WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

DBS copyบล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน

 

หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : ไม่มี
  ปัจจัย&กลยุทธ์ทางปัจจัยพื้นฐาน : นักลงทุนต่างชาติชะลอการลงทุนในตลาดหุ้นไทยลงอย่างที่เราคาดการณ์ไว้ เมื่อมีความไม่แน่นอนด้านการเมืองในไทย โดยเอาเงินใหม่ไปลงทุนหรือพักไว้ในตลาดหุ้นอื่นที่ไม่มีปัญหาการเมืองก่อน ที่อยู่ใน TIP ด้วยกันก็เป็น อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์และพอดีเป็นช่วงที่ตลาดหุ้นพักฐานทั่วโลกด้วย แต่เมื่อการเมืองไทยชัดเจนและไม่มีความเสี่ยงมากก็มีโอกาสเข้ามาลงทุนเพิ่มแต่ก็ขึ้นกับสภาวะ

  ตลาดโดยรวมในช่วงนั้นด้วยว่าจะมีปัจจัยภายนอกที่กดดันแรงๆ หรือไม่ เพราะความเสี่ยงภายนอกก็มิใช่น้อย ทั้งจากปัญหาภาคธนาคารในยุโรปโดยเฉพาะอิตาลี, เศรษฐกิจญี่ปุ่นฟื้นตัวช้าและค่าเงินเยนแข็ง, ผลกระทบจาก Brexit, สหรัฐกลับเข้าสู่ Policy normalization ล่าช้า ตลาดหุ้นปรับขึ้นแซงการเติบโตของกำไร (P/E Expansion อย่างมาก ซึ่งบ่งชี้ถึงความสี่ยงภาวะฟองสบู่ตลาดหุ้น) เป็นต้น เพียงแต่เรายังไม่เห็นแรงกดดันที่สูงมากๆในระยะสั้น….ในช่วงเวลานี้เราตระหนักกันดีว่าการปรับขึ้นของตลาดหุ้นมาจาก Fund flow เป็นสำคัญ และเราก็ไม่แน่ใจว่า Flow เหล่านี้จะอยู่สั้นหรืออยู่ยาว (มองว่าน่าจะเอียงไปทางเล่นสั้นโดยหวังกำไรจากค่าเงิน+Capital gain แล้วก็จากไปเป็นส่วนใหญ่) ดังนั้นจึงต้องกำหนดกลยุทธ์การลงทุนโดยเน้นเรื่องความระมัดระวังให้มากขึ้น เรายังคงกำหนดกลยุทธ์การลงทุนโดยให้พิจารณาเรื่องของ Fair value ของหุ้นเป็นสำคัญ โดยเลือกซื้อ/ถือหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดีรองรับและยังเหลือ Upside พอควร ถ้ามีหุ้นอยู่แล้วก็ควรพิจารณาแบ่งขายทำกำไรเมื่อราคาหุ้นปรับขึ้นสูงกว่าเป้าหมายที่ประเมินอย่าง Aggressive ไปแล้ว สำหรับหุ้นเชิงกลยุทธ์แนะนำวันนี้เป็น CPNRF


  การวิเคราะห์ทางเทคนิค : ภาพตลาดเป็นลบ โดยปิดต่ำกว่า SMA10 และอยู่ในภาวะ Overbought + Divergence ด้วย แต่ก็ยังไม่ทิ้งการรีบาวด์ ก่อนลงต่ำต่อ การซื้อใหม่เน้นตามด้วยค่าบวก หรืออ่อนตัวลงมาที่แนวเด้ง 1490-1480 จุด แนวต้านระยะสั้นอยู่ที่ 1510, 1520 จุด
  สำหรับการ SCAN หุ้นเทคนิคดีพบว่า หุ้นที่เข้ามาใหม่ คือ BJC, CWT, MCOT, ASIMAR, LIT ส่วนหุ้นที่ยังอยู่ใน List คือ STEC, AAV, ASK, MCS, UV, LOXLEY, SPF, GFPT หุ้นที่หลุด List –ไม่มี- และหุ้นที่อยู่ในพื้นที่หาจังหวะ Take profit –ไม่มี-

ปัจจัยต่างประเทศ
• สหรัฐ : การใช้จ่ายผู้บริโภคเพิ่ม แต่น้อยกว่าคาด
  กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยการใช้จ่ายของผู้บริโภค +0.4%MoM ในเดือนมิ.ย. เท่ากับดือนพ.ค. ขณะที่รายได้ส่วนบุคคลของชาวสหรัฐ +0.2%MoM ในเดือนมิ.ย. เท่ากับเดือนพ.ค.เช่นกัน
ส่วนดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) พื้นฐานซึ่งไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน และเป็นมาตรวัดอัตราเงินเฟ้อที่ธนาคารกลางสหรัฐให้ความสำคัญ +0.1%MoM ในเดือนมิ.ย. หลัง +0.2%MoM ในเดือนพ.ค.
• อังกฤษ : ติดตามผลประชุม BOE 4 ส.ค. คาดออกมาตรการกระตุ้นเพิ่ม
  คณะกรรมการนโยบายการเงินธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) จะมีการประชุมในวันที่ 4 ส.ค.59 ซึ่งตลาดประเมินว่าน่าจะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมหลังจากมีสัญญาณทางลบหลัง Brexit โดยอาจปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% (ปัจจุบันอยู่ที่ 0.50%)
- ตลาดหุ้นสหรัฐ : ลดลงต่อ...ติดตามตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนก.ค.ที่จะออกมาศุกร์นี้
  ดัชนี DJIA ลดลง 90.74 จุด หรือ -0.49% ดัชนี NASDAQ ลดลง 46.47 จุด หรือ -0.90% ดัชนี S&P500 ลดลง 13.81 จุด หรือ -0.64% ปัจจัยที่กังวล คือ การลดลงของราคาน้ำมันดิบกระทบหุ้นกลุ่มพลังงาน รายงานเตือนเรื่องการแพร่ระบาดของไวรัสซิกาในเมืองไมอามีกดดันหุ้นกลุ่มสายการบิน อุปสงค์รถยนต์เดือนก.ค.ที่ชะลอตัวลง และนักลงทุนรอดูตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนก.ค.ของสหรัฐซึ่งจะมีการเปิดเผยในวันศุกร์นี้ โดยคาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้น 185,000 ตำแหน่ง
- ราคาน้ำมันดิบ : WTI ต่ำกว่า 40 ดอลลาร์/บาร์เรลแล้ว...โอเปกอาจผลิตน้ำมันเป็น Record high ในก.ค.59
  สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.ย.ร่วงลง 55 เซนต์ หรือ 1.4% ปิดที่ 39.51 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 7 เม.ย.59 ส่วน BRENT ส่งมอบเดือนก.ย.ดิ่งลง 34 เซนต์ หรือ 0.8% ปิดที่ 41.80 ดอลลาร์/บาร์เรล ปัจจัยกดดันยังคงเป็นภาวะอุปทานล้นตลาดหลังผลสำรวจพบว่ากลุ่มโอเปกผลิตน้ำมันสูงขึ้นในเดือนก.ค.59 และมีแนวโน้มแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์
+ ราคาทองคำ : พุ่งขึ้นแรง…คาดหลายประเทศจะใช้มาตรการกระตุ้นเพิ่ม
  สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค.พุ่งขึ้น 13 ดอลลาร์ หรือ 0.96% ปิดที่ระดับ 1,372.60 ดอลลาร์/ออนซ์

ปัจจัยในประเทศ & หุ้นเด่น
• ไทย : คาดกนง.คงดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 1.5% ในการประชุม 3 ส.ค.59
  คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะมีการประชุมกันอีกครั้งในวันที่ 3 ส.ค.นี้ นักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่ เชื่อว่ากนง.จะยังคงดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 1.5% เพื่อรอดูผลการลงประชามติเกี่ยวกับร่างรัฐธรรมนูญใหม่วันที่ 7 ส.ค.นี้ (โดยประเด็นหลักที่สนใจคือจะมีการเลือกตั้งในปี 60 หรือไม่ถ้าร่างฯไม่ผ่านประชามติ และถ้าจัดทำร่างฯใหม่เพื่อให้มีเลือกตั้งแล้ว ที่มาและเนื้อหาของร่างฯใหม่จะได้รับการยอมรับจากประชาชนส่วนใหญ่หรือไม่) และตัวเลขเศรษฐกิจหลายๆ ส่วนเริ่มฟื้นตัวดีขึ้น ขณะที่อัตราเงินเฟ้อยังต่ำและไม่เป็นแรงกดดัน
• RS (ราคาปิด 10.70 บาท) – ขาดทุนใน 2Q59 แต่มีโอกาสพลิกฟื้นได้ใน 2H59 และเติบโตสูงในปี 60
  คาดการณ์ว่า 2Q59 บริษัทจะรายงานขาดทุนสุทธิ 40-50 ล้านบาท (1Q59 กำไรสุทธิ 107 ล้านบาทและ 2Q58 กำไรสุทธิ 42 ล้านบาท) เนื่องจากมีค่าใช้จ่ายในการเปิดตัวและทำการตลาดธุรกิจสุขภาพและความงาม สำหรับรายได้จากช่อง 8 ทีวีดิจิตอลดีขึ้นทั้งในส่วนของ U Rate และอัตราค่าโฆษณาที่เพิ่มขึ้น 16%QoQ เป็นเฉลี่ย 2.2 หมื่นบาท/นาที แต่ส่วนนี้ก็ไปชดเชยกับรายได้จากทีวีดาวเทียมที่ลดลงเพราะผู้ซื้อโฆษณาหันมาซื้อกับทีวีดิจิตอลแทน รายได้จากงานอีเว้นท์ลดลงจาก 1Q59 ด้านอัตรากำไรขั้นต้นเฉลี่ยใน 2Q59 คาดว่าอ่อนลงเป็น 27-28% จาก 34% ใน 1Q59 เพราะรายได้ที่มาร์จิ้นสูงคืองานอีเว้นท์และรายได้ด้านสุขภาพและความงามลดลง (ช่วง 2Q59 มีการปรับกลยุทธ์การตลาดและช่องทางการจัดจำหน่ายใหม่) รวมทั้งมีค่าใช้จ่ายในการเปิดตัวสินค้าใหม่มาจีค (Magique) ด้วย
  แต่คาดว่ากำไรสุทธิจะฟื้นตัวได้ในช่วง 2H59 หลังจากที่ค่าใช้จ่ายก้อนใหญ่ได้บันทึกไปมากใน 2Q59 และยอดขายผลิตภัณฑ์สุขภาพและความงามเพิ่มขึ้น รายได้จากช่อง 8 สูงขึ้นจาก U Rate ที่ดีขึ้นเป็นลำดับ เป็นช่วง High season ของการโฆษณา และมีการขยับขึ้นอัตราค่าโฆษณาขึ้นด้วย โดยรวมแล้วคาดว่าผลประกอบการ RS จะเข้าสู่ช่วง Turnaround ได้ใน 2H59 และเติบโตสูงในปี 60 ในเชิงกลยุทธ์ แนะนำซื้อสะสมจังหวะราคาหุ้นอ่อนตัว (ราคาเป้าหมายเฉลี่ยใน IAA Consensus อยู่ที่ 12.50 บาท) สำหรับ Trading Catalyst ในระยะสั้น คือ อาจมีการกลับรายการค่าใช้จ่ายเป็นรายได้ 80 ล้านบาทใน 2H59 อันเกิดจากเงินที่บริษัทส่งเข้ากองทุนวิจัยและพัฒนา (USO) อัตรา 2% ของรายได้ที่บริษัทลงรายการไว้เป็นค่าใช้จ่ายตั้งแต่เริ่มธุรกิจทีวีดิจิตอล ซึ่งกสทช.กำลังพิจารณาว่าจะมีการเรียกเก็บเงิน USO ย้อนหลังหรือไม่ คาดว่าจะสรุปได้ในก.ย.นี้ ถ้าไม่เรียกย้อนหลังก็สามารถกลับรายการมาเป็นรายได้พิเศษได้
+ CPNRF (ราคาปิด 20.20 บาท) : จะสรุปว่าจะแปลงกองทุนไปเป็น REIT หรือไม่ในช่วง 3Q59 ซึ่งเราประเมินว่า
  มีโอกาสสูงที่จะแปลงไปเป็น REIT ซึ่งเป็นผลดีในระยะยาวกับผู้ถือหน่วยในระยะยาว แม้ว่าผู้หน่วยสถาบันจะต้องเสียภาษีเพิ่มขึ้น (แต่ผู้ถือรายย่อยไม่กระทบ) แต่กองทุนมีโอกาสเติบโตได้ต่อเนื่อง อายุเฉลี่ยของสิทธิการเช่ามาบริหารเพิ่มขึ้นกองทุนมีความมั่นคงมากขึ้นและจ่ายปันผลต่อหน่วยได้ในระดับสูงในระยะยาว แนะนำซื้อ ให้ราคาพื้นฐาน 22.50 บาท โดยคาดการณ์ Dividend Yield ปี 59 ไว้ที่ 6.2% (จ่ายทุกไตรมาส)
+ BEM (ราคาปิด 7.95 บาท) : รฟม.จ้างให้แก้ปัญหา 1 สถานีช่วงเตาปูน-บางซื่อมูลค่า 693 ล้านบาท
  บอร์ดรฟม.มีมติให้จ้าง BEM แก้ปัญหา 1 สถานีติดตั้งระบบเดินรถช่วงเตาปูน-บางซื่อมูลค่า 693 ล้านบาท โดยจะเริ่มเดือนก.ย.59 และคาดว่าจะสามารถเปิดใช้อย่างเป็นทางการได้ประมาณก.พ.-มี.ค.60

นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค – [email protected] 

 

BSP

 

adsoptimal100

paidtoclick copy

  

 

0000000000000000000

? 2016 PricewaterhouseCoopers. All rights reserved.

BSP

 

adsoptimal100

 

paidtoclick copy

 

  

loading...

 

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!