภาคอาเซียน (RCEP) ภายในปีนี้ นาง อภิรดี ตันตราภรณ์ รมว. กระทรวงพาณิชย์กล่าวว่าจะเร่งรัดให้ได้ข้อสรุปในที่ประชุมข้อตกลงความร่วมมือทางเศรษฐกิจในภูมิภาคอาเซียน (RCEP หรือ ASEAN+6) ซึ่งประกอบด้วยประเทศในกลุ่มอาเซียนทั้ง 10 ประเทศ และอีก 6 ประเทศคู่ค้า ได้แก่ ออสเตรเลีย จีน อินเดีย ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และนิวซีแลนด์ โดยจะมีการประชุมในวันที่ 12-19 ส.ค. นี้ (Bangkok Post)
TOP (62.25 บ.) รายงานกำไรสุทธิงวด 2Q59 อยู่ที่ 7.75 พันลบ. (+64% QoQ, +24% YoY) สูงกว่าที่ตลาดคาดไว้ที่ 6.54 พันลบ. (Bloomberg consensus) (SET/ Bloomberg) ความเห็น: กำไรงวด 2Q59 ได้รับแรงหนุนหลักจากการรับรู้กำไรจากผลของสต็อกจำนวน 4.0 พันลบ. (เทียบขาดทุนสต็อก 947 ลบ. ในงวด 1Q59 และกำไรสต็อก 2.2 พันลบ. ในงวด 2Q58) ซึ่งช่วยชดเชยกับการอ่อนตัวลงของค่าการกลั่นตลาดในช่วงไตรมาส ทั้งนี้เราคาดกำไรงวด 2Q59 จะเป็นจุดสูงสุดของปี โดยผลการดำเนินงานในช่วงที่เหลือของปีน่าจะได้รับแรงกดดันจากแนวโน้มการอ่อนตัวลงของค่าการกลั่นภูมิภาค อีกทั้ง Upside ที่จำกัดในการปรับตัวสูงขึ้นของราคาน้ำมันดิบโลกน่าจะทำให้โอกาสที่จะรับรู้กำไรจากผลของสต็อกมีจำกัด
TU (21.90 บ.) รายงานกำไรสุทธิไตรมาส 2/59 ที่ 1,527 เพิ่มขึ้น 16.9% YoY และ 24.1%QoQ จากการยอดขายไตรมาสนี้สูงสุดเป็นประวัติการณ์ ที่ 34,441 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12.4%YoY และ 10.2%QoQ โดยหากคิดเป็นยอดขายรูปเงินดอลลาร์ฯ เท่ากับ 976 ล้านดอลลาร์ฯ เพิ่มขึ้น 4.4% โดยได้รับปัจจัยบวกจากค่าเงินดอลลาร์ฯ และยูโรที่แข็งค่าเมื่อเทียบกับเงินบาท อัตรากำไรขั้นต้น 15.8% ลดลงจากไตรมาส 2/58 ที่ 16.9% แต่ดีขึ้นจากไตรมาส 1/59 ที่ 15.5% อัตรากำไรสุทธิไตรมาสนี้เท่ากับ 4.4% ดีขึ้นเทียบกับ 2Q58 ที่ 4.3% และ 1Q59 ที่ 3.9% โดยยังมองไตรมาส 3/59 จะยังทำกำไรสุทธิได้ดีต่อเนื่อง เนื่องจากช่วงไตรมาส 2 และ 3 เป็นฤดูกาลส่งออก (SET) ความเห็น: เราแนะนำซื้อ TU ต่อไป ราคาเป้าหมาย 25 บาท อิงค่า PER 20 เท่า
ต่างประเทศ
อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐปรับตัวขึ้นเล็กน้อยเมื่อวันจันทร์ โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวปรับตัวขึ้นสูงสุดในรอบกว่า 2 สัปดาห์จากความคาดหวังว่า Fed จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นภายในสิ้นปีนี้ ราคาพันธบัตรอายุ 10 ปีลดลง 2/32 อัตราผลตอบแทนอยู่ที่ระดับ 1.586% ส่วนราคาพันธบัตรอายุ 30 ปี เพิ่มขึ้น 6/32 อัตราผลตอบแทนอยู่ที่ระดับ 2.302% (Reuters)
ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าเทียบกับสกุลเงินหลัก ๆ เมื่อวันจันทร์ หลังจากตัวเลขการจ้างงานสหรัฐในเดือนก.ค. ที่ประกาศเมื่อวันศุกร์แข็งแกร่งเกินคาดทำให้นักลงทุนมีความคาดหวังมากขึ้นว่า Fed ใกล้จะปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้น ดัชนีค่าเงินดอลลาร์เพิ่มขึ้น 0.21% อยู่ที่ 96.293 จุด ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้น 0.62% เทียบกับเงินเยนอยู่ที่ 102.44 เยน(Reuters)
สหรัฐ :
ดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐปิดลบเมื่อวันจันทร์จากเดิมปิดที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ จากการปรับตัวลงของหุ้นกลุ่มธุรกิจเพื่อสุขภาพหักกลบราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้นและรายงานการจ้างงานนอกภาคเกษตรสหรัฐ การที่ดัชนีปรับตัวขึ้นสู่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์หลายครั้งในเดือนมิ.ย. ก่อให้เกิดความกังวลว่าตลาดจะมีมูลค่าแพงเกินจริง (stretched valuation) (Reuters)
ยุโรป :
ตลาดหุ้นยุโรปเมื่อวันจันทร์ปรับตัวสูงขึ้น นำโดยการฟื้นตัวสูงขึ้นของหุ้นธนาคารใหญ่ๆ ขณะที่ตลาดโดยรวมปรับตัวสูงขึ้นตามตลาดหุ้นสหรัฐฯ หลังสหรัฐฯ รายงานข้อมูลการจ้างงานที่แข็งแกร่งออกมาเมื่อวันศุกร์ ซึ่งได้ส่งผลให้ดัชนี S&P500 และ Nasdaq ปรับตัวสูงขึ้นทำระดับสูงสุดใหม่ (Reuters)
61% ของจำนวนบริษัทจดทะเบียนในดัชนี STOXX 600 ในยุโรปรายงานผลการดำเนินงานงวด 2Q59 ออกมาดีกว่าที่ตลาดคาด แม้ว่ากำไรโดยรวมจะอ่อนตัวลง 15% YoY ก็ตาม อ้างอิงข้อมูลจาก Thomson Reuters StarMine (Reuters)
เอเชีย :
จักรพรรดิญี่ปุ่นทรงเป็นพระกังวลเกี่ยวกับพระชนมายุที่มากแล้ว สมเด็จพระจักรพรรดิอากิฮิโตะวัย 82 พรรษาของญี่ปุ่นตรัสในการปราศรัยต่อสาธารณะเมื่อวันจันทร์ว่าความชราอาจเป็นอุปสรรคสำหรับพระองค์ในการที่จะดำเนินพระราชกรณียกิจของพระองค์อย่างเต็มที่ พระราชดำรัสดังกล่าวถูกมองว่าพระองค์มีพระราชประสงค์จะสละราชสมบัติ (Reuters)
สินค้านำเข้าและสินค้าส่งออกของจีนลดลงเกินคาดในเดือนก.ค. ชี้ให้เห็นถึงอุปทานทั่วโลกที่อ่อนแอต่อเนื่องซึ่งเป็นผลกระทบจาก Brexit ยอดสินค้านำเข้าลดลง 12.5% YoY ลดลงมากที่สุดนับแต่เดือนก.พ. และชี้ว่าความต้องการสินค้าภายในประเทศของจีนยังแกว่งตัวแม้ว่าทางการจีนจะออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจก็ตาม ส่วนยอดสินค้าส่งออกลดลง 4.4% YTD ซึ่งเป็นผลให้เกินดุลการค้าเป็นมูลค่า 5.231 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐในเดือนก.ค. เพิ่มขึ้นมากที่สุดนับแต่เดือนม.ค. เทียบกับเดือนมิ.ย. ซึ่งเกินดุล 4.811 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ (Reuters)
ตลาดหุ้นจีนปรับตัวขึ้นเมื่อวันจันทร์ จากการเพิ่มขึ้นของราคาหุ้นในกลุ่มถ่านหินและคงความสนใจในหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ที่มีการจุดชนวนจากการควบรวมกิจการของ Vanke ได้กลบผลกระทบของข้อมูลการค้าที่ต่ำกว่าคาด (Reuters)
สินค้าโภคภัณฑ์ :
ราคาน้ำมันดิบเมื่อวันจันทร์ปรับตัวสูงขึ้น 3% หลังจากมีรายงานว่า กลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (OPEC) เตรียมจัดการประชุมอย่างไม่เป็นทางการในเดือนก.ย. เพื่อหารือถึงแนวทางการสร้างเสถียรภาพในตลาดน้ำมัน โดยราคาน้ำมันดิบ Brent ล่วงหน้าปรับตัวสูงขึ้น 1.12 ดอลลาร์ฯ ต่อบาร์เรล (+2.5%) มาอยู่ที่ 45.39 ดอลลาร์ฯ ต่อบาร์เรล ขณะที่ราคาน้ำมันดิบสหรัฐฯ ล่วงหน้าปรับตัวสูงขึ้น 1.22 ดอลลาร์ฯ ต่อบาร์เรล (+2.9%) มาอยู่ที่ 43.02 ดอลลาร์ฯ ต่อบาร์เรล (Reuters)
ราคาทองคำเมื่อวันจันทร์ทรงตัวหลังจากปรับตัวลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 1 สัปดาห์ หลังจากก่อนหน้านี้ได้รับแรงกดดันจากโมเมนตัมเชิงบวกทางเศรษฐกิจผ่านข้อมูลการจ้างงานในสหรัฐฯ ที่แข็งแกร่ง โดยราคาทองคำตลาดจรปรับตัวสูงขึ้น 0.07% มาอยู่ที่ 1,335.99 ดอลลาร์ฯ ต่อออนซ์ ขณะที่ราคาทองคำสหรัฐฯ ส่งมอบเดือนธ.ค. ปรับตัวลดลง 0.2% มาอยู่ที่ 1,341.30 ดอลลาร์ฯ ต่อออนซ์ (Reuters)
Mr. Warut Siwasariyanon (No.17923) Tel: 02 680 5041
Mr. Krit Suwanpibul (No.17968) Tel: 02 680 5090
Mrs. Vajiralux Sanglerdsillapachai (No. 17385) Tel: 02 680 5077
Mr. Narudon Rusme, CFA (No.29737) Tel: 02 680 5056
Mr. Napat Siworapongpun, FRM (No.49234) Tel: 02 680 5094