- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Monday, 01 August 2016 18:35
- Hits: 7033
บล.โนมูระ พัฒนสิน : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
เศรษฐกิจ US ต่ำคาด กระตุ้น Flow เข้าเอเชีย แต่ความเสี่ยงการเมือง ยังจำกัด Upside สั้น เน้นกลุ่มคาดกำไรเด่น (ERW, AAV, GFPT)
Nomura : Key Factors
(+) Flow : ต่างชาติยังคงซื้อสุทธิในตลาดหุ้นไทย 15 วันติดต่อกัน กว่า 1168 ล้านเหรียญ
(+) Ex Factor: ผลการทำ Stress Test ของ BANK ในยุโรป ส่วนใหญ่มีความแข็งเพียงพอ
(+) Monetary Easing: เก็งการกระตุ้นเศรษฐกิจจากธนาคารกลางต่างๆ หลัง BREXIT
(+) EU Econ: GDP 2Q16 ยูโรโซน ที่ +1.6%y-y ดีกว่าคาดที่ +1.5%y-y
(+) OIL: ราคาน้ำมันดิบวานนี้ WTI +1.12% สู่ $41.6/bbl / Brent +0.69% สู่ $43.27/bbl
(*) Fund Flow: ต่างชาติซื้อ 627 ลบ, Short Future 4107, ซื้อ Bond 4250 ลบ
(*/-) China : ดัชนี PMI ภาคการผลิต จีน กค. ที่ 49.9 ต่ำคาดเล็กน้อยที่ 50.0 จุด
(-) US Econ: ดัชนี GDP 2Q16 สหรัฐ ขยายเพียง +1.2%q-q ต่ำคาดที่ +2.5%q-q
(-) Valuation: SET ปัจจุบันเทรด PER16F ที่ 16.47 เท่า สูงกว่า LT Avg PER 14.7 เท่า
SET PER 16F: CNS 16.34x (EPS 93.25) vs Cons.16.47x (LT-Avg 15x)
2016 SET Target: CNS Base 1515 pts (EPS 93.25, PER16.25x)
Nomura Daily Top Picks: ERW, AAV, GFPT
Daily Outlook : คาดดัชนีวันนี้ ขึ้นจำกัด ในกรอบแนวต้าน 1533/1537 จุด และแนวรับ 1517/1510จุด จากการรายงานดัชนี GDP 2Q16 ของสหรัฐฯ ช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ที่ขยายตัวเพียง +1.2%q-q ต่ำกว่า consensus คาดที่ +2.5%q-q สะท้อนถึงภาพรวมเศรษฐกิจสหรัฐฯฟื้นตัวได้ต่ำกว่าคาด บ่งชี้เป็นนัยฯว่า โอกาสในการปรับขึ้นดอกเบี้ยสหรัฐฯปีนี้ น่าจะไม่เร่งรีบมากนัก (Nomura คาด FED จะขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในปีนี้เพียง 1 ครั้งเท่านั้น ช่วงเดือน ธค.) ส่งผลให้ทิศทาง Dollar Index อ่อนค่าแรงสู่ระดับ 95.657 จุด (-1.25%) กระตุ้นทิศทางค่าเงินเอเชียเช้านี้ ยังคงแข็งค่าขึ้นเฉลี่ยราว 0.3% ปัจจัยดังกล่าวถือเป็นปัจจัยหนุนต่อทิศทาง Fund Flow มีโอกาสไหลเข้าตลาดหุ้นในแถบ Asia EM อย่างต่อเนื่อง สอดคล้องกับข้อมูลสถิติในช่วงที่ผ่านมา ที่พบว่าต่างชาติยังคงซื้อสุทธิในตลาดหุ้น Asia EM 5 ประเทศสำคัญต่อเนื่อง 17 วันติดต่อกัน ด้วยปริมาณการซื้อสุทธิกว่า 1.14 หมื่นล้านเหรียญ ถือเป็นปัจจัยที่หนุนภาพรวมตลาดหุ้นแถบนี้ยังคง Outperform ประเทศในกลุ่ม DM ต่อไป แต่อย่างไรก็ตามสำหรับปัจจัยในประเทศ ช่วงสุดสัปดาห์นี้ (7 สค.) จะเป็นวันทำประชามติร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่จะบ่งชี้ทิศทางการเมืองในช่วงถัดไป ดังนั้น ช่วงสัปดาห์นี้ เราคาดอาจจะมีแรงขายลดความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนของผลโหวตดังกล่าว
ดังนั้น สำหรับกลุ่มที่รับความเสี่ยงได้ต่ำ ยังคงแนะนำจังหวะที่ตลาดปรับตัวขึ้น เป็นโอกาสในการทยอยลดน้ำหนักการลงทุนหุ้นไทยลงเหลือเพียง 50% ของพอร์ตการลงทุน โดยอาจจะมีการปรับเพิ่มน้ำหนักการลงทุนเพิ่มกลับมาอีกครั้ง หากเหตุการณ์ทางการเมืองมีความชัดเจนมากยิ่งขึ้นหลังการทำประชามติ ส่วนตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญที่น่าจับตา วันนี้แนะ 1) ISM ภาคการผลิต US กค. คาดที่ 53 จุด ลดลงเล็กน้อยจากเดือนก่อนที่ 53.2 จุด และ 2) ดัชนีเงินเฟ้อไทย กค. คาดที่ +0.5%y-y จาก +0.38%y-y
Asset allocation : หุ้น 50% ทองคำ 12.5% ตลาดบอนด์ 5% และเงินสด 32.5%
Short-Term Strategy : คาดความไม่แน่นอนของผลการทำประชามติอาจทำให้ตลาดมีความผันผวนระยะสั้นก่อนวันที่ 7 สค 2016 เราจึงแนะนำทยอยลดน้ำหนักการลงทุนหุ้นลง 20% เหลือเพียง 50% ดังนั้นในระยะนี้ หุ้นที่ควรถือไว้ในพอร์ตลงทุนน่าจะเป็นหุ้นที่ไม่อิงปัจจัยการเมือง หรือ The Laggard ที่แนวโน้มกำไร 2Q16F เด่น แนะนำ CPF, GFPT, BCH, WORK, ERW และ The Momentum Play : AAV, BJC, SYNTEC รวมถึงหุ้นพลังงานงานทางเลือก : PSTC, TPCH, BWG ส่วนสำหรับนักลงทุนระยะกลางแนะจังหวะย่อทยอยสะสมหุ้น 3Q16 Top Picks ใน Theme : Inflation Play SCB, BBL, TCAP, HMPRO, GLOBAL, CPF, GFPT และ Earning Momentum Play PYLON, ERW, PSTC สำหรับวันนี้แนะนำ ?Daily Top Picks: ERW, AAV, GFPT?
Investment Theme:
2016 AEC Connectivity : WISE
Wellness & discover Thainess: ERW, KAMART, BCH, BDMS
Infrastructure: BBL, CK, AMATA. DCC
Spending Recovery: ROBINS, CI, LH, TCAP
Eco Friendly: SCC, KSL, BRR, NYT
3Q16 Top Picks : Inflation Play SCB, BBL, TCAP, HMPRO, GLOBAL, CPF, GFPT
3Q16 Top Picks : Earning Momentum Play PYLON, ERW, PSTC
Fundamental & Tactical Daily Top Picks :
ERW (TP6.3*): Support 4.72/4.64 Resistance 4.88/5.0
Theme : Earnings Momentum
Earning outlook : คาดผลประกอบการ 2Q16F พลิกกำไร 20 ลบ. จากกลุ่ม MICE กลับมาฟื้นตัว บวกกำไรจากการขาย shop house 4 units ต่อเนื่องถึง 3Q16F โดยรวมคาดกำไรปี 2016F ที่ 376 ลบ. +90%y-y
Valuation : แนวโน้มกำไรปกติโตเด่น 38% CAGR (16F-18F) ปรับไปใช้ TP17F ที่ 6.30 Upside 36%
Catalyst : ไม่ขาดทุน Low season อีกต่อไป คาดผลประกอบการ 2Q16F แกร่ง พลิกกำไร 20 ลบ.
AAV (TP6.9*): Support 6.55/6.4 Resistance 7.0/7.2
Theme : Oil Price Slump
Earning Outlook : คาดกำไรสุทธิ 2Q16F ที่ระดับ 292 ลบ. (+42% y-y) อานิสงค์จากจำนวนนักท่องเที่ยวที่เติบโตต่อเนื่อง และอัตราเติบโตของผู้โดยสารได้ดี +18% y-y ผสานคาดกำไรปี 16F เติบโตต่อเนื่อง 77.09% y-y
Valuation : มูลค่าเหมาะสมปี 2016F ที่ 6.90 บาท EV/EBITDA16F ที่ 7x เท่าและ Dividend Yield ที่ 2.87%
Catalyst : คาดกำไรสุทธิ 2Q16F ที่ระดับ 292 ลบ. (+42% y-y) อานิสงค์จากจำนวนนักท่องเที่ยวที่เติบโตต่อเนื่อง และอัตราเติบโตของผู้โดยสารได้ดี +18% y-y ประกอบกับ ส่งมอบเครื่องบินเพิ่มอีก 2 ลำเป็น 49 ลำ
GFPT (TP13.6*): Support 12.0/11.6 Resistance 12.5/13.2
Theme : The Laggard
Earning outlook : คาดกำไรสุทธิ 2Q16F ที่ระดับ 359 ลบ. +79% y-y, +30% q-q จากปริมาณส่งออกไก่เพิ่มขึ้น และต้นทุนถั่วเหลืองลดลง y-y, q-q หนุนผลประกอบการดีต่อเนื่องตลอดปี 2016F
Valuation : มูลค่าพื้นฐานปี 2016F ที่ 13.6 บาท Upside 12% อิง PER16F ที่ระดับ 10.7x
Catalyst : เก็งงบ 2Q16F โตเด่น +79%y-y, +30%q-q ที่ 359 ลบ. ต่อเนื่องถึง 3Q16F จาก High Season ของการส่งออก
Note: TP (Bloomberg Consensus) , *TP(CNS), **TP(Nomura)
Research and IRIS Reports
EARNINGS PREVIEW:
BIGC (NEUTRAL, TP215) คาด NP2Q16F ที่ 2,012 ล้านบาท ( +2%y-y,+34%q-q)
เราปรับคำแนะนำขึ้นเป็น "NEUTRAL" ตามการเปลี่ยนไปใช้ราคาเป้าหมายเป็นปี 17F ที่ 215 บาท (จากเดิมปี 16F ที่ 200 บาท) ทั้งนี้ แม้เรามีมุมมองที่ดีขึ้นต่อแนวโน้มกำไรสุทธิ 2Q16F โดยคาดโต +2%y-y,+34%q-q (ดีกว่าคาดเดิม +13%) เพราะปลายไตรมาสมีการเปลี่ยนกลยุทธ์การดำเนินงานใหม่เน้นเพิ่มอัตราทำกำไรให้สูงขึ้น จึงตัดสินใจลดสัดส่วนการขายสินค้าที่ไม่สร้างกำไร ทำให้ GPM จะฟื้นตัวเด่น q-q มาอยู่ในระดับใกล้เคียง 2Q15 อีกครั้ง อย่างไรก็ตาม กลยุทธ์ดังกล่าวจะมีผลต่อยอดขายจะชะลอลง เราจึงปรับสมมติฐาน SSSG ทั้งปี 16F ลงกลายเป็นติดลบกว่า -5% จากเดิมคาด +1% และประเมินเป็นอีกปัจจัยที่ทำให้ BIGC ตัดสินใจปรับนโยบายการขยายสาขาใหม่ที่ Aggressive ขึ้นในปี 17F เราปรับลดกำไรสุทธิปี 16-17F ลง -4%ต่อปี เหลือ 7,666 ล้านบาท (+11%y-y) และ 8,531 ล้านบาท (+11%y-y) ตามลำดับ ซึ่งยังคงโตต่ำกว่าค่าเฉลี่ยกลุ่มพาณิชย์ (ปี 16F +14%/ปี17F +25%) อีกทั้ง Free float ของหุ้นน้อย 2% และ Upside ที่จำกัด +4% จึงแนะนำให้เปลี่ยนไปลงทุนบริษัทแม่ BJC (BUY,TP17F 55 บาท) แทน
EARNINGS PREVIEW:
BDMS (BUY, TP30) 2Q16F มีผลกระทบฤดูกาลและต้นทุนสูงขึ้น
เรามีมุมมอง Neutral ต่อแนวโน้ม 2Q16F ของ BDMS คาดกำไรสุทธิ 1,585 ล้านบาท (+6%y-y -34%q-q) โดยกำไรสุทธิเติบโต y-y ตามรายได้เพิ่มขึ้นและค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยลดลง อย่างไรก็ดีเทียบ q-q กำไรสุทธิอ่อนลดลงจากผลด้านฤดูกาลและผลกระทบเทศกาลรอมฎอน ประกอบกับมีต้นทุนและค่าใช้จ่าย SG&A เพิ่มขึ้น ส่งผลให้ Gross margin และ EBITDA margin ลดลงเหลือ 30.1% และ 15.3% ตามลำดับ แนวโน้ม 3Q15F คาดกำไรสุทธิกลับมาเติบโตราว 4-5%y-y และฟื้นตัว q-q เนื่องจากปัจจัยบวกฤดูกาลและไม่มีผลกระทบจากเทศกาลรอมฎอน เราปรับไปใช้ราคาเป้าหมายปี 17F ที่ 30 บาท โดยยังชอบ BDMS เนื่องจากมีความได้เปรียบด้านเครือข่าย รพ. รองรับกลุ่มลูกค้าระดับกลาง-ระดับบน รวมทั้งคาดว่า EBITDA margin มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากผลบวก Economy of scale และรพ.ใหม่ 13 แห่งมีผลการดำเนินงานดีขึ้น คงคำแนะนำ BUY
EARNINGS PREVIEW:
BWG (BUY, TP3.14) คาดกำไรสุทธิ 2Q16F ที่ 85.08 ลบ. (+11.52% y-y, +0.95% q-q)
เราคาดว่า BWG จะรายงานกำไรสุทธิ 2Q16F ที่ 85.08 ลบ. (+11.52% y-y, +0.95% q-q) และคาดบันทึกรายได้รวมใกล้เคียงเดิมที่ 436.56 ลบ. (+5.29% y-y, +3.0% q-q) ในเบื้องต้น เราคาดว่ารายได้เติบโตจากปริมาณขยะกากอุตสาหกรรมที่รับกำจัดเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ประกอบกับ ส่วนเพิ่มจากการขายขยะอัดแท่ง (RDF) กำลังการผลิตปัจจุบันที่ระดับ 600 ตัน/วัน จากเดิมใน 1Q16 ที่มีกำลังการผลิตเพียง 250 ตัน/วัน ผลิตและจำหน่ายให้แก่ผู้ประกอบการโรงงานชีวมวลและอื่นๆ จากอานิสงค์ อัตรากำไรขั้นต้นของธุรกิจ RDF (>60%) สูงกว่าธุรกิจกำจัดขยะอุตสาหกรรม ส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นโดยรวมทรงตัวที่ 44.0% (1Q16: 44.9%) สอดคล้องกับอัตรากำไรสุทธิที่ 19.5% (1Q16: 19.9%) อย่างไรก็ตาม คาดว่าภาระดอกเบี้ยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในช่วง 2H16 จากการกู้เงินจากสถาบันการเงิน 800 ลบ. สำหรับก่อสร้างโรงไฟฟ้าขยะโรงที่ 2 กำลังการผลิต 9.4 MW
EARNINGS PREVIEW:
BJC (BUY, TP55) NP2Q16F ที่ 479 ลบ. (-36%y-y,-11%q-q) แต่ดีกว่าคาดเดิม
เรามีมุมมอง Positive มากขึ้นต่อ BJC ทั้งแนวโน้มผลการดำเนินงาน 2Q16F (คาดกำไร 478 ล้านบาท) และระยะยาว (ปี 16-17F) ทั้ง upside ที่เกิดต้นทุนดอกเบี้ยที่ต่ำเหลือ 3-4% ดีกว่าเราและตลาดคาดไว้ 4.5-5% และการมีกำไรจากการอัตราแลกเปลี่ยนราว 1,000 ล้านบาทหลังค่าเงินยูโรอ่อนค่า จึงปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 16-17F ขึ้นจากเดิม +64%/+18% เป็น 3,347 ล้านบาท (+20%y-y) และ 6,953ล้านบาท (+108%y-y) ตามลำดับ ทำให้ผลการดำเนินงานปี 17F จะฟื้นตัวโดดเด่นที่สุดในกลุ่ม จึงปรับคำแนะนำขึ้นเป็น "BUY" และเลือก BJC เป็นอีกหุ้น Top pick กลุ่มพาณิชย์สำหรับปี 17F คู่กับ ROBINS (TP72)
EARNINGS RESULT:
BH (BUY, TP225) กำไรสุทธิ 2Q16 ลดลง q-q ตามรายได้และ margin
เรามีมุมมอง Neutral ต่อกำไรสุทธิ 2Q16 ที่ 858 ล้านบาท (+1%y-y -12%q-q) เนื่องจากกำไรที่ลดลง q-q เป็นผลด้านฤดูกาล Low season และผลกระทบเทศกาลรอมฎอน ทำให้ผู้ป่วยลดลงทั้ง OPD และ IPD โดยเฉพาะรายได้ IPD กลุ่มลูกค้าต่างชาติ ส่งผลให้รายได้ (-1%y-y -6%q-q) และ Gross margin ลดลง q-q เป็น 41.2% ขณะที่ EBITDA margin ทรงตัวที่ 30.3% แนวโน้ม 3Q16F คาดกำไรสุทธิกลับมาเติบโต y-y และ q-q จากปัจจัยบวกฤดูกาลและไม่มีผลกระทบเทศกาลรอมฎอน ทำให้ความสามารถในการทำกำไรจะฟื้นตัว q-q เราปรับไปใช้ราคาเป้าหมายปี 17F ที่ 225 บาท มองว่าราคาหุ้น BH ตอบรับการลดลงของลูกค้าต่างชาติ โดยเฉพาะ UAE ไปมากแล้ว ประกอบกับคาดว่ากำไรสุทธิปีนี้ผ่านจุดต่ำสุดแล้ว และมีความน่าสนใจเชิง Valuation จากราคาหุ้นซื้อขาย PE ปี 17F ที่ 31.6 เท่า ถูกสุดในกลุ่มการแพทย์ จึงปรับคำแนะนำจาก NEUTRAL เป็น BUY
INDUSTRY QUICK COMMENT:
AGRO AND FOOD (NEUTRAL) มีเพียงราคาไก่ในประเทศเพิ่มขึ้น
ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ราคาถั่วเหลืองลดลง -4.33%w-w เพราะสภาพอากาศในเขต Midwest ที่ยังแห้งและอุ่นพอดีต่อการออกสร้างฝักถั่วเหลือง ส่งผลให้คาดว่าผลผลิตถั่วเหลืองสหรัฐอาจจะสูงกว่าคาด ขณะที่ราคาน้ำตาล (-1.08%w-w) ราคาน้ำมันปาล์ม (-0.71%w-w) ราคายางพารา (-0.65%w-w) ลดลง เพราะ 1) คาดการณ์ว่าอากาศที่แห้งขึ้นในบราซิลมีผลดีต่อการเก็บเกี่ยวอ้อยและการเริ่มปลูกอ้อยฤดูกาลใหม่ ขณะที่ไทยและอินเดียมีภาวะฝนตกมากขึ้นจึงคาดว่าผลผลิตน้ำตาลจะดีขึ้น 2) ภาวะฝนตกชุกมากขึ้นในมาเลเซียทำให้คาดผลผลิตน้ำมันปาล์มดีขึ้น 3) ควากังวลเกี่ยวกับเศรษฐกิจจีน หลังจากมีรายงานว่ารัฐวิสาหกิจจีนมีผลกำไรลดลงเกินคาดในช่วงครึ่งแรกของปีนี้
อุตสาหกรรมเนื้อสัตว์ในประเทศ ราคาไก่มีชีวิตเพิ่มขึ้นเพราะปริมาณไก่เป็นและน้ำหนักลดลงอย่างไรก็ตามราคาสุกรทรงตัว เพราะการบริโภคทรงตัวสอดคล้องกับปริมาณสต็อก ส่วนราคากุ้งลดลงเพราะผลผลิตเข้าสู่ตลาดมากขึ้น
เราให้ BUY CPF (TP 35) เป็น Top pick เพราะคาดธุรกิจกุ้งฟื้นตัวต่อเนื่อง กำไรปกติเพิ่มขึ้น q-q ใน 2Q16F BUY GFPT (TP 13.6) คาดกำไรปกติเพิ่มขึ้น q-q ใน 2Q16F เพราะส่งออกไก่เพิ่มขึ้น ส่วนราคาถั่วเหลืองที่ผันผวนแต่ยังอยู่ในระดับที่บริหารมาร์จิ้นได้ น่าจะยังดีต่อ 2Q16F ของ TVO (NEUTRAL TP 28) คาดเงินปันผลระหว่างกาล 1 บาท/หุ้น ถ้านักลงทุนต้องการสะสม TVO ให้รอก่อน แนะนำเทรดดิ้ง STA (BUY TP 13.40) เพราะราคายางดีเมย-พค.ทำให้กำไรปกติดีขึ้นมากใน 2Q16F
Weekly Outlook :
Referendum Risk
Top Picks: ERW, GFPT, BCH
Weekly outlook : พักฐาน ในกรอบแนวต้าน 1530/1537จุด รับ 1505/1480จุด
สัปดาห์นี้ คาด SET พักฐานในกรอบแนวรับ จากความเสี่ยงเรื่อง การทำประชาพิจารณ์ร่างรัฐธรรมนูญ 7 สค 2016 ที่อาจจะเป็นแรงกดดันระยะสั้นทำให้ตลาดผันผวนก่อนผลประชามติออกได้ โดยเราประเมินผลกระทบออกเป็น 3 กรณีดังนี้
1) กรณีประชามติ รับ ร่างรัฐธรรมนูญ คาด Fund Flow หนุน SET เดินหน้าแตะ 1,580-1,600จุด ก่อนสิ้น กย 2016 ให้โอกาส 50%
2) กรณี ไม่รับร่าง แล้วรัฐบาลส่งสัญญาณนำรัฐธรรมนูญฉบับใดๆ ในอดีต มาแก้บางมาตราแล้วประกาศใช้ คาดการเลือกตั้งเกิดปลายปี 2017 SET น่าจะย่อจำกัด ที่แนวรับ 1480/1465จุด ให้โอกาส 40%
3) กรณี ไม่รับร่าง แล้วรัฐบาลเดินหน้าเขียนรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ คาดการเลือกตั้งปี 2017 จะไม่เกิด คาด Outflow กด SET อาจปรับฐานแรงลงสู่ 1433-1407จุด ให้โอกาส 10%
ส่วนปัจจัยอื่นๆ ให้จับตา BOE Meeting 4 สค. Nomura คาดการประชุม BOE รอบนี้ (4 สค.) มีโอกาสที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% รวมถึงคาดจะปรับเพิ่มวงเงินการเข้าซื้อสินทรัพย์ อีก 125 พันล้านปอนด์ สู่ระดับ 500 พันล้านปอนด์ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมหลังเหตุการณ์ Brexit ซึ่งจะเป็นจิตวิทยาบวกในช่วงถัดไป
กลยุทธ์การลงทุน: SET ตอบรับเชิงบวกต่อนโยบายการเงินผ่อนคลายของธนาคารกลางต่างๆ ไปมากพอสมควรแล้ว หลัง SET ยืนเหนือดัชนีเป้าหมายปี 2016 ของเราที่ 1515จุด หรือ PER16F 16.25เท่า ดังนั้นความไม่แน่นอนของผลการทำประชามติอาจทำให้ตลาดมีความผันผวนระยะสั้นก่อนวันที่ 7 สค 2016 เราจึงแนะนำทยอยลดน้ำหนักการลงทุนหุ้นลง 20% เหลือเพียง 50% เพื่อรอตั้งรับกรณีดัชนีปรับฐานลงสู่ 1480/1465จุด อย่างไรก็ดี กรณีแนวโน้มผลประชามติออกมาเชิงบวก เราจะปรับน้ำหนักการลงทุนขึ้นสู่ 70% อีกครั้งเพื่อเป้าหมาย Election Rally ในระยะกลาง-ยาว ดังนั้นในระยะนี้ หุ้นที่ควรถือไว้ในพอร์ตลงทุนน่าจะเป็นหุ้นที่ไม่อิงปัจจัยการเมือง หรือ The Laggard ที่แนวโน้มกำไร 2Q16F เด่น แนะนำ CPF, GFPT, BCH, WORK, ERW และ The Momentum Play SYNTEC, BJC, AAV
หุ้นเด่นสัปดาห์นี้ : ERW, GFPT, BCH
1) ERW(TP6.3*) : คาดกำไร 2Q16F ราว 20ล้านบาท เป็น Q2 ที่ดีสุดตั้งแต่ปี 2008
2) GFPT(TP13.6*) : คาดกำไรสุทธิ 2Q16F ที่ระดับ 359 ลบ. +79% y-y, +30% q-q
3) BCH(TP15.5**) เข้าสู่ฤดูกาลใน 3Q16 ที่คาดว่าผลประกอบการจะฟื้นตัวเด่น
Eagle Eye
Strategy Update:
Road to Referendum
Top Picks: CPF, GFPT, BCH, WORK, ERW
ทยอยลดน้ำหนักการลงทุนลงเหลือ 50% ก่อนการทำประชาพิจารณ์ 7 สค 2016
กรณีประชามติ รับ ร่างรัฐธรรมนูญ คาด SET เดินหน้าแตะ 1,580-1,600จุด ก่อนสิ้น กย 2016 ให้โอกาส 50% : กรณี รับร่าง อิงตามกรอบระยะเวลา การเขียนกฎหมายลูกและการกำหนดการเลือกตั้งหลังจากนั้น ตามสูตรของดร.วิษณุ เครืองาม 6+4เดือน ซึ่งอาจขยายระยะเวลาเป็น 8+5เดือน เราจะเห็นการเลือกตั้งเกิดขึ้นเร็วสุด คือ กค 2017 และ ช้าสุด กย-ตค 2017 กรณีนี้คาด SET จะ sideway up จากความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติที่จะเพิ่มสูงขึ้น หนุน Fund Flow ไหลเข้าต่อเนื่อง ผลักดัน SET ขึ้นทดสอบแนวต้าน 1580 - 1600 จุดได้ภายในเดือนกันยายน 2016 นี้ได้ โดยคาดว่าตลาดจะมีการ Re-Rating จากประเด็น Election Rally ซึ่งภาพของดัชนีเป้าหมายในกรณีฐานของเราคงปรับไปใช้เป้าหมายปี 2017 ที่ระดับ 1638จุด(PER17F 15.75X ที่ EPS Growth 12%) และอาจมี upside risk ของการ Relate PER17F ขึ้นสู่ 16.25-16.5 เท่า หรือ 1,690-1,716จุดได้ หากการเปลี่ยนถ่ายทางการเมืองไม่มีปัจจัยกดดัน กลยุทธ์การลงทุนกรณีรับร่าง แนะนำเพิ่มน้ำหนักการลงทุนกลับสู่ 70% หรือ ทยอยสะสมหุ้นกรณี SET ย่อในกรอบ 1480-1530จุด โดยคาดกลุ่มที่จะ outperform ตลาด ได้แก่ กลุ่ม Domestic ที่จะถูกขับเคลื่อนจากความคาดหวังต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจภายใน ได้แก่ BANK, COM, CONMAT, PROP, CONSTRUCTION, ICT, TOURISM ในขณะที่กลุ่มที่คาดจะ underperform ได้แก่ HELTH, ETRON, ENERG, INS
กรณีประชามติ ไม่รับ ร่างรัฐธรรมนูญ จะแบ่งเป็น 2 กรณี ดังนี้ :
1) ไม่รับร่างแล้วรัฐบาลส่งสัญญาณนำรัฐธรรมนูญฉบับใดๆ ในอดีต มาแก้บางมาตราแล้วประกาศใช้ คาดการเลือกตั้งเกิดปลายปี 2017 SET น่าจะย่อจำกัด ที่แนวรับ 1480/1465จุด ให้โอกาส 40% : กรณีนี้คาดว่า รัฐบาลอาจใช้เวลาการพิจารณาและแก้ไขรัฐธรรมนูญในอดีต 2-3เดือน ก่อนเข้าสู่กระบวนการยกร่างกฎหมายลูกและกำหนดการเลือกตั้ง ตามสูตร 6+4 เดือน หรือ 8+5เดือน คาดว่าการเลือกตั้งจะเกิดได้อย่างช้าปลายปี 2017 ทิศทางของ SET อาจปรับฐานระยะสั้นตอบรับความไม่แน่นอนของการเมืองช่วงสั้นลงสู่ 1480/1465จุด ก่อนค่อยๆ Sideway-Sideway Up ไปสิ้นสุดเดือนกย 2016 ที่ระดับ 1550-1580จุด
2) ไม่รับร่างแล้วรัฐบาลเดินหน้าเขียนรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ คาดการเลือกตั้งปี 2017 จะไม่เกิด SET อาจปรับฐานแรงลงสู่ 1433-1407จุด ให้โอกาส 10% : กรณีนี้เราคาดว่าการเลือกตั้งในปี 2017 จะไม่เกิด เราอาจเห็น Fund Flow ที่ไหลเข้าในปัจจุบันแปรเปลี่ยนเป็น Outflow ได้ในระยะสั้น หลังกระแสเงินที่เข้ามาบางส่วนมีความคาดหวังบวกต่อทิศทางการเมือง นั่นอาจทำให้ตลาดปรับฐานลงสู่ 1433-1407จุดได้ กลยุทธ์ กรณีไม่รับร่าง แนะนำขายทำกำไรบริเวณ 1520-1550จุด เพื่อรอตั้งรับบริเวณ 1480/1465 จุด โดยกลุ่มที่คาดจะ outperform ในกรณีนี้ ได้แก่ กลุ่ม GLOBAL Play & Defensive Play คือ ENERGY, PETRO, FOOD, COM, HELTH, UTILITIES, TOURISM ในขณะที่กลุ่มที่คาดจะ underperform ตลาด ได้แก่ กลุ่ม Domestic คือ BANK, CONMAT, PROP, CONSTRUCTION, ICT
กลยุทธ์การลงทุนก่อนผลประชามติร่างรัฐธรรมนูญ 7 สค 2016 : เราประเมินว่า SET ตอบรับเชิงบวกต่อนโยบายการเงินผ่อนคลายของธนาคารกลางต่างๆ ไปมากพอสมควรแล้ว หลัง SET ยืนเหนือดัชนีเป้าหมายปี 2016 ของเราที่ 1515จุด หรือ PER16F 16.25เท่า ดังนั้นความไม่แน่นอนของผลการทำประชามติอาจทำให้ตลาดมีความผันผวนระยะสั้นก่อนวันที่ 7 สค 2016 เราจึงแนะนำทยอยลดน้ำหนักการลงทุนหุ้นลง 20% เหลือเพียง 50% เพื่อรอตั้งรับกรณีดัชนีปรับฐานลงสู่ 1480/1465จุด อย่างไรก็ดี กรณีแนวโน้มผลประชามติออกมาเชิงบวก เราจะปรับน้ำหนักการลงทุนขึ้นสู่ 70% อีกครั้งเพื่อเป้าหมาย Election Rally ในระยะกลาง-ยาว ดังนั้นในระยะนี้ หุ้นที่ควรถือไว้ในพอร์ตลงทุนน่าจะเป็นหุ้นที่ไม่อิงปัจจัยการเมือง หรือ The Laggard ที่แนวโน้มกำไร 2Q16F เด่น แนะนำ CPF, GFPT, BCH, WORK, ERW
Strategy Update:
2016F Thailand Equity Outlook: "2016 AEC Connectivity - WISE"
2016Top Picks : KAMART, ERW, BDMS, BCH, BBL, CK, AMATA, DCC, ROBINS, CI, LH, TCAP, SCC, KSL, BRR, NYT
2016F Key Factor: AEC Connectivity - WISE
Global Growth: ภาพรวมเศรษฐกิจโลกยังคงขยายตัว นำโดยกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว (Developed Market) ขณะที่ ประเทศในเอเชียส่วนใหญ่ยังคงมี downside risks จากปัจจัยด้านโครงสร้าง
Equity Risk Premium (ERP): ค่า Premium หรือส่วนต่าง (ERP) ของผลตอบแทนตลาดหุ้นเอเชีย (Risky asset) สูงกว่าผลตอบแทนพัธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปี (Risk free asset) อยู่ 615 bps หรือราว +0.9SD เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยระยะยาว 460bps. สะท้อนสินทรัพย์เสี่ยงมี Valuation เชิงพื้นฐานที่ถูก และน่าจะเริ่มฟื้นตัว
Global Monetary Remains Easing: แนวโน้มการใช้นโยบายการเงินผ่อนคลายยังคงเกิดขึ้นต่อเนื่อง นำโดยมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจาก ECB ซึ่งขยายระยะเวลาการทำ QE ออกไปอีก 6 เดือน จากเดิมที่จะหมดอายุในเดือน กย 2016 ขยายเป็น มีค 2017 นอกจากนี้ ในปี 2016 Nomura คาด BOJ จะเพิ่มวงเงินในโครงการซื้อกองทุนอีทีเอฟ (ETF) ขึ้น 2 เท่า จาก 3 ล้านล้านเยน เป็น 6 ล้านล้านเยน ในเดือน เม.ย. และ คาด PBoC (ธนาคารกลางจีน) จะมีการลด RRR ทั้งหมด 4ครั้ง โดยลด 50bps ต่อไตรมาส อีกทั้ง จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 2 ครั้งในปี ครั้งละ 25 bps จะช่วยชดเชยสภาพคล่องที่ลดลง จากการปรับนโยบายการเงินเข้าสู่ระดับปกติของ Fed
Fed Rate Hike: ความผันผวนของตลาดสินทรัพย์เสี่ยงในการเข้าสู่วงจรดอกเบี้ยขาขึ้นของสหรัฐฯ ถือเป็นโอกาสเข้าซื้อลงทุนในระยะกลาง-ยาว ซึ่งในระยะ 9 เดือน หลัง Fed ขึ้นดอกเบี้ย MSCI World ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยราวๆ +10% ทั้งนี้ Nomura คาด Fed ปรับดอกเบี้ยในปี 2016 และ 2017 ประมาณ 50 และ 75 bps ตามลำดับ ขณะที่ อัตราดอกเบี้ยเป้าหมายอยู่ 2%
High Bond Yield - Equity Positive: ความสัมพันธ์ระหว่าง US Bond Yield และ Equity prices แปรผันตามกัน ดังนั้น ในวงจรดอกเบี้ยขาขึ้นของสหรัฐฯ จะหนุน Multiple PE สูงขึ้น โดยคาดว่า US Bond Yield อายุ 10 ปี ที่เพิ่มขึ้นราว +50bps จะหนุน MSCI World Index ซื้อขายที่ PE >1.5X และผลัก Fund flow ไหลเข้าสู่สินทรัพย์เสี่ยง
Commodity Price: Nomura มีการปรับสมมติฐานราคาน้ำมันดิบ Brent ในปีนี้ลงจาก 60 เหรียญฯต่อบาร์เรล เหลือ 53 เหรียญฯต่อบาร์เรล และในปี 2016F ปรับลดจาก 70 เหรียญฯต่อบาร์เรล เหลือ 55 เหรียญฯต่อบาร์เรล ปี 2017F จาก 80 เหรียญฯต่อบาร์เรล เหลือ 60 เหรียญฯต่อบาร์เรล ราคาน้ำมันดิบที่ยังคงอยู่ในระดับต่ำ เป็นภาพบวกต่อเศรษฐกิจไทยในช่วงถัดไปในฐานะประเทศที่นำเข้าน้ำมันสุทธิ
US Election 2016: คาดสินทรัพย์เสี่ยงโลก จะตอบรับเชิงบวกต่อการเลือกตั้งในสหรัฐฯ เนื่องจาก ความขัดแย้งทางการเมืองสหรัฐฯ จะลดลง เพื่อเข้าสู่กระบวนการหาเสียงก่อนการเลือกตั้งในวันที่ 8 พ.ย.
2016 AEC Connectivity: การรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจก่อให้เกิดการเคลื่อนย้ายสินค้าและบริการ การลงทุน และแรงงานฝีมืออย่างเสรี หนุนเศรษฐกิจภูมิภาคให้แข็งแกร่งขึ้น
Economic: Nomura คาด GDP ไทยในปี 2016-2017 เติบโตเพียง 2.5-2.7% แต่ประมาณการณ์ดังกล่าวอาจมี Upside Risk หากรัฐฯ เร่งการลงทุนต่อเนื่องและฟื้นความเชื่อมั่นภายในได้ดีกว่าคาด
Foreign Holdings of equity: ยอดการถือครองหุ้นไทยของนักลงทุนต่างชาติยังคงต่ำกว่าในช่วงวิกฤติการเงินโลก (GFC 2008)
Risk: 1) การชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน 2) ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ต่ำกว่าคาด 3) สงครามโลก 3 (World War III)และ 4) ความเสี่ยงทางการเมืองในไทย
2016 Market Outlook: CNS คาด SET 1H16 จะแกว่งบวกในกรอบ 1250-1500จุด ด้วยดัชนีเป้าหมายปี 2016 ที่ระดับ 1515จุด (PER FWD 15x) มี Upside จากปัจจุบันราว 18% โดย CNS เชื่อว่าตลาดหุ้นไทยในปัจจุบันถูกในเชิงพื้นฐานหลังค่า Equity Risk Premium สูงถึง 5.32% มากกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาว 5.16% และเป็นครั้งแรกในรอบ 5ปี ที่ค่า Valuation เชิงพื้นฐานถูกที่ระดับนี้ โดยประเมินกิจกรรมทางเศรษฐกิจไทยจะเริ่มฟื้นตัวจากจุดต่ำสุดใน 4Q15 เป็นต้นไป ขณะที่การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐซึ่งเป็น LT-Growth กำลังดึงความเชื่อมั่นให้ฟื้นตัว ซึ่งคงต้องประเมินความต่อเนื่องจนถึง 1Q16 นี้ หากมีโมเมนตัมบวกต่อเนื่องจะหนุนภาพตลาดหุ้นไทยเป็นไปตามเป้าหมายได้ ในทางกลับกันหากสัญญาณความเชื่อมั่นด้านการลงทุนและเศรษฐกิจในช่วงดังกล่าวไม่ฟื้น ภาพตลาดจะพลิกมามี Downside Risk จากความเสี่ยงเศรษฐกิจตกต่ำ เร่งความเสี่ยงการเมืองได้
2016 Strategy: CNS ยังแนะนำกลุ่มที่อิงการเติบโตจากเศรษฐกิจภายในประเทศ หรือการเติบโตตามภูมิภาคอาเซียนหนุน และกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากนโยบายรัฐ แนะนำ Overweight CONMAT, TRANS, HOT, COM, FOOD โดยเลือก Theme 2016 AEC Connectivity-WISE แนะนำ Top Picks 1H16 คือ ERW, BBL, ROBINS, BRR, LH, CPF ส่วน Top Picks ปี 2016 มี 16 บริษัท คือ KAMART, ERW, BDMS, BCH, BBL, CK, AMATA, DCC, ROBINS, CI, LH, TCAP, SCC, KSL, BRR, NYT
Shipping Update:
BDI วานนี้ -9 จุด สู่ระดับ 656 จุด (ลดลงวันที่ 9 ติดต่อกัน) โดยแนะนำ "wait and see" กลุ่มเดินเรือ "PSL (รายได้จากเรือเทกอง 100%), TTA (รายได้จากเรือเทกอง 30-35%)"
ค่าระวางเรือเทกอง (BDI) วานนี้ -9 จุด สู่ระดับ 656 จุด (ลดลงวันที่ 9 ติดต่อกัน) โดยค่าเฉลี่ย BDI 2Q16 ที่ 611 จุด (+70%q-q, -3%y-y) ส่วนค่าเฉลี่ย 3Q16 ที่ 709 จุด (+16%q-q, -27%y-y)
แนะนำ "wait and see"กลุ่มเดินเรือ "PSL (รายได้จากเรือเทกอง 100%), TTA (รายได้จากเรือเทกอง 30-35%)"
ดัชนีค่าระวางเรือคอนเทนเนอร์ วานนี้ คงที่ ที่ระดับ 326 จุด โดยแนวโน้มคาดกำลังอยู่ในช่วงพักฐาน
ค่าระวางเรือคอนเทนเนอร์ วานนี้ คงที่ ที่ระดับ 326 จุด โดยแนวโน้มคาดกำลังอยู่ในช่วงพักฐาน
สำหรับนักลงทุนระยะสั้น กลาง ยาว แนะนำ wait and see "RCL"
Stock Calendar
วันนี้ : (Change of market) GIFT ย้ายจาก MAI ไป SET
วันพรุ่งนี้: (XD) EPG @0.12, KYE @19.14
Top NVDR Buy/Sell
Top Buy KBANK, PTT, CK, TOP, SCB / Top Sell INTUCH, SCC, BDMS, BBL, DTAC
Regional Fund Flow
Indonesia +121, Philippines -1, S.Korea +208, Taiwan -37, Thailand +18
ภาพรวมตลาดภูมิภาค วานนี้ ต่างชาติซื้อสุทธิ 312 ล้านเหรียญ โดยพบว่ามีแรงซื้อสุทธิ 17 วันติดต่อกัน ซื้อมากใน S.Korea ซื้อ 208 ล้านเหรียญ และ Indonesia 121 ล้านเหรียญ
สอดคล้องกับกลุ่ม TIP วานนี้ ต่างชาติซื้อสุทธิ 138 ล้านเหรียญ โดยพบว่ามีแรงซื้อสุทธิใน Indonesia ซื้อ 121 ล้านเหรียญ และ Thailand ซื้อ 18 ล้านเหรียญ (ซื้อ 15 วันติดต่อกัน) ขณะที่มีแรงขายใน Philippines เล็กน้อยราว 1 ล้านเหรียญ
Strategist Team
Koraphat Vorachet : Analyst Registration No. 043100
[email protected] : 0-2287-6771, 0-2638-5771
Wijit Arayapisit : Analyst Registration No. 044799
[email protected] : 0-2287-6871, 0-2638-5871
Chavaratt Changpakorn : Assistant Strategist
Note: TP (Bloomberg Consensus) , *TP(CNS,Nomura)