WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

ASP copyบล.เอเซียพลัส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน



กลยุทธ์การลงทุน
      คาด SET ฟื้นตัวตามราคาน้ำมันแต่น่าจะมีกรอบจำกัด โดย Fund flow ชะลอการซื้อ และน่าจะเริ่มขายทำกำไรหลัง SET ปรับขึ้นเกือบ 7% ช่วง 1 เดือนเศษ และธนาคารกลางโลกยังไม่การออกมาตรการ QE ในระยะนี้ กลยุทธ์ยังแนะสะสมหุ้น Laggard (ADVANC, RATCH, BBL, UNIQ) หรือได้ประโยชน์ต้นทุนน้ำมันต่ำ ยังเลือก TASCO([email protected]) และ BA([email protected]) เป็น Top picks

นโยบายการเงินผ่อนคลายยังมีอยู่ แต่ทำผ่านดอกเบี้ยเป็นหลัก
      ผลการประชุม กนง. วานนี้ เป็นไปตามคาด คือ คงดอกเบี้ยนโยบายที่ 1.5% (ตั้งแต่ เม.ย. 2558) และคาดว่าไม่มีผลต่อตลาดนัก เนื่องจากแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจในช่วงที่ผ่านมา และ นับจากนี้น่าจะ ขึ้นกับแรงหนุนจากมาตรการกระตุ้นภาครัฐที่ยังดำเนินอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดมีนโยบายให้สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำแก่ผู้มีรายได้น้อย รายละไม่เกิน 5 หมื่นบาท ให้เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำระยะ 3 (Soft loan) แก่ SMEs เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพฯ
ขณะที่สหรัฐ การรายงานดัชนีชี้นำเศรษฐกิจในส่วนของตลาดแรงงานยังดีต่อเนื่อง กล่าวคือ การจ้างงานภาคเอกชน (ADP Employment) เดือน ก.ค. เพิ่มขึ้นมากว่าที่ตลาดคาดที่ระดับ 1.79 แสนราย (เพิ่มติดต่อเป็นเดือนที่ 4) อย่างไรก็ตามเนื่องจากเงินเฟ้อที่ยังต่ำ และปัญหา Brexit ที่ยังกดดันเศรษฐกิจโลก น่าจะทำให้ ธนาคารกลางสหรัฐ หรือ Fed ยังคงเลื่อนการขึ้นดอกเบี้ยต่อไป สะท้อนจาก Fed fund future ใน Bloomberg ที่คาดโอกาสการขึ้นดอกเบี้ยในปีนี้น้อยมาก ในการประชุมช่วง ก.ย. คือเพียง 20% แม้จะเพิ่มเป็น 23.4% ในเดือน พ.ย. และเดือน ธ.ค. แม้ตลาดให้น้ำหนักมากที่สุดเพียง 38.5%
     และในวันนี้ ประชุมธนาคารกลางอังกฤษ(BOE)ตลาดคาดว่าจะลดดอกเบี้ยลง 25bps ปัจจุบันอยู่ที่ 0.5% (ยาวนาน 7 ปี) สะท้อนจากผลสำรวจของนักเศรษฐศาสตร์ Reuters 88% คาดว่าลดดอกเบี้ย ที่เหลือ 11% จะยืนดอกเบี้ยที่เดิม ซึ่งจะเป็นปัจจัยหนุน Money supply โลกและตลาดหุ้นในระยะถัดไป

ราคาน้ำมันฟื้นตัว แต่มีกรอบจำกัด ยังคงดีต่อผู้ใช้น้ำมัน : BA, TASCO
    วานนี้มีรายงานสต็อกน้ำมันของสำนักสารสนเทศด้านพลังงาน (EIA) รายสัปดาห์สิ้นสุด 29 ก.ค. พบว่า สต็อกน้ำมันดิบเพิ่มขึ้นสวนทางตลาดคาด กล่าวคือ เพิ่มขึ้น 1.4 ล้านบาร์เรล( VS ตลาดคาดลดลง 1.4 ล้านบาร์เรล) แม้กำลังการผลิตในประเทศจะยังคงลดลง (ลดลง 5.5 หมื่นบาร์เรล เหลือ 8.46 ล้านบาร์เรลต่อวัน) แต่ปริมาณการนำเข้าน้ำมันที่เพิ่มขึ้น 3.01 แสนบาร์เรล สูงสุดนับตั้งแต่เดือน ต.ค. 2555 ผลักดันให้สต็อกน้ำมันดิบยังคงเพิ่มขึ้นติดต่อกันเป็นสัปดาห์ที่สอง
      เช่นเดียวกับน้ำมันดีเซลเพิ่มขึ้น 1.2 ล้านบาร์เรล ยกเว้นน้ำมันสำเร็จรูป เบนซินปรับลดลงมากว่าตลาดคาด กล่าวคือ ลดลง 3.3 ล้านบาร์เรล (VS ตลาดคาดลด 0.2 ล้านบาร์เรล) ซึ่งเป็นการลดลงสูงสุดนับตั้งแต่เดือน เม.ย. 2559 เนื่องจากเข้าสู่ช่วงฤดูกาลขับขี่ในสหรัฐ (มิ.ย.-ก.ค.)
  อย่างไรก็ตามโดยรวมพบว่าราคาน้ำมันดีดตัวขึ้นช่วงสั้น อาทิ น้ำมันตลาดล่วงหน้า WTI และ Brent วานนี้ปรับขึ้นกว่า 3% สวนทางกับน้ำมันดิบดูไบ (Spot) ลดลง 1.32% ปิดตลาด 38.82 เหรียญต่อบาร์เรล น่าจะเกิดจากการที่ธนาคารสหรัฐมีแนวโน้มที่จะเลื่อนการขึ้นดอกเบี้ยไปอีกระยะ ทำให้ Dollar Index มีแนวโน้มทรงตัว หรือแกว่งตัวในกรอบจำกัด เมื่อเทียบกับสกุลยูโร และ เงินปอนด์ (ราคาน้ำมันจะสวนทางกับเงินดอลล่าร์ที่แข็งค่า) และราคาน้ำมันดิบที่ต่ำกว่า 40 เหรียญฯ ต่อบาร์เรล ทำให้ผู้ผลิตน้ำมันมีแนวโน้มจะหยุดผลิต ซึ่งจะกดดันให้ supply มีโอกาสลดลง และ ทำให้ Demand และ Supply มีแนวโน้มใกล้เคียงหรือสมดุลเร็วขึ้น
     ทั้งนี้ แม้ปัญหาเศรษฐกิจโลกที่ยังมีอยู่ โดยเฉพาะหลัง Brexit แต่อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าน่าจะกดดันให้ธนาคารกลางสำคัญ ๆ ของโลก ต้องกลับมาใช้มาตรการทางการเงินผ่อนคลาย ผ่านการ อัดฉีดเงินหรือ QE เข้าสู่ระบบ ซึ่งน่าจะสามารถช่วยพยุงราคาน้ำมันให้กลับไปเคลื่อนไหวในกรอบ 40-45 เหรียญฯต่อบาร์เรลได้ ซึ่งระดับนี้ถือว่ายังเป็นปัจจัยบวกต่อผู้ประกอบการที่มีต้นทุนน้ำมันเป็นหลัก เช่น กลุ่มขนส่งทางอากาศ อย่าง BA([email protected]) และใช้วัตถุดิบเป็นน้ำมันดิบ อย่าง TASCO([email protected])

ต่างชาติสลับมาขายหุ้นในภูมิภาค หลังซื้อติดต่อกันนานถึง 20 วัน
แรงซื้อหุ้นในภูมิภาคที่เริ่มชะลอตัวลง จนวานนี้ต่างชาติได้สลับมาขายสุทธิหุ้นในภูมิภาคเป็นครั้งแรก หลังซื้อสุทธิติดต่อกันนานถึง 20 วันทำการ ด้วยมูลค่าขายรวม 103 ล้านเหรียญ โดยมีเพียง 2 ประเทศเท่านั้นที่ยังคงซื้อสุทธิ คือ ฟิลิปปินส์ซื้อสุทธิราว 54 ล้านเหรียญ (หลังจากขายสุทธิไปวันก่อนหน้า) และอินโดนีเซีย 28 ล้านเหรียญ (ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 8) ส่วนที่เหลือสลับมาขายสุทธิ คือ ไต้หวันขายสุทธิ 83 ล้านเหรียญ (หลังจากซื้อสุทธิ 2 วัน), เกาหลีใต้ 68 ล้านเหรียญ (หลังจากซื้อสุทธินานถึง 15 วัน) และไทย 33 ล้านเหรียญ หรือ 1.1 พันล้านบาท (หลังจากซื้อสุทธิติดต่อกันนานถึง 17 วัน) ต่างกับนักลงทุนสถาบันฯที่ยังคงขายสุทธิราว 182 ล้านบาท (ขายสุทธิเป็นวันที่ 11 โดยมียอดรวมถึง 1.6 หมื่นล้านบาท)
  ขณะที่ตลาดตราสารหนี้ไทย นักลงทุนสถาบันในประเทศซื้อสุทธิ 9.3 หมื่นล้านบาท เช่นเดียวกับนักลงทุนต่างชาติที่ขายสุทธิราว 1.0 พันล้านบาท (หลังจากซื้อสุทธิติดต่อกัน 4 วัน)

ใกล้ลงประชามติ แต่คาดตลาดน่าจะให้น้ำหนักต่อพื้นฐานตลาดเป็นหลัก
     ยิ่งเข้าใกล้วันลงประชามติร่างรัฐธรรมนูญ 7 ส.ค. เชื่อว่าตลาดหุ้นไทยจะให้น้ำหนักต่อประเด็นนี้เพิ่มขึ้น ทั้งนี้หากผลออกมาว่า ประชาชนเห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญฯ ก็จะทำให้ร่างรัฐธรรมนูญมีผลบังคับใช้ จากนั้นจะเป็นการร่างกฎหมายลูกประกอบรัฐธรรมนูญ และเตรียมการเพื่อนำไปสู่การจัดการเลือกตั้งทั่วไป ซึ่งอาจเกิดขึ้นในช่วงเดือน ก.ย. 2560
      แต่ตรงกันข้ามหากผลออกมาว่าประชาชนไม่เห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญฯ ยังจำเป็นต้องดำเนินกระบวนการเพื่อให้ได้มาซึ่งรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เพื่อนำไปสู่การจัดการเลือกตั้งทั่วไปขึ้นมา แต่ประเด็นที่ต้องติดตามก็คือ รัฐธรรมนูญฉบับใหม่จะเกิดขึ้น มาด้วยวิธีการใดและมีเนื้อหาอย่างไร ซึ่งอาจใช้เวลาอย่างเร็วที่สุด คือ 2-3 เดือน โดยที่ คสช. มีแนวคิดว่าจะคงกำหนดการเลือกตั้ง แต่อาจเลื่อนออกไปเป็น พ.ย.-ธ.ค. ปี 2560
  เห็นได้ชัดเจนว่า นับจากการลงประชามติผ่านพ้นไป ถือเป็นรอยต่อที่สำคัญของการเมืองไทย แต่อย่างไรก็ตามการที่ SET Index ที่ปรับขึ้นมาอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่หลังการลงประชามติของอังกฤษเมื่อ 23 มิ.ย. เป็นต้นมา น่าจะทำให้ตลาดน่าจะพักตัวและน่าจะเคลื่อนไหวในกรอบ 1,495-1,530 จุด

ตลาดหุ้นฟื้นตัวตามราคาน้ำมันแต่มีกรอบจำกัด
คาดการณ์ฟื้นตัวดัชนีมีกรอบจำกัด ยังเน้นกลยุทธ์เดิมขายหุ้นแพงมาซื้อหุ้นที่ undervalue อิงเศรษฐกิจในประเทศ มีเงินปันผล และราคาหุ้นยัง Laggard ในหุ้นดังนี้
หุ้นที่ได้ประโยชน์จากราคาน้ำมันที่ต่ำ คือ 1) หุ้นขนส่งทางอากาศ ชอบ BA([email protected]) ราคาหุ้นมี upside สูงสุดเกือบ 30% แม้ระยะสั้นอาจจะถูกกดดันจากการจ่ายภาษีฯ ที่เพิ่มขึ้นดังกล่าวข้างต้น แต่น่าจะเป็นโอกาสสะสม เมื่อราคาหุ้นอ่อนตัว และ 2) ผู้ผลิตยางมะตอย ใช้น้ำมันเป็นวัตถุดิบ คือ TASCO ([email protected]) แม้ในทางปฏิบัติได้มีการทำสัญญาขายล่วงหน้าแล้ว ราว 30-65% ของผลิตภัณฑ์รวม (ยางมะตอยคิดเป็น 70%ของยอดผลิต ขณะที่น้ำมันใส 30%) ก็ตาม (น้ำมันใสทำ Hedging ทั้งหมด ราคาน้ำมันลงจึงได้ Hedging gain ส่วนยางมะตอยทำ Hedging บางส่วน) ราคาหุ้นมี upside 25%
อิงเศรษฐกิจในประเทศ (Domestic Play) อาทิ 1) กลุ่มค้าปลีก แต่เนื่องจากราคาหุ้นปรับตัวขึ้นได้ค่อนข้างแรง ทำให้ส่วนใหญ่มีค่า P/E แพง ยกเว้น BJC (FV@B47) ขณะที่ยังคาดหวังการเติบโตแบบก้าวกระโดดได้หลังจากนี้ จากการซื้อกิจการ BIGC
กลุ่มสื่อสาร ยังชื่นชอบ ADVANC (FV@B189) ที่มีความแข็งแกร่งในเรื่องของกระแสเงินสดมากที่สุด รวมทั้งยังคาดหวังเงินปันผลได้ในระดับสูง
กลุ่มวัสดุก่อสร้าง และกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง ตามปัจจัยบวกจากโครงการก่อสร้างภาครัฐที่จะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ SCCC (FV@B390), SCC (FV@B595), CK (FV@B36), UNIQ (FV@B20)
หุ้นที่มีกระแสเงินสดมั่นคง จ่ายปันผลได้อย่างสม่ำเสมอต่อเนื่อง ได้แก่ ADVANC (FV@B189), SCCC (FV@B390), PS (FV@B38), ASK (FV@B23), MCS ([email protected])

ภรณี ทองเย็น เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004146
เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004132
พบชัย ภัทราวิชญ์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 052647
ภราดร เตียรณปราโมทย์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 075365
พาสุ ชัยหลีเจริญ ผู้ช่วยนักวิเคราะห์
ฐกฤต ชาติเชิดศักดิ์ ผู้ช่วยนักเศรษฐศาสตร์

 

BSP

 

adsoptimal100

paidtoclick copy

  

 

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!