- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Tuesday, 09 August 2016 16:42
- Hits: 704
บล.เอเซียพลัส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
กลยุทธ์การลงทุน
มิอาจต้าน Fund flow และความคืบหน้าที่จะมีการเลือกตั้งปลายปี 2560 จึงใช้ดัชนีเป้าหมายปี 2560 จะได้ 1,590 จุด (EPS ที่หุ้นละ 97.6 บาท) กลยุทธ์เลือกหุ้นใหญ่-กลางที่ยัง Laggard คือธนาคาร (BBL, TMB) พลังงาน (PTTEP, RATCH) และ โรงพยาบาล (BH, BDMS) วันนี้เลือก PTTEP(FV@B89) เป็น Top pick Dollar Index ทรงตัว-อ่อนค่า หนุนน้ำมันระยะสั้น แม้จะมีกรอบจำกัด 41-45 เหรียญฯ ก็ตาม
โอกาส Fed ขึ้นดอกเบี้ยน้อยลง กดดัน Dollar Index อ่อนตัวดีต่อหุ้นน้ำมัน
คาดยังมีความเป็นไปได้สูงที่ ตลาดหุ้นโลกจะได้รับแรงหนุนจาก fund flow จากการใช้มาตรการทางการเงินผ่อนคลายของธนาคารกลางของฝั่งประเทศพัฒนาแล้วอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะจากญี่ปุ่น แม้ปัจจุบันมีการใช้ QQE ที่ 80 ล้านล้านเยนต่อปี (หรือราว 7.48 แสนล้านเหรียญต่อปี คิดราว 20%ของการใช้ QE ในสหรัฐ) เนื่องจากญี่ปุ่นเป็นอีกประเทศหนึ่งที่เผชิญกับปริมาณเงินหรือ M2 ใน ช่วง 6M59 หดตัว 4.5%yoy แต่ยังหดตัวน้อยกว่าในฝั่งประเทศพัฒนาแล้ว เช่น อังกฤษ M2 ในงวด 1H59 หดตัว 18.7% และ ยุโรป หดตัว 10.93% และเป็นที่มาของการใช้นโยบายการเงินผ่อนคลายเพิ่มเติมในการประชุมรอบที่ผ่านมา คือเพิ่ม QE วงเงิน 4.35 แสนล้านปอนด์ หรือราว 5.7 แสนล้านเหรียญสหรัฐ (พร้อมๆ กับการลดดอกเบี้ย 0.25% ครั้งแรกในรอบ 7 ปี) ซึ่งแม้เม็ดเงินอาจจะไม่มากนักเมื่อเทียบกับ ที่ธนาคารกลางยุโรป (ECB) มีแผนใช้มาตรการ QE ระยะเวลา 25 เดือน ระหว่าง มี.ค.2558 - มี.ค. 2560 รวม 1.93 ล้านล้านเหรียญสหรัฐรวม (เดือนละ 8 หมื่นล้านยูโร) หรือคิดราว 50 %ของการใช้ QE ในสหรัฐช่วงซับไพร์ม ที่ใช้เม็ดรวมกว่า 3.92 ล้านล้านเหรียญฯ โดยเม็ดเงินของ BOE รอบนี้คิดเป็น 14.5 %ของการใช้ QE ในสหรัฐ (แต่มากกว่า ช่วงวิกฤติปี 2551-2556 BOE ใช้ QE 6 รอบ ราว 3 แสนล้านเหรียญฯ หรือ 7% ของการใช้ QE ในสหรัฐช่วงซับไพรม์)
และเป็นการตอกย้ำว่า Fed จะเลื่อนการขึ้นดอกเบี้ยฯ ออกจนถึงสิ้นปี ซึ่งน่าจะกดดันให้ Dollar Index มีแนวโน้มทรงตัวถึงอ่อนค่า แต่ไม่มากนัก เนื่องจากเศรษฐกิจสหรัฐยังมีสัญญานฟื้นตัวดีกว่าประเทศเพื่อนบ้านในกลุ่มพัฒนาแล้ว แต่ในสถานการณ์นี้น่าจะหนุนให้ราคาน้ำมันแกว่งตัวขึ้น แต่น่าจะอยู่ในกรอบจำกัด เนื่องจากปัญหา Oversupply ยังมีอยู่ใน 2H59 และจะเริ่มสมดุลใน 1H60 จึงประเมินว่าราคาน้ำมันดิบดูไบในช่วงที่เหลือของปีนี้น่าจะแกว่งตัวในกรอบ 40-45 เหรียญฯ ต่อบาร์เรล ขณะที่นายกรัฐมนตรีเวเนซูเอล่าที่เตรียมเสนอในการประชุมโอเปคในเดือนกันยายนนี้ ให้คงหรือ ตัดลดกำลังการผลิต เพื่อประคองราคาน้ำมันให้อยู่เหนือ 40 เหรียญฯ
ล่าสุดราคาน้ำมันดูไบอยู่ที่ 41.9 ขึ้น 8.2% จากจุดต่ำสุด 2 ส.ค. (ราคาน้ำมันตลาดล่วงหน้า WTI และ Brent 42.78 เหรียญฯ และ 45.12 เหรียญฯ ต่อบาร์เรล ขึ้นมา 8.3% และ 7.9% ตามลำดับ) ซึ่งน่าจะ หนุนหุ้นน้ำมัน โดยเฉพาะ PTTEP(FV@B89) ที่ราคาหุ้นยัง Laggard แม้ราคาตลาดจะมี upside เหลือ 8.54% แต่หากไปใช้ fair value ปี 2560 ที่ 108 บาทจะมี upside 31% ขณะที่ PTT(FV@B342) มี upside จำกัด หรือแม้จะหันไปใช้ Fair Value ปี 2560 จะอยู่ที่ 392 บาท มี upside 16%
ต่างชาติซื้อหุ้นไทยสูงถึง 6.9 พันล้านบาท หลังมีการรับร่างรัฐธรรมนูญ
วานนี้แรงซื้อหุ้นในภูมิภาคยังคงเข้ามาต่อเนื่องเป็นวันที่ 3 ด้วยมูลค่าราว 521 ล้านเหรียญ โดยมีเพียงตลาดหุ้นฟิลิปปินส์แห่งเดียวเท่านั้นที่ถูกขายสุทธิเล็กน้อยราว 6 ล้านเหรียญ ส่วนที่เหลืออีก 4 ประเทศต่างชาติยังคงซื้อสุทธิ คือ ไต้หวันซื้อสุทธิราว 196 ล้านเหรียญ (ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 3) ตามมาด้วยเกาหลีใต้ 81 ล้านเหรียญ (ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 3), อินโดนีเซีย 52 ล้านเหรียญ และตลาดหุ้นไทยที่ต่างชาติซื้อสุทธิสูงถึง 196 ล้านเหรียญ หรือ 6.9 พันล้านบาท หลังผลการลงประชามติออกมาว่ามีการรับร่างรัฐธรรมนูญในวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 3) เช่นเดียวกับนักลงทุนสถาบันฯที่ซื้อสุทธิราว 1.9 พันล้านบาท (ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 3)
ขณะที่ตลาดตราสารหนี้ไทย นักลงทุนสถาบันในประเทศขายสุทธิ 1.5 พันล้านบาท เช่นเดียวกับนักลงทุนต่างชาติที่ขายสุทธิราว 602 ล้านบาท (ขายสุทธิเป็นวันที่ 4)
กำไรงวด 2Q59 ใกล้เคียงงวด 1Q59 ทั้งปี 2559 น่าจะทำได้ตามเป้า
จากข้อมูลที่ฝ่ายวิจัยรวบรวมถึงช่วงบ่ายวันที่ 8 ส.ค. ที่ผ่านมา มีบริษัทจดทะเบียนประกาศงบฯ 2Q59 แล้วราว 56 บริษัท คิดเป็น 34% ของ Market Cap ทั้งตลาด โดยรายงานกำไรสุทธิรวมกันราว 9.69 หมื่นล้านบาท ใกล้เคียงกับ 2Q58 และ 1Q59 ที่ทำกำไรสุทธิรวมกันได้ 9.57 และ 9.44 หมื่นล้านบาท หรือเติบโตเพียง 1.3%yoy และ 2.7% ตามลำดับ
ทั้งนี้หากพิจารณาเป็นรายกลุ่ม มีเพียงกลุ่มธนาคารพาณิชย์ ที่รายงานงบฯ จบไปตั้งแต่ปลายเดือน ก.ค. ที่ผ่านมา ทำกำไรสุทธิรวมกัน 5.03 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.6%qoq แต่ลดลง 2.2%yoy
ขณะที่กลุ่ม Real Sector อื่นๆ กำลังทยอยประกาศงบฯ แต่พบว่าชะลอตัวลงเมื่อเทียบกับงวดก่อนหน้า อาทิ กลุ่มวัสดุก่อสร้าง แม้ SCCC และ DCC หดตัวทั้ง qoq และ yoy ยกเว้น SCC เติบโตทั้ง QoQ และ Yoy มาช่วยหนุน จึงทำให้ภาพรวมของกลุ่มฯ น่าจะออกมาทรงตัว
ส่วนกลุ่มพลังงานนั้น PTTEP, GLOW และ GPSC ประกาศงบฯ ออกมาแล้ว เติบโต yoy แต่หดตัว qoq ตรงข้ามกับ IRPC เติบโต qoq แต่หดตัว yoy
และกลุ่มสื่อสาร ADVANC รายงานงบฯ 2Q59 เติบโต 18.9%qoq แต่หดตัว 2.6%yoy ขณะที่ DTAC ผลการดำเนินงานย่ำแย่ กำไรหดตัว -90%qoq และ -88%yoy
หากประเมินเบื้องต้นจากข้อมูลบริษัทที่ประกาศงบฯ ทำให้มีความเป็นไปได้ที่กำไรตลาดฯ 2Q59 นี้ จะทำได้ใกล้เคียงกับ 1Q59 ที่ประมาณ 2.1 – 2.3 แสนล้านบาท
และ ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ คาดว่ากลุ่มฯ ที่น่าจะได้ sentiment เชิงบวก ภายหลังการลงประชามติผ่านพ้นไป และเดินหน้าสู่กระบวนการเลือกตั้งในปี 2560 น่าจะเห็นแรงขับเคลื่อนจากการลงทุนภาครัฐที่ทยอยเปิดประมูลมากขึ้นในช่วง 2H59 กว่า 3 แสนล้านบาท (รถไฟฟ้า 3 เส้นทาง มอเตอร์เวย์ และรถไฟทางคู่) และในปี 2560 สำหรับโครงการก่อสร้างสุวรรณภูมิเฟส 2 อีกราว 1 แสนล้านบาท ซึ่งจะเริ่มเห็นเม็ดเงินลงทุนเข้ามาในระบบมากขึ้นในปี 2560 ราว 1.5 แสนล้านบาท ที่ชัดเจนที่สุด ได้แก่ กลุ่มธนาคารพาณิชย์ ซึ่งทำให้นักวิเคราะห์ ASPS ได้เพิ่มน้ำหนักการลงทุนเป็น เท่ากับตลาด แม้ยังคง ประมาณการกำไรที่เดิม แต่ได้หันไปใช้ Fair Value ปี 2560 จึงทำให้เปิด upside ที่เพิ่มขึ้น โดยเลือกหุ้น BBL(FV’60@B200), TCAP(FV’60@B51) Top picks
หันไปใช้ดัชนีเป้าหมายสิ้นปี 2560 อยู่ที่ 1,590 จุด
จากกระแส Fund Flow ที่ไหลเข้าสู่ตลาดหุ้นไทยมากกว่าคาดดังที่กล่าวมาข้างต้น ส่งผลให้ SET Index ปรับขึ้นจนเกินเป้าหมายปี 2559 ที่ประเมินไว้ที่ 1,453 จุด (อิง expected P/E 16.3 เท่า) ดังนั้น ฝ่ายวิจัยจึงได้ปรับไปใช้เป้าหมายดัชนีปี 2560 โดยที่ยังคงประมาณการเดิมไว้ก่อน (ดังเช่นหุ้นในกลุ่ม ธ.พ. ที่ได้มีการปรับไปใช้ Fair Value ปีหน้าแล้ว ส่วนกลุ่มอื่นๆ จะทยอยปรับตามหลังจากนี้) ทำให้ได้ SET Target ที่ 1,590 จุด อิง Expected P/E 16.3 เท่า ภายใต้สมมติฐาน EPS ตลาดที่ 97.6 บาท และ Earning Yield Gap 4.75% ทั้งนี้ ภายใต้ดัชนีเป้าหมายปีหน้าเทียบกับดัชนีปัจจุบัน มี upside เหลือราว 3%
กลยุทธ์การลงทุน จึงเน้นไปที่หุ้นที่ยังมี upside สูง หรือ laggard กว่าตลาด ผลการดำเนินงานมีแนวโน้มฟื้นตัว หรือเติบโตได้ต่อเนื่อง คาดหวังเงินปันผลสูง แนะนำ BBL (FV@B200), BA ([email protected]), BH (FV@B202), BDMS (FV@B25), TASCO ([email protected])
BJCHI มั่นใจรายได้ในปี 2559 เติบโตต่อเนื่อง พร้อมลุ้นคว้างานใหม่ในช่วงครึ่งหลังของปี
คุณจันทร์จิรา สมัครไทย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ พร้อมด้วยคุณวิทยา เชียงอุทัย ผู้จัดการฝ่ายงานนักลงทุนสัมพันธ์ บริษัท บีเจซี เฮฟวี่ อินดัสทรี จำกัด มหาชน (BJCHI) ถ่ายภาพร่วมกับนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ในงาน Analyst Meeting ซึ่งผู้บริหาร BJCHI ให้ความมั่นใจแนวโน้มรายได้ในปี 2559 จะเติบโตต่อเนื่องจากปีก่อน โดยปัจจุบันมีงานในมือ (Backlog) อยู่ประมาณ 4,700 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้ในปีนี้เป็นต้นไป ขณะเดียวกันยังอยู่ระหว่างรอลุ้นผลประมูลงานโครงการ High Potential Projects อีกมูลค่ากว่า 10,000 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะสามารถทราบผลสรุปได้ภายในเร็วๆ นี้
ภรณี ทองเย็น เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004146
เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004132
พบชัย ภัทราวิชญ์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 052647
ภราดร เตียรณปราโมทย์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 075365
พาสุ ชัยหลีเจริญ ผู้ช่วยนักวิเคราะห์
ฐกฤต ชาติเชิดศักดิ์ ผู้ช่วยนักเศรษฐศาสตร์