- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Thursday, 21 July 2016 17:33
- Hits: 725
บล.เอเซีย พลัส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
กลยุทธ์การลงทุน
Fund Flow ยังดัน SET ขึ้นทดสอบ 1,520-1,525 จุด และผลักดันให้ P/E ตลาดขึ้นไปเกิน 18 เท่า ทำให้ตลาดมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น จึงแนะนำให้ขายหุ้นเกิน Fair Value สลับมาเข้าหุ้น Domestic ที่ Laggard (BJC, ADVANC, ASK, CK, BBL, RATCH, TMB) เลือก Top pick ADVANC(FV@189) ยังจ่ายเงินปันผลเด่นต่อเนื่องปี 2560
SET Index 1,510.03
เปลี่ยนแปลง (จุด) 18.03
มูลค่าการซื้อขาย (ล้านบาท) 64,102.78
ยอดซื้อ-ขายสุทธิ นักลงทุนแต่ละประเภท (ล้านบาท)
นักลงทุนต่างชาติ 5,049.36
บัญชีบริษัทหลักทรัพย์ 1,100.97
นักลงทุนสถาบันในประเทศ -1,208.43
นักลงทุนรายย่อย -4,941.90
ตลาดคาด ECB จะไม่อัดฉีดเงินในวันนี้ แต่เป็นรอบถัดไป
แม้ความกังวลต่อปัญหาของ Brexit ยังเป็นปัจจัยกดดันความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจของยุโรประยะกลางและยาว สะท้อนจากดัชนีชี้นำเศรษฐกิจยุโรปเดือน ก.ค. ยังคงชะลอตัว กล่าวคือ ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคยังหดตัว 7.6% จากเดือนก่อนหน้า ติดต่อกันหลายเดือน และถือว่าทำระดับต่ำสุดในรอบ 3 เดือน อย่างไรก็ตามตลาดกลับคาดการณ์ว่าในการประชุมธนาคารกลางยุโรป (ECB) วันนี้ จะไม่มีการออกมาตรการกระตุ้นใหม่ๆ (ยังคงดอกเบี้ยนโยบายที่ 0% ต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ คงดอกเบี้ยเงินฝากที่ธนาคารพาณิชย์ฝากไว้กับ ECB ที่ ติดลบ 0.4% และคงวงเงิน QE ที่ระดับ 8 หมื่นล้านยูโร/เดือน) แต่ตลาดให้น้ำหนักไปการประชุมรอบถัดไปคือ 8 ก.ย.
หากเป็นไปตามตลาดคาด ก็ถือว่าการดำเนินนโยบายการเงินของ ECB สอดคล้องกับการประชุมธนาคารกลางอังกฤษ(BOE) ครั้งหลังสุดในสัปดาห์ที่แล้ว ที่ยังคงดอกเบี้ย 0.5% (ยาวนานราว 7 ปี) ทั้งนี้อาจจะเป็นเพราะตลาดผ่อนคลายประเด็น Brexit เนื่องจาก การออกจากสหภาพยุโรป ของอังกฤษนั้นยังคงต้องใช้เวลานาน กว่า 2 ปี ซึ่งระหว่างนี้ทุกฝ่ายมีเวลาปรับตัว โดยอังกฤษต้องเร่งเจรจาการค้า กับประเทศ สมาชิก ในสหภาพ แบบ Bilateral (สัญญาแต่ละฉบับจะต้องผ่านการเห็นชอบจากสมาชิกคนอื่นๆ (ผ่าน EU Council) แล้วจึงจะออกเป็นกฎเกณฑ์ที่ชัดเจนและนำไปใช้ได้จริง ซึ่งสอดคล้องกับ ถ้อยแถลงของนายกรัฐมนตรีอังกฤษคนใหม่ ที่คาดว่าขบวนการออกจากสภาพยุโรปน่าจะเริ่มเห็นเป็นรูปเป็นร่างในปี 2560 ในระหว่างนี้ อังกฤษยังคงสถานะสมาชิกสหภาพ รวมทั้งสิทธิและผลประโยชน์เดิมอยู่ (แต่ไม่มีอำนาจในการลงเสียงออกกฎเกณฑ์ในที่ประชุมก็ตาม) จึงช่วยลดแรงกดดันระยะสั้น
SCB กำไรดีกว่าคาด TMB ใกล้เคียงกับคาด แต่ส่วนใหญ่ NIM ดีกว่าคาด
สัปดาห์นี้การรายงานผลประกอบการงวด 2Q59 หุ้นกลุ่ม ธ.พ. น่าจะใกล้สิ้นสุด โดยวานนี้ มี 2 แห่งที่รายงานคือ SCB และ TMB พบว่า SCB ดีกว่าคาดกล่าวคือ
TMB ([email protected]) 2Q59 เติบโต 2.8%qoq (ลดลง 4.8%yoy) เพราะ NIM ยังดีกว่าคาด ขณะที่คุณภาพสินทรัพย์ยังแข็งแกร่ง แต่ก็มีการตั้งสำรองฯ เพิ่มขึ้นเพื่อดำเนินนโยบายอย่างระมัดระวัง และคาดแนวโน้ม 3Q59 จะฟื้นตัวต่อ แม้คาดว่า NIM จะลดลงจากผลของการลดดอกเบี้ยเงินกู้ลง แต่น่าจะมีการตั้งสำรองฯ ที่ลดลง โดยรวมคาดปี 2559 กำไรฯ หดตัวลงเล็กน้อย 2%yoy ก่อนที่จะกลับมาฟื้นตัว 11%yoy ในปีหน้า ราคาปัจจุบันมี upside ราว 13% คงคำแนะนำ ซื้อ พร้อมคาดหวัง Div. Yield ราว 3.6%
SCB (FV@B130) 2Q59 เติบโตถึง 21.5%qoq (แต่ลดลง 3%yoy) โดย NIM ดีกว่าคาด ช่วยหักล้างการตั้งสำรองฯ ที่เพิ่มขึ้น มากกว่าคาด (เป็นการนำกำไรจากธุรกิจประกันภัย ของ SCB Life กำไรดีกว่าคาดมาก เนื่องจาก Yield ของพันธบัตรมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น) แต่ยังคงประมาณการกำไรสุทธิปีนี้ที่เดิม คือ ลดลงราว 10%yoy โดยคาดว่าในช่วง 2H59 น่าจะได้รับผลกระทบจาก NIM ที่ลดลงชัดเจน และ ผลกระทบ จากการปรับโครงสร้างรายได้ค่าธรรมเนียมฯ ใหม่ในส่วนของธุรกรรม e-banking ดังนั้นแม้ปี 2560 คาดกำไรสุทธิจะกลับเติบโตราว 15%yoy แต่ราคาปัจจุบันเกิน Fair Value ปีหน้าแล้ว จึงยังแนะนำ switch ไปลงทุนหุ้นขนาดกลาง-เล็กที่มีการเติบโตที่โดดเด่นกว่าคือ TCAP ([email protected]) และ KKP (FV@B60)
หลังจากนี้คาดว่านับจากปลายเดือน ก.ค. - ต้นเดือน ส.ค. ภายการผลิต (Real Sector) น่าจะทยอยประกาศ ซึ่ง ASPS ได้ทยอยทำ Earning Preview ในหลายกลุ่มพบว่ามีทั้งที่ดีขึ้นเมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนหน้า (yoy) และ เทียบกับงวดก่อนหน้า (qoq) ได้แก่กลุ่มอาหารอาหารส่งออก (CPF, TU)และ ชิ้นส่วน (SVI, DELTA) ตามมาด้วยกลุ่มเหล็กที่พลิกจากขาดทุนเป็นกำไร (BSBM ยกเว้น TMT ที่ชะลอตัวลง) และ พลังงาน (TOP) และ สุดท้าย สื่อสาร (ADVANC ยกเว้น THCOM ที่ชะลอตัว) รายละเอียดดังที่สรุปใน Market Talk วานนี้ สำหรับวันนี้ได้สรุปหุ้นที่คาดว่าผลประกอบการงวด 2Q59 น่าจะชะลอตัว มีดังนี้คือ
กลุ่มพลังงาน
PTTEP (FV@B89) คาด 2Q59 หดตัวถึง 67%qoq (แต่เติบโต 40%yoy) จากรายการพิเศษ คือขาดทุนจากการ hedging น้ำมันเป็นหลัก แต่คาดว่าจะเริ่มทรงตัวในงวด 3Q59 ภายใต้ราคาน้ำมันในปัจจุบัน แต่ทำให้กำไรปกติโดยรวมปี 2559 ลดลง 31.7%yoy แต่จะกลับมาเติบโตอีกครั้งในปี 2560 ราว 31.3%yoy อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าแนวโน้มทิศทางราคาน้ำมันน่าจะผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว แต่คาดระยะสั้นราคาหุ้นอาจได้รับแรงกดดันจากทั้งความผันผวนของราคาน้ำมันในตลาดโลก
กลุ่มค้าปลีก
COM7 (FV@B9) คาด 2Q59 หดตัว 13%qoq จากฐานกำไรที่สูงในงวดก่อนหน้า แต่เติบโต 25%yoy ตามยอดขายที่เติบโตและ Net Margin ที่ดีขึ้น ส่วนแนวโน้มกำไร 2H59 คาดจะเป็นจุดสูงสุดของปีจากทั้งการเปิดตัวสินค้าใหม่ๆ และรายได้ส่วนเพิ่มอื่นๆ ทำให้ตลอดปี 2559 จะเติบโต 23%yoy แต่ราคาปัจจุบันเกิน Fair Value ไปมากแล้ว แนะนำขายทำกำไรช่วงสั้น ๆ
กลุ่มรับเหมาฯ
SYNTEC (FV@B4) คาด 2Q59 หดตัว 28%qoq เพราะเทียบกับงวด 1Q59 มีการรับรู้กำไรจากรายการพิเศษ แต่หากเทียบกับงวด 2Q58 ยังเติบโต 57% (รับรู้รายได้งานก่อสร้างที่ใกล้แล้วเสร็จ และสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายได้ดี) ขณะที่งวด 3Q59 มีลุ้นได้งานประมูลใหม่ 8 โครงการ มูลค่า 6.3 พันล้านบาท ขณะที่ราคาตลาดปัจจุบันยังมี upside 23% โดยที่มูลค่าหุ้นยังมีโอกาสเพิ่มขึ้นจากการ ถือครอง Hidden Asset หลายชิ้น (ถือหุ้นBEM 75 ล้านหุ้น และที่ดินไม่ใช่งาน 5 ไร่ ราคาตลาดสูงกว่าต้นทุนหลายเท่าตัว) บวกกับ Dividend Yield ราว 3.3% จึงยังแนะนำ ซื้อ
กลุ่มวัสดุก่อสร้าง
TASCO ([email protected]) คาด 2Q59 หดตัวถึง 36%qoq และ 42%yoy จากยอดส่งออกที่ลดลงและส่วนต่างราคายางมะตอยกับน้ำมันดิบที่แคบลง แต่น่าจะเห็นการฟื้นตัวในช่วง 2H59 ตามความต้องการใช้ยางมะตอยมีเพิ่มขึ้นต่อเนื่องทั้งในและต่างประเทศ อย่างไรก็ตามนักวิเคราะห์ ได้ปรับประมาณการกำไรปีนี้ลง 14% สะท้อนผลกำไรงวด 2Q59 ที่ย่ำแย่ แต่ราคาหุ้นยังมี upside อีกสูงกว่า 30%
DRT ([email protected]) คาด 2Q59 หดตัว 15%qoq เนื่องจากงวด 1Q59 มีกำไรพิเศษจากการขายที่ดิน แต่ทรงตัวเมื่อเทียบกับงวด 2Q58 ตลาดส่งออกที่เติบโต ชดเชยตลาดในประเทศที่ซบเซา แต่ก็น่าจะเห็นสัญญาณการฟื้นตัวที่ดีในช่วง 2H59 ขณะที่การซื้อหุ้นคืน 100 ล้านหุ้น ช่วยให้กำไรสุทธิต่อหุ้น ( EPS) เพิ่มขึ้น 10% รวมถึงเงินปันผลในอนาคตที่สูงขึ้น ฝ่ายวิจัยจึงปรับมูลค่าหุ้นขึ้นจากเดิม 5.1 บาท เป็น 5.75 บาท (ภายใต้สมมติฐานไม่นำหุ้นที่ซื้อคืนกลับมาขายในตลาดฯ อีกครั้ง) จึงยังแนะนำซื้อ
กลุ่มขนส่งทางอากาศ
AOT (FV@B450) คาด 3Q59 (สิ้นสุด มิ.ย.) หดตัว 12%qoq จากผลกระทบการเข้าสู่ช่วงนอกฤดูกาล แต่เติบโต 20%yoy จากรายได้ค่าบริการที่คาดเพิ่มขึ้น และการเริ่มรับรู้รายได้ค่าเช่าพื้นที่เช่าดอนเมือง อาคาร 2 ส่วนแนวโน้มกำไรปกติ 4Q59 คาดจะเติบโตจากงวด 4Q58 เพราะฐานที่ต่ำ ทั้งจากผลกระทบโรคเมอร์สและเหตุระเบิดราชประสงค์ โดยรวมทำให้คาดปีนี้และปีหน้าจะเติบโตเฉลี่ย 18%
ต่างชาติซื้อสุทธิหุ้นในภูมิภาคทุกประเทศ ตลอดช่วง 8 วันที่ผ่านมา
Fund Flow ยังคงไหลเข้าตลาดหุ้นในภูมิภาคอย่างแรงไม่หยุด ฉุดไม่อยู่ ซึ่งสังเกตได้จากวานนี้ต่างชาติซื้อสุทธิหุ้นในภูมิภาคต่อเนื่องเป็นวันที่ 10 ด้วยมูลค่าราว 802 ล้านเหรียญ และยังเป็นการซื้อสุทธิทุกประเทศ ตลอดช่วง 8 วันทำการที่ผ่านมา โดยหากพิจารณาเป็นรายประเทศพบว่า ไต้หวันยังคงถูกซื้อสุทธิสูงสุดในภูมิภาคราว 404 ล้านเหรียญ (ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 9) รองลงมาคือ เกาหลีใต้ 167 ล้านเหรียญ (ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 8) ตามมาด้วยอินโดนีเซีย 66 ล้านเหรียญ (ซื้อสุทธิต่อเนื่องเป็นวันที่ 17), ฟิลิปปินส์ 21 ล้านเหรียญ (ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 9) และไทยที่ถูกซื้อสุทธิราว 144 ล้านเหรียญ หรือ 5.0 พันล้านบาท (ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 8) ตรงข้ามกับนักลงทุนสถาบันฯที่ขายสุทธิราว 1.2 พันล้านบาท
ขณะที่ตลาดตราสารหนี้ไทย นักลงทุนสถาบันในประเทศซื้อสุทธิราว 9.8 พันล้านบาท ต่างกับนักลงทุนต่างชาติที่ขายสุทธิราว 3.1 พันล้านบาท
กลยุทธ์ระยะสั้น ยังเน้น Domestic ที่Laggard : ADVANC, BBL, TMB, AOT
วานนี้ตลาดหุ้นไทยปรับขึ้นได้แรงกว่า 18 จุด หรือ 1.2% ส่งผลให้ตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน SET Index ปรับเพิ่มขึ้นกว่า 17.2% อย่างไรก็ตาม หากพิจารณารายกลุ่มอุตสาหกรรมพบว่า ยังมีบางกลุ่มที่ดัชนี ปรับตัวขึ้นได้น้อยกว่าตลาด ได้แก่ กลุ่มชิ้นส่วนฯ เพิ่มขึ้นเพียง 0.5%ytd กลุ่มรับเหมาฯ และกลุ่มบันเทิง เพิ่มขึ้น 3.3%ytd กลุ่มวัสดุก่อสร้าง เพิ่มขึ้น 5.2% และหากพิจารณาบางกลุ่มแม้ให้ผลตอบแทนใกล้เคียงตลาดแต่ยังมีหุ้นในกลุ่มปรับตัวขึ้นน้อยกว่าตลาด ได้แก่ กลุ่มขนส่ง และกลุ่ม ธ.พ. ให้ผลตอบแทนราว 16.7% และ 18.8% ตามลำดับ
ดังนั้นในภาวะที่ตลาดหุ้นปรับตัวขึ้นแรง และเกินดัชนีเป้าหมายสิ้นปี 2559 โดยการขับเคลื่อนของ Fund Flow กลยุทธ์การลงทุนระยะสั้น จึงแนะนำให้ขายหุ้นที่เกิดมูลค่าหุ้น BAY, SCB, KTB, KBANK, TRUE, JAS, HMPRO, ROBINS, CPALL, THAI, BEM, AAV, VGI, BANPU, LANNA, TISCO, EGCO, SIM, RML, CHG, TFG, MCOT และ GUNKUL เป็นต้น และให้ switch มายังหุ้นที่ laggard กว่าตลาด หรือ laggard กว่ากลุ่มฯ รวมทั้งราคาหุ้นปัจจุบันยังมี upside พร้อมมีค่า Beta สูงหรือใกล้เคียง 1 ขึ้นไป เพื่อคาดหวังการปรับขึ้นที่แรงกว่าตลาด โดยมีรายชื่อหุ้นดังภาพด้านล่าง
นักวิเคราะห์: ภรณี ทองเย็น, CISA เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004146
เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004132
พบชัย ภัทราวิชญ์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 052647
ภราดร เตียรณปราโมทย์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 052647
ผู้ช่วยนักวิเคราะห์: พาสุ ชัยหลีเจริญ
ผู้ช่วยนักเศรษฐศาสตร์: ฐกฤต ชาติเชิดศักดิ์