- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Thursday, 24 July 2014 22:11
- Hits: 2459
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
“ผันผวน...จะซื้อ/ถือต่อควรเหนือ 1530 ไว้”
• หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : ไม่มี
ภาพตลาดวันก่อน : # SET ฟื้น...สถาบันในประเทศกลับมาซื้อ ต่างชาติมี Take Profit โดยเมื่อวานนนี้ดัชนีปิดระดับเกือบสูงสุดของวันที่1541.56 (+20.75 จุด) มูลค่าซื้อขาย 4 หมื่นล้านบาทปลายๆ นักลงทุนกลับมาซื้อหุ้นกลุ่มหลัก เช่น ธนาคารพาณิชย์, พลังงาน & ปิโตรเคมี,อสังหาริมทรัพย์ นักลงทุนสถาบันในประเทศกลับมาเป็นซื้อสุทธิ 1.7 พันล้านบาท พอร์ตบล.ซื้อสุทธิเพียงเล็กน้อย 190 ล้านบาท ขณะที่นักลงทุนต่างชาติและรายย่อยใช้จังหวะเด้งขายสุทธิ 743 ล้านบาท และ 1.2 พันล้านบาท ตามลำดับ
ปัจจัยและกลยุทธ์ : # นักลงทุนมองข้าม Shot ไปข้างหน้าสำหรับหุ้นที่อิงกับอุปสงค์ในประเทศ ทั้งนี้ แม้ว่า หลายบริษัทมีผลประกอบการ 2Q57ที่อ่อนแอ แต่ราคาหุ้นไม่ได้ปรับลดลงมากหรือปรับขึ้นต่อไปได้ เพราะนักลงทุนมองไปข้างหน้าและมีความหวังว่าเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวจะช่วยหนุนให้ผลประกอบการดีขึ้น (เชื่อว่า 2Q เป็น Bottom out ไปแล้ว) ประกอบกับคสช.ได้เดินหน้าตามโรดแมปที่ตั้งไว้ (รายชื่อสมาชิกสนช.น่าจะออกมาในเดือนส.ค.แล้วมีการแต่งตั้งนายกฯ คณะรัฐมนตรี และสมาชิกสปช. คาดว่าจะเริ่มงานปฏิรูปได้ตั้งแต่ต.ค.57 ทังนี้คสช.คาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 1+/- ปีเพื่อวางหลักเกณฑ์ของประเทศและจัดทำรัฐธรรมนูญถาวรฉบับที่ 20 แล้วก็ให้จัดเลือกตั้งทั่วไป) ซึ่งส่วนนี้ช่วยหนุนดัชนีตลาดหุ้นไทยให้เป็น Sideway up ได้ต่ออย่างไรก็ตาม Valuation ของหุ้นและตลาดเข้ามาอยู่ในโซนสูงแล้ว ความผันผวนก็จะมากขึ้น ปัจจัยต่างประเทศที่ติดตาม คือ การประชุมเฟดวันที่29-30 ก.ค.นี้ ว่าจะมีการส่งสัญญาณเกี่ยวกับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างไร โดยล่าสุด IMF ปรับลด GDP Growth สหรัฐปีนี้ลงเป็น 1.7% จากเดิม2.0% แต่ไม่ได้ Surprise ตลาดเพราะหลายสำนักวิจัยประมาณการในระดับนี้อยู่แล้ว (DBS ทำไว้ที่ 1.6%) ส่วนการลด QE ยังดำเนินการต่อไป (ปัจจุบันอยู่ที่ 3.5 หมื่นล้านUS$/เดือน)
กลยุทธ์ทางเทคนิค : ซื้อใหม่เน้นซื้อตามค่าบวก ค่าลบหรือต่ำกว่า 1530 จุดดูไม่ดี แนวเด้ง 1500+/-, 1480 จุด ส่วนการรีบาวด์มีแนวต้าน 1550-1560จุด หุ้นพื้นฐานแนะนำซื้อลงทุนวันนี้เป็น BIGC
Fundamental Pick
BIGC แนะนำซื้อราคาปิด 216 บาท เป้าหมาย-Under Review
* กำไรสุทธิ 2Q57 ออกมาดีกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ โดยเท่ากับ 1.89 พันล้านบาท เติบโต20%YoY (ตลาดประเมินไว้ที่ 1.5-1.6 พันล้านบาท) ปัจจัยหนุน คือ ยอดขายสาขาเดิมที่อ่อนตัวน้อยลงเมื่อเทียบ YoY มีรายได้เพิ่มจากสาขาและจุดจำหน่ายใหม่ การปรับสัดส่วนการขายสินค้าที่ไม่ใช่อาหารซึ่งมีมาร์จิ้นสูงมากขึ้น และการลดต้นทุนดำเนินงาน & ค่าใช้จ่ายทางการเงินทั้งนี้ยอดขายและรายได้รวมเติบโต 4%YoY แต่ค่าใช้จ่ายดำเนินงานเพิ่มขึ้นน้อยกว่าที่ 3%YoYรวมทั้งดอกเบี้ยจ่ายลดลง 17%YoY ทำให้กำไรสุทธิเติบโตได้สูงตามที่กล่าวข้างต้น แนวโน้ม2H57 คาดว่าจะดีขึ้นเป็นลำดับ และเติบโตได้ในอัตราเร่งตัวขึ้นในปี 58
* แนะนำซื้อ โดย DBS อยู่ระหว่างปรับปรุงราคาตามปัจจัยพื้นฐาน ส่วนการวิเคราะห์ทางเทคนิคด้วย Brain Box พบว่าโดยรวมเป็นบวก (สัญญาณบวก 11 สัญญาณและลบ 2 สัญญาณ) โดยมีแนวต้าน 220 และแนวรับ 203 บาท
ปัจจัยต่างประเทศและโภคภัณฑ์
- สหรัฐ : IMF ปรับลด GDP Growth ปีนี้เป็น1.7% (เดิม 2.0%)
* กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ได้ปรับลดคาดการณ์การขยายตัวทางเศรษฐกิจของสหรัฐในปีนี้ลงสู่ระดับ 1.7% จากคาดการณ์เมื่อเดือนมิ.ย.ที่ 2.0% ขณะเดียวกันไอเอ็มเอฟคาดการณ์ว่าอัตราว่างงานของสหรัฐปี 57 จะอยู่ที่ 6.4% ส่วนเงินเฟ้ออยู่ที่ระดับ 1.8% และอัตราดอกเบี้ยจะเพิ่มขึ้นจาก 0.1% ในปี 57 เป็น 0.3% ในปี 58 และ 1.2% ในปี 59
• หุ้น Apple Inc หนุนดัชนี NASDAQ และS&P500 ทำ Record High แต่ความกังวลเรื่องเศรษฐกิจและการเมืองโลกกดดันดัชนีดาวโจนส์ให้อ่อนลง
* ดัชนี เฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 17,086.63 จุด ลดลง 26.91 จุด หรือ -0.16% ดัชนีS&P500 ปิดที่ 1,987.01 จุด ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ เพิ่มขึ้น 3.48 จุด หรือ+0.18% ดัชนี NASDAQ ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดที่ 4,473.70 จุด เพิ่มขึ้น 17.68 จุด หรือ +0.40%ปัจจัยที่หนุน S&P 500 และ NASDAQ คือ ผลประกอบการที่แข็งแกร่งของ Apple Inc(ยอดขาย iPhone ใน 2Q57 เพิ่มขึ้น 12.7%YoY เป็น 35.2 ล้านเครื่อง) และยอดขาย Microsoftที่ดีกว่าคาด กระตุ้นแรงซื้อหุ้นเทคโนโลยี แต่ความกังวลกับภาวะเศรษฐกิจโดยรวม และสถานการณ์การเมืองโลก ทำให้ยังมีการขายทำกำไรในกลุ่มอื่นและฉุดดัชนีดาวโจนส์ให้ลดลงเล็กน้อย
+ สต็อกน้ำมันดิบสหรัฐที่ร่วงลงต่อเป็นสัปดาห์ที่ 4 หนุนราคาน้ำมันดิบ
* สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.ย.เพิ่มขึ้น 73 เซนต์ ปิดที่ 103.12 ดอลลาร์/บาร์เรลส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนก.ย.ที่ตลาดลอนดอน เพิ่มขึ้น 70 เซนต์ ปิดที่ 108.03 ดอลลาร์/บาร์เรล ทั้งนี้ EIA รายงานว่า สต็อกน้ำมันดิบสหรัฐในรอบสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 18 ก.ค. ร่วงลงลงเกือบ 4 ล้านบาร์เรล แตะ 371.1 ล้านบาร์เรล ทำสถิติลดลงติดต่อกันเป็นสัปดาห์ที่ 4 และมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลงประมาณ 2.5 ล้านบาร์เรล
- สัญญาทองคำ COMEX อ่อนลง...โยกมาซื้อหุ้นหลังกำไร 2Q ออกมาดี + อินเดียจะควบคุมนำเข้าทองคำอีกครั้ง
* สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนส.ค.ร่วงลง 1.6ดอลลาร์ หรือ 0.12% ปิดที่ 1,304.7 ดอลลาร์/ออนซ์ เนื่องจากนักลงทุนโยกเข้าไปลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง เช่น หุ้น เพิ่มขึ้นหลังมีรายงานผลประกอบการออกมาดีกว่าคาด และดัชนี S&P500 พุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ผนวกกับมีข่าวว่าอินเดียจะประกาศควบคุมการนำเข้าทองคำอีกครั้ง
ปัจจัยในประเทศและหลักทรัพย์
+ ยอดขายรถยนต์ในประเทศและส่งออกเดือนมิ.ย.57 กระเตื้องขึ้น MoM และมีแนวโน้มดีขึ้นต่อใน 2H57 ... แนะนำทยอยซื้อลงทุนระยะกลาง-ยาว หุ้นเด่น SATรองลงมาเป็น STANLY, AH และ PCSGH
* ยอดการส่งออกรถยนต์สำเร็จรูป – ทางส.อ.ท.เปิดเผยว่ายอดส่งออกรถยนต์ของไทยในเดือนมิ.ย.57 เท่ากับ 103,946 คัน เพิ่มขึ้น 6.6%YoY เพิ่มขึ้น 9.7%MoM เนื่องจากผลิตเพื่อส่งออกเพิ่มขึ้น และมีการส่งออกไปยังตลาดยุโรปและตลาดอเมริกาเหนือดีขึ้น โดยมีมูลค่าการส่งออก 49,655 ล้านบาท สำหรับ 6M57 ไทยส่งออกรถยนต์สำเร็จรูปได้ 560,047 คัน เพิ่มขึ้น3.6%YoY โดยมีมูลค่าส่งออก 264,620 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.95%YoY
* ยอดขายรถยนต์ในประเทศ - เดือนมิ.ย.เท่ากับ 73,799 คัน ลดลง 30.4%YoY และสูงขึ้น5.9%MoM สำหรับ 6M57 ยอดขายรถยนต์ในประเทศเท่ากับ 440,911 คัน ลดลง 40.5%YoY
* การผลิตรถยนต์ - ในเดือนมิ.ย.57 เท่ากับ 160,452 คัน (เพื่อส่งออก 65.2% และเพื่อจำหน่ายในประเทศ 34.8%) โดยลดลง 54.21%YoY เพราะมีสต็อกสูงและไม่ต้องเร่งผลิตเพื่อส่งมอบในโครงการรถยนต์คันแรกแล้ว สำหรับ 6M57 ผลิตรถยนต์ทั้งหมด 952,685 คัน ลดลง29.0%YoY สำหรับทั้งปี 57 ทางส.อ.ท.ปรับเป้าหมายการผลิตใหม่เป็น 2.2 ล้านคัน (เดิม 2.4ล้านคัน โดยเป็นการผลิตเพื่อขายในประเทศ 1 ล้านคัน และส่งออก 1.2 ล้านคัน)
* ความเห็น Retail Research DBS : เราคาดการณ์ว่าปริมาณการผลิตรถยนต์ในปี 57 จะอยู่ที่ 2.1 ล้านคัน ลดลงจาก 2.4 ล้านคันในปี 56 เนื่องจากสต็อกรถยนต์ยังสูง ขณะที่อุปสงค์เพิ่งเริ่มฟื้นตัวและยังไม่แข็งแกร่งมากนัก ทำให้ค่ายรถยนต์ลดการใช้กำลังการผลิตลง อย่างไรก็ตาม มีแนวโน้มว่าการผลิตจะเริ่มกระเตื้องขึ้นใน 2H57 (ปกติปริมาณการผลิตใน 2Q จะเป็นLow season เพราะมีวันหยุดยาวในเดือนเม.ย. และบริษัทจะใช้เป็นช่วงเวลาซ่อมบำรุงโรงงาน)และเติบโตได้ในปี 58 ในเชิงกลยุทธ์เรายังคงแนะนำทยอยซื้อลงทุนหุ้นหลักในกลุ่มยานยนต์และชิ้นส่วน โดย Top Pick เป็น SAT รองลงมาเป็น AH และ PCSGH ส่วน STANLY แนะนำถือ
+ ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมเดือนมิ.ย.57 เพิ่มขึ้น 3.3 จุดจากเดือนก่อนหน้าเป็น 88.4 จุด
* สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยดัชนีความเชื่อมั่นของภาคอุตสาหกรรมไทยเดือน มิ.ย.57 อยู่ที่ 88.4 เพิ่มขึ้นจาก 85.1 ในเดือน พ.ค.57
* สำหรับดัชนีความเชื่อมั่นคาดการณ์ 3 เดือนข้างหน้าอยู่ที่ระดับ 101.9 ปรับเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากระดับ 101.0 ในเดือนพ.ค.57
* ปัจจัยที่หนุนให้ความเชื่อมั่นดีขึ้น คือ ปัญหาการเมืองในประเทศคลี่คลายลง เศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว และในช่วงฟุตบอลโลกมีการสั่งซื้อสินค้าประเภทกีฬา อาหารและเครื่องดื่ม รวมทั้งทีวีเพิ่มขึ้น ปัจจัยที่ยังกังวล คือ การที่ไทยถูกลดระดับเป็น Tier-3 เรื่องสถานการณ์ค้ามนุษย์ที่อาจทำให้การส่งออกของไทยฟื้นตัวได้ล่าช้าออกไปอีก
+ โครงการรถไฟทางคู่-มอเตอร์เวย์-แก้น้ำกัดเซาะผ่าน EIA แล้ว มูลค่าเงินลงทุนรวม7.2 หมื่นล้านบาท...คาดว่าจะเริ่มประกวดราคาได้ในต้นปี 58
* ที่ประชุมคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ (สผ.) เมื่อวานนี้ (23 ก.ค.57) มีมติเห็นชอบผลศึกษาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม (EIA) มูลค่าเงินลงทุนรวม 7.2 หมื่นล้านบาท ซึ่งประกอบด้วยโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ของร.ฟ.ท. 2 เส้นทาง คือ สายชุมทางถนนจิระ-ขอนแก่น ระยะทาง187 กิโลเมตร วงเงินรวม 29,341 ล้านบาท, รถไฟทางคู่สายลพบุรี-ปากน้ำโพ ระยะทาง 148กิโลเมตร วงเงินรวม 16,291 ล้านบาท, โครงการก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง (มอเตอร์เวย์) สายชลบุรี-พัทยา-มาบตาพุด ระยะทาง 89 กิโลเมตร วงเงิน 22,850 ล้านบาท, โครงการก่อสร้างทาง 4 ช่องจราจร ทางหลวงหมายเลข 304 ตอน อ.กบินทร์บุรี-ปักธงชัย (ช่วง กม.42+000- กม.57+000) วงเงินค่าก่อสร้าง 1,600 ล้านบาท, โครงการก่อสร้างทางเชื่อมผืนป่ามรดกโลกบนทางหลวงหมายเลข 304 สาย อ.กบินทร์บุรี-ปักธงชัย วงเงินก่อสร้าง 1,397.5 ล้านบาท, โครงการป้องกันการกัดเซาะชายฝั่งบริเวณตำบลเกาะเปริด อ.แหลมสิงห์ ถึง ต.บางชันอ.ขลุง จ.จันทบุรี ของกรมเจ้าท่า ระยะทาง 15 กิโลเมตร วงเงิน 500 ล้านบาท…คาดว่ากระบวนการในการจัดทำเอกสารประกวดราคาจะใช้เวลาประมาณ 6 เดือน และจะเริ่มต้นการเปิดประกวดราคาได้ช่วงต้นปี 58
• การเมือง : คสช.คาดใช้เวลา 1+/- ปี ในการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับถาวรที่ 20 หลังจากนั้นก็เข้าสู่ระบบเลือกตั้งทั่วไป* คสช.แถลงชี้แจงเนื้อหาในรัฐธรรมนูญชั่วคราวเพิ่มเติม ดังนี้
1. คสช.จะใช้เวลาประมาณ 1+/- ปีในการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับถาวร (ฉบับที่ 20) เมื่อเสร็จแล้วจะเข้าสู่การเลือกตั้งทั่วไป
2. คสช.ยังคงอยู่ต่อไป โดยมีอำนาจหน้าที่ด้านความมั่นคงให้แก่คณะรัฐมนตรีในช่วงที่บริหารงานระยะ 1+/- ปีข้างหน้า โดยมีอำนาจตามมาตรา 44 แต่ไม่มีอำนาจปลดนายกรัฐมนตรี หรือคณะรัฐมนตรี และไม่มีอำนาจในการบังคับบัญชาคณะรัฐมนตรีหรือข้าราชการประจำแต่อย่างใด
3. คสช.จะทำหน้าที่ไปจนกว่าจะมีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับถาวรใหม่ ส่วนคณะรัฐมนตรีภายใต้รัฐธรรมนูญชั่วคราวจะทำหน้าที่ไปจนกว่าจะมีคณะรัฐมนตรีชุดใหม่มารับหน้าที่ต่อ
4. คาดว่าในต้นส.ค.57 จะได้รายชื่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สมาชิก 220 คน ทำหน้าที่วุฒิสภา) รายชื่อสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สมาชิก 250 คน โดยให้อำนาจคสช.เป็นผู้คัดเลือก)แต่งตั้งนายกรัฐมนตรี & คณะรัฐมนตรีอีก 35 คน (นายกฯและรัฐมนตรีไม่จำเป็นต้องเป็นส.ส.หรือสมาชิกพรรคการเมืองแต่ต้องไม่เป็นสมาชิกสนช. สมาชิกสภาปฎิรูปแห่งชาติกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ สมาชิกสภาท้องถิ่น/ผู้บริหารท้องถิ่น ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ
* การเดินหน้าของคสช.ตามโรดแมปที่ได้ตั้งไว้เป็นปัจจัยหนุนความเชื่อมั่นนักลงทุน อย่างไรก็ตามยังมีประเด็นที่จับตากันอยู่ คือ รายชื่อสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.), รายชื่อสมาชิกสภาปฎิรูปแห่งชาติ (สปช.) และรายชื่อคณะรัฐมนตรี ว่าจะเป็นที่ยอมรับของประชาชนส่วนใหญ่หรือไม่ รวมถึงมีความห่วงใยว่าการบริหารงานจะเบ็ดเสร็จและขาดการตรวจสอบหรือไม่
นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค : Tel 7829 [email protected]