WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

NOMURA copyบล.โนมูระ พัฒนสิน : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน

 

ขึ้นทดสอบดัชนีเป้าหมายปีนี้ที่ 1515จุด: เน้นรายตัว คือ กลุ่ม Inflation Plays (CPF, GFPT) ผสานหุ้นที่ปรับมูลค่าพื้นฐานขึ้น (ROBINS)

Nomura : Key Factors
(+) Ex Factor: วันนี้จับตา ECBคาดคงดอกเบี้ย แต่มุมมองดรากี้คาดหนุนกระตุ้นช่วงถัดไป
(+) OIL: ราคาน้ำมันดิบวานนี้ WTI +0.66% สู่ $45.75/bbl / Brent +1.09% สู่ $47.17/bbl
(+) OIL: สต๊อกน้ำมันดิบสหรัฐฯรายสัปดาห์จาก EIA ลดลง -2.3 ล้านบาร์เรล มากกว่าคาด
(+) Monetary Easing: เก็งการกระตุ้นเศรษฐกิจจากธนาคารกลางต่างๆ หลัง BREXIT
(+) ASIA Fund Flow: ต่างชาติซื้อหุ้นเอเซียในทุกตลาด 8วันติดต่อกัน 7.06พันล้านเหรียญ
(+) Fund Flow: ต่างชาติซื้อ 5049 ลบ, Short Future 4689 ,ขาย Bond 3091 ลบ
(*) Int Factor: consenus คาดกำไร2Q16 ของ 10 Bankคาดที่ 4.94 หมื่นลบ (+3.9%q-q)
(-) Currency: Dollar Index แข็งค่าสู่ 97.107 จุด กดดันราคาสินค้าโภคภัณฑ์ปรับฐานสั้น
(-) Valuation: SET ปัจจุบันเทรด PER16F ที่ 16.34 เท่า สูงกว่า LT Avg PER 14.7 เท่า
SET PER 16F: CNS 16.19x (EPS 93.25) vs Cons.16.34x (LT-Avg 14.7x)
2016 SET Target: CNS Base 1515 pts (EPS 93.25, PER16.25x)
Nomura Daily Top Picks: CPF, GFPT, ROBINS

      Daily Outlook : คาดดัชนีวันนี้ แกว่งขึ้น ในกรอบแนวต้าน 1518/1525จุด และแนวรับ 1498/1492จุด การรายงานสต๊อกน้ำมันดิบสหรัฐฯรายสัปดาห์ของ EIA วานนี้ พบว่าปรับตัวลดลง -2.34 ล้านบาร์เรล มากกว่าที่ consensus คาดว่าจะลดลงเพียง -1.29 ล้านบาร์เรล บ่งชี้ถึงภาวะอุปสงค์ที่ฟื้นตัวต่อเนื่อง หนุนให้ราคาน้ำมันดิบสหรัฐฯ วานนี้ขยับขึ้น +0.66% สู่ระดับ 45.75เหรียญต่อบาร์เรล แต่อย่างไรก็ตามการฟื้นตัวยังเป็นไปอย่างจำกัด เนื่องจากแรงกดดันจากทิศทาง Dollar Index ที่ยังมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง โดยวานนี้แข็งค่า +0.14% สู่ 97.107จุด จากแรงเก็งโยบายการเงินผ่อนคลายของธนาคารกลางอื่นๆ ประกอบกับการรายงานผลประกอบการ 2Q16 ของบริษัทจดทะเบียนในสหรัฐฯที่ทยอยออกมาดีกว่าคาด หนุนตลาดหุ้นสหรัฐฯทำจุดสูงสุดใหม่ต่อเนื่อง เป็นภาพบวกต่อสินทรัพย์เสี่ยงโลก โดยวันนี้ให้ติดตามการประชุม ECB แม้ว่า consensus คาดจะไม่ปรับเปลี่ยนนโยบายในการประชุมครั้งนี้ แต่ให้จับตาถ้อยแถลงเพิ่มเติมจากนายมาริโอ ดรากี้ ประธาน ECB ที่คาดว่าจะส่งสัญญาณกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมในจังหวะที่เหมาะสม หรือ อาจมี Positive Surprise ผ่อนคลายนโยบายเพิ่มเติมในการประชุมครั้งนี้ตามมุมมองของนักกลยุทธ์ Nomura ได้ ส่วนภาพของ Fund Flow ยังคงเห็นสัญญาณการไหลเข้าสู่ตลาดหุ้น Asia EM ทุกตลาดอย่างต่อเนื่อง เป็นวันที่ 8 ติดต่อกัน รวมกว่า 7.06 พันล้านเหรียญ สำหรับไทย เม็ดเงินไหลเข้าสุทธิ 608 ล้านเหรียญ เป็นปัจจัยที่ผลักดันการฟื้นตัวของ SET แกว่งขึ้นเหนือระดับ PER16F ที่ 16 เท่า และใกล้เคียงกับดัชนีเป้าหมายปี 2016F ของเราที่ระดับ 1515 จุดแล้ว ดังนั้นโอกาสในการปรับฐานของดัชนีในช่วงถัดไปอาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ ให้เพิ่มความระมัดระวังในการลงทุนมากยิ่งขึ้น

Asset allocation : หุ้น 70% ทองคำ 12.5% ตลาดบอนด์ 5% และเงินสด 12.5%

Short-Term Strategy : Fund Flow หนุนตลาดแกว่งขึ้นต่อ แต่ให้เพิ่มความระมัดระวัง หลังกำลังจะเดินหน้าเหนือระดับ 1515จุด ซึ่งเป็นดัชนีเป้าหมายปีนี้ ที่ PER16 16.25 เท่า จึงเน้นเลือกหุ้นเป็นรายตัว เน้นกลุ่ม 3Q16 Inflation Play (SCB, BBL, TCAP, HMPRO, GLOBAL, CPF, GFPT) ผสานหุ้นที่คาด Earning 2Q16 เด่น (TOP, IVL, BCP, IRPC CPF, GFPT, MONO) และหุ้นที่อิงความคืบหน้าโครงการภาครัฐ (CK, STEC, BEM, SCC, PYLON, SEAFCO) ส่วนกลุ่มอื่นๆ ยังคงแนะนำ 1) Target Price Upgrade (ROBINS) 2) กลุ่ม Seasonal BDMS, BCH 3) Laggard Play (ERW) 4) กลุ่มพลังงานทดแทน (PSTC, BWG, TPCH) และ 5) ILINK(TP21.9 with Upside 2+2 จาก 1) งานสุวรรณภูมิ2 และ 2) โครงการสายไฟใต้ดินช่องนนททรี ซึ่งโครงการช่องนนทรีจะประมูลกันวันนี้ ลุ้น ILINK ชนะประมูล) สำหรับวันนี้แนะนำ ?Daily Top Picks: CPF, GFPT, ROBINS?

Mid-Long Term Strategy : แนวโน้มตลาดเดือน กค 2016 แกว่งขึ้น 1478/1496จุด Fund Flow ไหลเข้าEM-Asia ต่อเนื่อง ผลของ BREXIT หนุนมุมมอง ASIA เป็น Safe Haven จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจทั้งภายในและภายนอก คาดกลุ่มที่จะ Outperform ในเดือนนี้ ได้แก่ 1) BANK Deep Valuation & 2H16 Earning Recovery (BBL, SCB, KBANK, KKP) 2) Commodities Laggard (PTTGC, BCP) และ Soft Commodities (CPF, KSL, BRR) เป็นตัวหนุนตลาดขึ้น 3) กลุ่มพลังงานทางเลือก เก็งประมูล Biomass 3จังหวัดชายแดนภาคใต้ 36mw แนะนำ TPCH, PSTC เด่น และ ความคืบหน้าโรงไฟฟ้าขยะอุตสาหกรรม 50MW (BWG) 4) หุ้นที่มี Earning Momentum เด่น (GLOBAL, HMPRO, CPF, PSTC, KAMART, XO, MONO, CI) และ 5) กลุ่มได้ประโยชน์จากโครงการรัฐฯ (CK, ITD, PYLON, SEAFCO, ILINK, SCC) สำหรับ Portfolio Top picks JULY 2016 CPF, BBL, GLOBAL, KAMART, BWG, PSTC และ DARK Horse SAT, MONO, IVL, BRR, TPCH

Investment Theme:
2016 AEC Connectivity : WISE
Wellness & discover Thainess: ERW, KAMART, BCH, BDMS
Infrastructure: BBL, CK, AMATA. DCC
Spending Recovery: ROBINS, CI, LH, TCAP
Eco Friendly: SCC, KSL, BRR, NYT
3Q16 Top Picks : Inflation Play SCB, BBL, TCAP, HMPRO, GLOBAL, CPF, GFPT
3Q16 Top Picks : Earning Momentum Play PYLON, ERW, PSTC

*** วันนี้เวลา 13.00-14.15น. CNS จัดงานสัมนา "CNS Corporate Access" สำหรับลูกค้า CNS โดยเชิญผู้บริหารระดับสูงของ AMATA มาให้ข้อมูลแบบเจาะลึกเพื่อนักลงทุน

Fundamental & Tactical Daily Top Picks :

CPF (TP35*): Support 28.25/27 Resistance 29.5/30.5
Theme : Consumer Spending Recovery
Earning Outlook : คาดกำไรสุทธิ 2Q16F ที่ระดับ 3.926 พันลบ. +32% y-y, +4% q-q จากกำไรขาย CPALL 800 ลบ. ประกอบกับ ธุรกิจอาหารกุ้ง/ไก่/สุกร มีปริมาณขายเพิ่มขึ้น
Valuation : ราคาเป้าหมายที่ 35 บาท อิง PER16F 13.2x ต่ำกว่ากลุ่มฯที่ 18.6x มี Upside 21.7%
Catalyst : คาดกำไรสุทธิ 2Q16F ที่ระดับ 3.926 พันลบ. +32% y-y, +4% q-q จากกำไรขาย CPALL 800 ลบ. ประกอบกับ ธุรกิจอาหารกุ้ง/ไก่/สุกร มีปริมาณขายเพิ่มขึ้น

GFPT (TP13.6*): Support 11.0/10.8 Resistance 11.6/12.0
Theme : The Laggard
Earning outlook : คาดกำไรสุทธิ 2Q16F ที่ระดับ 359 ลบ. เติบโตสูง 79% y-y, +30% q-q จากปริมาณส่งออกไก่เพิ่มขึ้น ประกอบกับต้นทุนถั่วเหลืองลดลง y-y, q-q
Valuation : มูลค่าพื้นฐานปี 2016F ที่ 13.6 บาท Upside 20.35% อิง PER16F ที่ระดับ 10.7x
Catalyst : คาดกำไรสุทธิ 2Q16F ที่ระดับ 359 ลบ. เติบโตสูง 79% y-y, +30% q-q จากปริมาณส่งออกไก่เพิ่มขึ้น ประกอบกับต้นทุนถั่วเหลืองลดลง y-y, q-q

ROBINS (TP72*): Support 63.5/62 Resistance 68.5/70
Theme: The Laggard
Earning outlook : คาดผลประกอบการ 2Q16F จะเติบโตในอัตราที่ดีกว่า 1Q16 ตาม SSSG เม.ย.16ที่ปรับขึ้นเหนือระดับ +5% และสัดส่วน Inter brand ที่จะไต่ระดับขึ้นต่อเนื่อง
Valuation : ราคาเป้าหมายที่ 57.00 บาท อิง PER16F ปัจจุบันที่ 25.8x ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยกลุ่ม PER16F ที่ 28.7x
Catalyst : คาดผลประกอบการ 2Q16F จะเติบโตในอัตราที่ดีกว่า 1Q16 ตาม SSSG เม.ย.16ที่ปรับขึ้นเหนือระดับ +5% ประกอบกับ แรงหนุนเปิดสาขาใหม่ 2 แห่งในช่วง 3Q16F-4Q16F ตามลำดับ

Note: TP (Bloomberg Consensus) , *TP(CNS), **TP(Nomura)

Research and IRIS Reports
INDUSTRY QUICK COMMENT:

MEDIA (NEUTRAL) เม็ดเงินโฆษณาหดตัว y-y ต่อเนื่อง แต่เริ่มมีแนวโน้มดีขึ้น
เม็ดเงินโฆษณารวมเดือน มิ.ย.16 ยังคงหดตัว -6% y-y ต่อเนื่อง (รวมครึ่งปี 2016 หดตัว -8% y-y) แต่อย่างไรก็ดี มีแนวโน้มที่ดีขึ้นเนื่องจากเป็นอัตราการหดตัวที่ต่ำที่สุดในรอบ 5 เดือน ขณะที่ยังคงต้องติดตามแนวโน้มการฟื้นตัวต่อไปเนื่องจากเดือน มิ.ย.16 อาจเป็นการฟื้นตัวเพียงระยะสั้นจากแรงหนุนของการแข่งขันฟุตบอลยูโร 2016 และการเป็นช่วง High season ของหน้าหนังทำให้สื่อในโรงภาพยนตร์เติบโตโดดเด่น เรายังคงน้ำหนัก Neutral ต่อกลุ่ม Media เนื่องจากบรรยกาศการลงทุนยังถูกกดดันแนวโน้มการหดตัวของเม็ดเงินโฆษณา และเรายังคงเลือก WORK (BUY, TP 45 บาท) และ TVT (BUY, TP 3 บาท) จากประเด็นการฟื้นตัวโดดเด่นของกำไรในงวด 2Q16F

EARNINGS PREVIEW:

MAKRO (NEUTRAL, TP36) คาด NP2Q16F เหลือ 1,184 ลบ. (flat%y-y, -6%q-q)
คาดแนวโน้มกำไรสุทธิ 2Q16F ยังไม่ฟื้นตัวที่ 1,184 ล้านบาท (flat%y-y , -6%q-q) หลัง MAKRO ตัดสินใจเปลี่ยนกลยุทธ์การขายหันใช้โปรโมชั่นด้านราคามากขึ้นของ MAKRO กดดันอัคตรากำไรขั้นต้นจะอ่อนตัวลงประกอบกับสัดส่วนรายจ่ายดำเนินงาน (SG&A/sale) ยังคงทรงตัวสูง จึงฉุดภาพรวมกำไรสุทธิ 1H16F จะหดตัว -10%y-y และเพื่อสะท้อนความสามารถในการทำกำไรที่แย่ลงหลังการเปลี่ยนกลยุทธ์การขายและประสิทธิภาพในการคุม SG&A/sale ดังนั้น เราจึงปรับลดประมาณการกำไรสุทธิปี 16F-17F ลงจากเดิม -7%ต่อปี เหลือ 5,523 ล้านบาท (-6%y-y) และ 6,471 ล้านบาท (+20%y-y) อย่างไรก็ตาม เรามองว่าผลการดำเนินงานผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว คาดปี 17F จะเริ่มเห็นกลับมาโตอีกครั้ง +20%y-yตามกำลังซื้อและการขยายสาขาต่อเนื่อง ขณะที่ราคาหุ้นที่เริ่มกลับมามี upside +7% อีกทั้ง Dividend yield ที่ 3%/ปี จึงเหมาะเป็นอีกหนึ่งผู้ประกอบการที่เหมาะสำหรับถือรับปันผล

EARNINGS PREVIEW:

ROBINS (NEUTRAL, TP72) คาด NP2Q16F โต +36%y-y เป็น 597 ล้านบาท
      เรามีมุมมองที่ดีต่อแนวโน้ม NP2Q16F ที่ 597 ล้านบาท เติบโต +36%y-y แต่ -13%q-q ตาม seasonal โดยปัจจัยขับเคลื่อนหลักมาจากยอดขายสาขาเก่า (Same store sale:SSS) ที่ยังคงโต +1-2% กอปรกับความสำเร็จในการปรับกลุยทธ์การขายเน้นกลุ่มสินค้า High margin ผลักดันอัตรากำไรขั้นต้นจะไต่ระดับขึ้นเช่นกัน ขณะที่โมเมนตัมกำไร 2H16F ก็จะดีขึ้นกว่า 1H16F ตาม i) SSSG ที่จะเป็นบวกมากขึ้นหลังได้แรงหนุนของมาตรการภาครัฐ,ผลผลิตการเกษตรที่จะทยอยออกสู่ตลาดและไม่มีผลกระทบแง่ลบจากการทำโปรโมชั่น Clearance sale ของสาขาศรีราชาเหมือน 2Q16F แล้ว, ii) การขยายสาขาอีก 2 แห่ง รวมถึง iii) สัดส่วนสินค้า High margin ที่จะเพิ่มขึ้นอีกเป็น 12% จากปัจจุบันที่ 10%ของรายได้ ทำให้ทิศทาง GPM 2H16F จะยังอยู่ในช่วงขาขึ้น ทั้งนี้ เราปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 16F-17F ขึ้นเล็กน้อย +2%/ปี เพื่อสะท้อนความสามารถในการทำกำไรที่ดีขึ้นเร็วกว่าคาด โดยรวมแล้ว เรายังคงชอบ ROBINS ในความโดดเด่นเรื่องการเติบโตของกำไรช่วงปี 16-17F ที่สูงกว่า +20%ต่อปี ดังนั้น แม้ Upside จำกัด แต่เราแนะนำ "รอสะสมเมื่อราคาอ่อนตัว" ปรับราคาเป้าหมายไปใช้เป็นปี 17F ที่ 72 บาท

EARNINGS RESULT
KTC (BUY, TP135) กำไรสุทธิ 2Q16 เติบโตดี จากทั้ง NII และ Non-NII
KTC รายงานกำไรสุทธิ 2Q16 ที่ 580ลบ. +24.9% y-y จากการเติบโตทั้ง NII และ Non-NII ส่วนการลดลง -8.7% q-q จากการเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานตามฤดูกาลและการตั้งสำรองสูงขึ้น สำหรับ outlook ในครึ่งหลังของปีคาดกำไรสุทธิจะยังเติบโตได้ y-y จากการเติบโตของสินเชื่อและการลดลงของต้นทุนทางการเงิน แต่อาจลดลง h-h จากการเพิ่มขึ้นของ marketing expense ตาม seasonality ของการเร่งออกแคมเปญจน์ โดยเรายังคงชอบ KTC และเลือกเป็น top pick ด้วยราคาเป้าหมาย 135 บาท/หุ้น จากการมีแคมเปญจน์ที่หลากหลาย มีนโยบายควบคุมค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ และมีคุณภาพสินทรัพย์ที่แข็งแกร่ง เห็นได้จากการมี coverage ratio สูงสุดในกลุ่มฯ

EARNINGS RESULT:

TMB (BUY, TP2.86) กำไรสุทธิ 2Q16 ถูกกดดันจากการตั้งสำรอง
กำไรสุทธิ 2Q16 ที่ 2,151 ลบ. ลดลง -5% y-y เนื่องจากการตั้งสำรองที่เพิ่มขึ้น และรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยที่ลดลง แต่กำไรสุทธิเติบโตได้ +3% q-q จากการเพิ่มขึ้นของรายได้ดอกเบี้ยสุทธิและภาษีจ่ายที่ลดลง ในช่วงครึ่งหลังของปีเราคาดกำไรสุทธิของ TMB ยังเติบโตได้ h-h แต่คาดลดลง y-y จากการตั้งสำรองที่สูงขึ้น เพราะในช่วง 2H15 มีการขาย NPL และ write back สำรองกลับมา ทำให้การตั้งสำรองต่ำ ซึ่งหากไม่มีการ write back สำรองกลับมา คาดสำรองจะสูงขึ้นจากปีก่อน เราปรับคาดการณ์กำ
ไรสุทธิ FY16 - 18F ลง 9 - 11% เพื่อสะท้อนรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยสุทธิที่โตต่ำกว่าคาด นอกจากนี้เราปรับคาดการณ์การตั้งสำรองเพิ่มขึ้น จากคาด NPL formation ยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น และธนาคารต้องการรักษาระดับ Coverage ratio ให้ไม่ต่ำกว่า 140% เราปรับไปใช้ราคาเป้าหมาย 17F ที่ 2.86 บาท จาก TP16F 2.76 บาท/หุ้น และคงคำแนะนำ BUY

EARNINGS RESULT:

SCB (BUY, TP179) กำไรสุทธิ 2Q16 ยังลดลง y-y แต่คาดจะฟื้นตัว 2H16F
      กำไรสุทธิ 2Q16 ที่ 12,818 ลบ. (-3% y-y, +22% q-q) ฟื้นตัวโดดเด่น q-q จากการกลับสำรองของธุรกิจประกัน แต่กำไรสุทธิยังลดลง y-y เนื่องจากการตั้งสำรองพิเศษที่เพิ่มขึ้น โดยเราคาดจะเป็นไตรมาสสุดท้ายที่กำไรสุทธิลดลง y-y แล้วจะเห็นการฟื้นตัวใน 2H16F เราปรับไปใช้ราคาเป้าหมาย 17F ที่ 179 บาท จาก TP16F 149 บาท/หุ้น และคงคำแนะนำ BUY เราชอบ SCB จาก i) คาดผลประกอบการผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว และจะพลิกกลับมาเติบโตใน 2H16F ต่อเนื่อง FY17F ii) ความเสี่ยงด้านคุณภาพสินทรัพย์ของ SCB ค่อนข้างจำกัดเมื่อเทียบกับกลุ่มธนาคารขนาดใหญ่ iii) นอกจากนี้จาก Coverage ratio ที่ขึ้นมาได้ใกล้เคียงกับเป้าหมายของ SCB จึงอาจทำให้การตั้งสำรองใน FY17F ต่ำกว่าคาดการณ์ปัจจุบันของเรา โดยทุกๆ 10 bps ที่ลดลง ทำให้กำไรสุทธิ FY17F มี upside 3 - 4%

COMPANY QUICK NOTE:

SAMTEL (BUY, TP17.3) ได้งานโครงการ APPS เพิ่มในท่าอากาศยาน 3 แห่งของ AOT
      อธิบดีกรมท่าอากาศยาน ระบุ กรมฯ ได้ว่าจ้างกลุ่ม 2S CONSORTIUM (บ.โสมาภา อินฟอร์เมชั่น เทคโนโลยี จำกัด และบริษัท สามารถ คอมเทค จำกัด (บริษัทย่อย SAMTEL) ให้รับงานติดตั้งระบบตรวจสอบและคัดกรองผู้โดยสารระหว่างประเทศ (APPS) เพิ่มในท่าอากาศยาน 3 แห่ง คือ ท่าอากาศยานกระบี่ สุราษฎร์ธานี และขอนแก่น เนื่องจากกลุ่ม 2S CONSORTIUM มีประสบการณ์รับงานวางระบบ APPS ในท่าอากาศยานของกรมฯ มาแล้ว จึงว่าจ้างให้รับงานต่อเพื่อให้การจัดเก็บเป็นระบบเดียวกัน โดยจัดเก็บในอัตราเดียวกับที่สนามบินสุวรรณภูมิ คือ 35 บาทต่อผู้โดยสารต่อเที่ยวบิน จะเริ่มจัดเก็บกับผู้โดยสารระหว่างประเทศทั้งขาเข้าและขาออก รวมทั้งผู้โดยสารที่ต้องเปลี่ยนผ่านเครื่องบินใน 3 ท่าอากาศยานดังกล่าว ตั้งแต่วันที่ 1 ธ.ค.2016 ซึ่งจากสถิติปริมาณผู้โดยสารท่าอากาศยานกระบี่ สุราษฎร์ธานี และขอนแก่น ในปี 2015 มีผู้โดยสารระหว่างประเทศรวม 1.7 ล้านคน
เรามีมุมมอง Slightly Positive ต่อข่าวดังกล่าว เนื่องจากประมาณการของ SAMTEL ไม่รวมงาน APPS ส่วนเพิ่มใน 3 ท่าอากาศยานดังกล่าวของ AOT (รวมเฉพาะที่สนามบินสุวรรณภูมิ) ในเบื้องต้นเราประเมิน SAMTEL จะมีรายได้และกำไรส่วนเพิ่มจากการจัดเก็บค่า APPS ใน 3 ท่าอากาศยาน อิงสมมติฐานผลตอบแทนที่จะได้รับในอัตราค่าบริการ 11.77 บาทต่อคนต่อเที่ยว (เท่ากับที่ได้รับจากการให้บริการที่สนามบินสุวรรณภูมิ) โดยในปี 17F-18F คาดว่า SAMTEL จะมีรายได้ต่อปีราว 22-23 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 0.3% ของรายได้รวม SAMTEL และมีกำไรสุทธิต่อปี 3 ล้านบาท (สมมติฐาน Net margin 15%) คิดเป็นสัดส่วน 0.5% ของกำไรสุทธิ SAMTEL รวมทั้งประเมินราคาเป้าหมายส่วนเพิ่มราว 0.10 บาท จากราคาเป้าหมายปี 17F ที่ 17.30 บาท คงคำแนะนำ BUY

Weekly Outlook :
Eye on ECB
Top Picks: TOP, PTTGC, CPF
Weekly outlook : แกว่งขึ้น ในกรอบแนวต้าน 1500/1520จุด รับ 1480/1469จุด
สัปดาห์ที่ผ่านมา SET ปรับตัวขึ้นเด่นตอบรับกระแส Fund Flow ที่ยังคงไหลเข้าอย่างต่อเนื่อง โดยกลุ่มประเทศใน Asia Ex-Japan มียอดซื้อสุทธิ คิดเป็นเม็ดเงินถึง 3,819 ล้านเหรียญสหรัฐฯ สะท้อนถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติต่อเศรษฐกิจ Asia นอกจากนั้น ผลการประชุม BOE วันที่ 14กค. ก็ออกมาในเชิงบวก แม้จะคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับเดิม แต่ประธาน BOE ได้มีการส่งสัญญาณการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม โดย Nomura คาด BOE จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก -0.25% สู่ระดับ 0.25% ในการประชุมเดือนสค.นี้ สำหรับสัปดาห์นี้ คาดตลาดแกว่งตัวขึ้นต่อ จากความคาดหวังเชิงบวกต่อมาตรการผ่อนคลายจากธนาคารกลางหลักๆเพิ่มเติม โดยแนะติดตาม การประชุม ECB 21 กค นักกลยุทธ์ตลาดหุ้นยุโรปของ Nomura เก็งว่าอาจมีมาตรการผ่อนคลายเพิ่มเติม แม้นักเศรษฐศาสตร์ Nomura คาดว่าจะเกิดขึ้นในช่วงเดือน กย 2016 มากกว่าก็ตาม ต่อด้วย BOJ วันที่ 26-27 กค.นี้ Nomura คาด BOJ จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีก -0.1% สู่ระดับ -0.2% และปรับลดดอกเบี้ยเงินกู้ลงสู่ -0.1% จาก 0.0% รวมถึงขยายวงเงินการเข้าซื้อสินทรัพย์ ETF (สู่ระดับ 6ล้านล้านเยน จาก 3ล้านล้านเยน) และ REITs (สู่ระดับ 1.8แสนล้านเยน จาก 9หมื่นล้านเยน) หนุนให้ Fund Flow ไหลเข้า EM-Asia ที่ซึ่งมีการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่โดดเด่นกว่า DM และเป็นเป้าหมายของนักลงทุนต่างชาติ โดยประเทศที่มีเม็ดเงินไหลเข้ามากที่สุด นำโดย ไต้หวัน (1.4 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ) ตามมาด้วย เกาหลีใต้ (1.3 ล้านเหรียญสหรัฐฯ) ไทย (352 ล้านเหรียญสหรัฐฯ) อินโดนีเซีย (341 ล้านเหรียญสหรัฐฯ) และฟิลิปปินส์ (117 ล้านเหรียญสหรัฐฯ) โดยเรายังคงคาด Fund Flow จะไหลเข้าต่อเนื่อง สัปดาห์นี้เริ่มเข้าสู่ช่วงการประกาศผลการดำเนินงาน 2Q16 ของกลุ่ม Bank คาดผลประกอบการจะออกมาใกล้เคียงกับคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ และตลาดน่าจะตอบรับเชิงบวก


กลยุทธ์การลงทุน: กลุ่มรับเหมาเด่นรับกระแส Thailand Future Fund โดยเราเห็นสัญญาณ Upgrade Revision กลุ่มอิงงานภาครัฐต่อเนื่อง กลยุทธ์ยังเน้น Leader CK และ Laggard STEC, SCC, PYLON, SEAFCO ส่วนกลุ่มโภคภัณฑ์เน้นกลุ่มฐานกำไร 2Q16 เด่น IVL, TOP, PTTGC, IRPC, CPF และ วันนี้ต่อเนื่องถึงต้นสัปดาห์หน้ากลุ่ม BANK จะรายงานงบนำโดย KKP, TMB และต่อด้วย ธพ. อื่น ซึ่งเรามีมุมมองบวกต่อหุ้นกลุ่ม Bank ที่คาดว่างบจะออกมาเชิงบวก และเป็นเป้าหมายของ Fund Flow แนะนำ (BBL, SCB, KBANK, KKP, TCAP + TISCO(Nomura Upgrade FV จาก50บาท สู่ 60บาท)) ส่วนกลุ่มอื่นๆ ที่น่าสนใจ แนะนำ 1) กลุ่ม Seasonal BDMS, BCH 2) กลุ่มที่ได้ประโยชน์จากการบริโภคฟื้นตัว(GLOBAL, HMPRO, CPALL, MONO) 3) กลุ่ม Laggard ERW


หุ้นเด่นสัปดาห์นี้ : TOP, PTTGC, CPF
1) TOP(TP76**) : คาดกำไร 2Q16F ราว 6.5-7พันล้านบาท ดีกว่าเดิมคาด 6พันล้านบาท
2) PTTGC(TP72**) : คาดกำไร 2Q16F จะฟื้นตัว q-q อาจดีกว่าตลาดคาดว่าลดลง q-q
3) CPF(TP35*) แนวโน้มกำไรดีต่อเนื่อง 2Q16-2H16 เป็นแรงหนุนเชิงบวก

Monthly Outlook :
Recovery Signal & Fund Flow Support

Top Picks: CPF, BBL, GLOBAL, KAMART, BWG, PSTC
Monthly Outlook : Up ต้าน1478/1496จุด(Best 1515) รับ1424/1411จุด(Worst 1400)
ผ่านพ้นไปแล้วสำหรับการลงทุนช่วง 1H16 ซึ่งทิศทางตลาดเชิงบวกค่อนข้างใกล้เคียงความคาดหมายของทีมกลยุทธ์ และเราสรุปผลตอบแทนของพอร์ตจำลองการลงทุนรายเดือน(MODEL PORTFOLIO) ซึ่งในเดือน มิย ล่าสุด ที่ผ่านมา ให้ผลตอบแทนดีเกินคาด +17.27% มากกว่า SET ที่บวกขึ้นมาเพียง 1.47% ทำให้ 1H16(นับจาก 4 มค 2016 - 30 มิย 2016) พอร์ตจำลองของ CNS ให้ผลตอบแทนสูงถึง 49% vs SET +12.19% และหากพิจารณาเป็นรายเดือนจะพบว่าพอร์ตจำลองให้ผลตอบแทนชนะ SET ถึง 5 ใน 6 เดือน น่าจะสะท้อนภาพของ Portfolio ของเรา(มีหุ้นเพียง 6 บริษัทต่อเดือน) สามารถนำไปใช้เป็นตัวอย่างในการลงทุนได้ สำหรับนักลงทุนที่ไม่ค่อยมีเวลา และต้องการบริหารจัดการพอร์ตเป็นรายเดือน
สำหรับแนวโน้มการลงทุนเดือน กค 2016 คาด SET ยังมีทิศทาง Sideway up ต่อ จากแรงหนุนเชิงบวกของการใช้นโยบายการเงินผ่อนคลายต่อเนื่องของ DM หลังความเสี่ยงของ BREXIT กดดัน Downside ของเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศดังกล่าวเพิ่มสูงขึ้น ทำให้ Nomura คาดว่าเราจะเห็นการผ่อนคลายนโยบายการเงินของ BOJ ในการประชุมวันที่ 26-27 กค.นี้ เช่นเดียวกับ ECB ที่คาดว่าการประชุมเดือน กย น่าจะลดดอกเบี้ยเงินฝากลงอีก -0.1% รวมไปถึงการขยายกรอบระยะเวลาการทำ QE ออกไปอีก ส่วน FED คาดว่าการขึ้นอัตราดอกเบี้ยจะถุกเลื่อนไปเป็น ธค 2016 นั่นจะทำให้กระแส Fund Flow ไหลเข้า EM-ASIA ต่อเนื่อง จากเศรษฐกิจภายในที่มีการฟื้นตัวดีกว่า ขณะที่สัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยมีทิศทางบวกต่อเนื่องจากกระแสภายในและภายนอก ทั้งการค้ากับฝั่งตะวันตกที่น่าจะดีขึ้นหลัง สหรัฐฯ ประกาศการค้ามนุษย์ประจำปี 2559 มีการปรับขึ้นอันดับของไทย สู่ Tier2 จาก Tier3 (ต่ำสุด) ผสานการลงทุนภาครัฐที่มีกรอบการลงทุนของรถไฟฟ้า 3 สายชัดเจนทั้งส้ม ชมพู และเหลือง(รายละเอียดในเล่ม) น่าจะหนุนการลงทุนภาคเอกชนในช่วง 2H16 ฟื้นตัว ทำให้ตลาดหุ้นไทยเดือนนี้น่าจะแกว่งบวกรับปัจจัยดังกล่าว โดยคาด SET แกว่งขึ้น สู่แนวต้าน 1478/1496จุด และแนวรับ 1424/1411
กลยุทธ์ลงทุน: คาดแนวโน้มตลาดเดือน กค 2016 แกว่งขึ้น 1478/1496จุด Fund Flow ไหลเข้าEM-Asia ต่อเนื่อง ผลของ BREXIT หนุนมุมมอง ASIA เป็น Safe Haven จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจทั้งภายในและภายนอก คาดกลุ่มที่จะ Outperform ในเดือนนี้ ได้แก่ 1) BANK Deep Valuation & 2H16 Earning Recovery (BBL, SCB, KBANK, KKP) 2) Commodities Laggard (PTTGC, BCP) และ Soft Commodities (CPF, KSL, BRR) เป็นตัวหนุนตลาดขึ้น 3) กลุ่มพลังงานทางเลือก ที่มีการกำหนดยื่นซองประมูล Biomass 3จังหวัดชายแดนภาคใต้ 36mw ในวันที่ 15-30 มิย. แนะนำ TPCH, PSTC เด่น และ ความคืบหน้าโรงไฟฟ้าขยะอุตสาหกรรม 50MW (BWG) 4) หุ้นที่มี Earning Momentum เด่น (GLOBAL, HMPRO, CPF, PSTC, KAMART, XO, MONO, CI) และ 5) กลุ่มได้ประโยชน์จากโครงการรัฐฯ (CK, ITD, PYLON, SEAFCO, ILINK, SCC) สำหรับ Portfolio Top picks JULY 2016 CPF, BBL, GLOBAL, KAMART, BWG, PSTC และ DARK Horse SAT, MONO, IVL, BRR, TPCH

Eagle Eye
Strategy Update:
2016F Thailand Equity Outlook: "2016 AEC Connectivity - WISE"
2016Top Picks : KAMART, ERW, BDMS, BCH, BBL, CK, AMATA, DCC, ROBINS, CI, LH, TCAP, SCC, KSL, BRR, NYT
2016F Key Factor: AEC Connectivity - WISE
Global Growth: ภาพรวมเศรษฐกิจโลกยังคงขยายตัว นำโดยกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว (Developed Market) ขณะที่ ประเทศในเอเชียส่วนใหญ่ยังคงมี downside risks จากปัจจัยด้านโครงสร้าง
Equity Risk Premium (ERP): ค่า Premium หรือส่วนต่าง (ERP) ของผลตอบแทนตลาดหุ้นเอเชีย (Risky asset) สูงกว่าผลตอบแทนพัธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปี (Risk free asset) อยู่ 615 bps หรือราว +0.9SD เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยระยะยาว 460bps. สะท้อนสินทรัพย์เสี่ยงมี Valuation เชิงพื้นฐานที่ถูก และน่าจะเริ่มฟื้นตัว


Global Monetary Remains Easing: แนวโน้มการใช้นโยบายการเงินผ่อนคลายยังคงเกิดขึ้นต่อเนื่อง นำโดยมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจาก ECB ซึ่งขยายระยะเวลาการทำ QE ออกไปอีก 6 เดือน จากเดิมที่จะหมดอายุในเดือน กย 2016 ขยายเป็น มีค 2017 นอกจากนี้ ในปี 2016 Nomura คาด BOJ จะเพิ่มวงเงินในโครงการซื้อกองทุนอีทีเอฟ (ETF) ขึ้น 2 เท่า จาก 3 ล้านล้านเยน เป็น 6 ล้านล้านเยน ในเดือน เม.ย. และ คาด PBoC (ธนาคารกลางจีน) จะมีการลด RRR ทั้งหมด 4ครั้ง โดยลด 50bps ต่อไตรมาส อีกทั้ง จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 2 ครั้งในปี ครั้งละ 25 bps จะช่วยชดเชยสภาพคล่องที่ลดลง จากการปรับนโยบายการเงินเข้าสู่ระดับปกติของ Fed
Fed Rate Hike: ความผันผวนของตลาดสินทรัพย์เสี่ยงในการเข้าสู่วงจรดอกเบี้ยขาขึ้นของสหรัฐฯ ถือเป็นโอกาสเข้าซื้อลงทุนในระยะกลาง-ยาว ซึ่งในระยะ 9 เดือน หลัง Fed ขึ้นดอกเบี้ย MSCI World ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยราวๆ +10% ทั้งนี้ Nomura คาด Fed ปรับดอกเบี้ยในปี 2016 และ 2017 ประมาณ 50 และ 75 bps ตามลำดับ ขณะที่ อัตราดอกเบี้ยเป้าหมายอยู่ 2%


High Bond Yield - Equity Positive: ความสัมพันธ์ระหว่าง US Bond Yield และ Equity prices แปรผันตามกัน ดังนั้น ในวงจรดอกเบี้ยขาขึ้นของสหรัฐฯ จะหนุน Multiple PE สูงขึ้น โดยคาดว่า US Bond Yield อายุ 10 ปี ที่เพิ่มขึ้นราว +50bps จะหนุน MSCI World Index ซื้อขายที่ PE >1.5X และผลัก Fund flow ไหลเข้าสู่สินทรัพย์เสี่ยง
Commodity Price: Nomura มีการปรับสมมติฐานราคาน้ำมันดิบ Brent ในปีนี้ลงจาก 60 เหรียญฯต่อบาร์เรล เหลือ 53 เหรียญฯต่อบาร์เรล และในปี 2016F ปรับลดจาก 70 เหรียญฯต่อบาร์เรล เหลือ 55 เหรียญฯต่อบาร์เรล ปี 2017F จาก 80 เหรียญฯต่อบาร์เรล เหลือ 60 เหรียญฯต่อบาร์เรล ราคาน้ำมันดิบที่ยังคงอยู่ในระดับต่ำ เป็นภาพบวกต่อเศรษฐกิจไทยในช่วงถัดไปในฐานะประเทศที่นำเข้าน้ำมันสุทธิ
US Election 2016: คาดสินทรัพย์เสี่ยงโลก จะตอบรับเชิงบวกต่อการเลือกตั้งในสหรัฐฯ เนื่องจาก ความขัดแย้งทางการเมืองสหรัฐฯ จะลดลง เพื่อเข้าสู่กระบวนการหาเสียงก่อนการเลือกตั้งในวันที่ 8 พ.ย.
2016 AEC Connectivity: การรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจก่อให้เกิดการเคลื่อนย้ายสินค้าและบริการ การลงทุน และแรงงานฝีมืออย่างเสรี หนุนเศรษฐกิจภูมิภาคให้แข็งแกร่งขึ้น


Economic: Nomura คาด GDP ไทยในปี 2016-2017 เติบโตเพียง 2.5-2.7% แต่ประมาณการณ์ดังกล่าวอาจมี Upside Risk หากรัฐฯ เร่งการลงทุนต่อเนื่องและฟื้นความเชื่อมั่นภายในได้ดีกว่าคาด
Foreign Holdings of equity: ยอดการถือครองหุ้นไทยของนักลงทุนต่างชาติยังคงต่ำกว่าในช่วงวิกฤติการเงินโลก (GFC 2008)
Risk: 1) การชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน 2) ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ต่ำกว่าคาด 3) สงครามโลก 3 (World War III)และ 4) ความเสี่ยงทางการเมืองในไทย
2016 Market Outlook: CNS คาด SET 1H16 จะแกว่งบวกในกรอบ 1250-1500จุด ด้วยดัชนีเป้าหมายปี 2016 ที่ระดับ 1515จุด (PER FWD 15x) มี Upside จากปัจจุบันราว 18% โดย CNS เชื่อว่าตลาดหุ้นไทยในปัจจุบันถูกในเชิงพื้นฐานหลังค่า Equity Risk Premium สูงถึง 5.32% มากกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาว 5.16% และเป็นครั้งแรกในรอบ 5ปี ที่ค่า Valuation เชิงพื้นฐานถูกที่ระดับนี้ โดยประเมินกิจกรรมทางเศรษฐกิจไทยจะเริ่มฟื้นตัวจากจุดต่ำสุดใน 4Q15 เป็นต้นไป ขณะที่การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐซึ่งเป็น LT-Growth กำลังดึงความเชื่อมั่นให้ฟื้นตัว ซึ่งคงต้องประเมินความต่อเนื่องจนถึง 1Q16 นี้ หากมีโมเมนตัมบวกต่อเนื่องจะหนุนภาพตลาดหุ้นไทยเป็นไปตามเป้าหมายได้ ในทางกลับกันหากสัญญาณความเชื่อมั่นด้านการลงทุนและเศรษฐกิจในช่วงดังกล่าวไม่ฟื้น ภาพตลาดจะพลิกมามี Downside Risk จากความเสี่ยงเศรษฐกิจตกต่ำ เร่งความเสี่ยงการเมืองได้
2016 Strategy: CNS ยังแนะนำกลุ่มที่อิงการเติบโตจากเศรษฐกิจภายในประเทศ หรือการเติบโตตามภูมิภาคอาเซียนหนุน และกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากนโยบายรัฐ แนะนำ Overweight CONMAT, TRANS, HOT, COM, FOOD โดยเลือก Theme 2016 AEC Connectivity-WISE แนะนำ Top Picks 1H16 คือ ERW, BBL, ROBINS, BRR, LH, CPF ส่วน Top Picks ปี 2016 มี 16 บริษัท คือ KAMART, ERW, BDMS, BCH, BBL, CK, AMATA, DCC, ROBINS, CI, LH, TCAP, SCC, KSL, BRR, NYT

Shipping Update:
BDI วานนี้ -10 จุด สู่ระดับ 736 จุด (ลดลงวันที่สองหลังจากปรับตัวขึ้น 19 วันติดต่อกัน) โดยแนะนำ "wait and see" กลุ่มเดินเรือ "PSL (รายได้จากเรือเทกอง 100%), TTA (รายได้จากเรือเทกอง 30-35%)"
ค่าระวางเรือเทกอง (BDI) วานนี้ -10 จุด สู่ระดับ 736 จุด (ลดลงวันที่สองหลังจากปรับตัวขึ้น 19 วันติดต่อกัน) โดยค่าเฉลี่ย BDI 2Q16 ที่ 611 จุด (+70%q-q, -3%y-y)
แนะนำ "wait and see"กลุ่มเดินเรือ "PSL (รายได้จากเรือเทกอง 100%), TTA (รายได้จากเรือเทกอง 30-35%)"

ดัชนีค่าระวางเรือคอนเทนเนอร์ วานนี้ คงที่ ที่ระดับ 330 จุด โดยแนวโน้มคาดกำลังอยู่ในช่วงพักฐาน
ค่าระวางเรือคอนเทนเนอร์ วานนี้ คงที่ ที่ระดับ 330 จุด โดยแนวโน้มคาดกำลังอยู่ในช่วงพักฐาน
สำหรับนักลงทุนระยะสั้น กลาง ยาว แนะนำ wait and see "RCL"

Stock Calendar
วันนี้ : (ลูกหุ้นเข้าใหม่) GLAND, SAPPE, SCB
วันพรุ่งนี้ : (XD) TMW @1.05

Top NVDR Buy/Sell
Top Buy ADVANC, PTT, SCC, PTTEP, KBANK / Top Sell BBL, AOT, DTAC, LH, TRC

Regional Fund Flow
Indonesia +65, Philippines +20, S.Korea +166, Taiwan +404, Thailand +144
ภาพรวมตลาดภูมิภาค วานนี้ ต่างชาติซื้อสุทธิ 803 ล้านเหรียญ โดยพบว่ามีแรงซื้อสุทธิในทุกประเทศ 8 วันติดต่อกัน ซื้อมากใน Taiwan ซื้อ 404 ล้านเหรียญ และ S.Korea ซื้อ 166 ล้านเหรียญ
สอดคล้องกับกลุ่ม TIP วานนี้ ต่างชาติซื้อสุทธิ 230 ล้านเหรียญ โดยพบว่ามีแรงซื้อสุทธิในทุกประเทศ นำโดย Thailand ซื้อ 144 ล้านเหรียญ, Indonesia ซื้อ 65 ล้านเหรียญ และ Philippines ซื้อ 20 ล้านเหรียญ

Strategist Team
Koraphat Vorachet : Analyst Registration No. 043100
[email protected] : 0-2287-6771, 0-2638-5771

Wijit Arayapisit : Analyst Registration No. 044799
[email protected] : 0-2287-6871, 0-2638-5871

Chavaratt Changpakorn : Assistant Strategist
Note: TP (Bloomberg Consensus) , *TP(CNS,Nomura)

BSP

 

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!