- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Friday, 08 July 2016 17:57
- Hits: 739
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
แกว่งรอข่าว...ไม่หลุด 1440 เลือกซื้อ/ถือต่อได้
หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : ไม่มี
ปัจจัย&กลยุทธ์ทางปัจจัยพื้นฐาน : ตลาดหุ้นไทยเมื่อวานนี้ปิด +4.13 จุดที่ 1456.72 ทั้งนี้แม้ว่าจะปิดเหนือระดับจิตวิทยาและแนวต้านที่ 1450 จุดได้แต่ก็ไม่ได้ดีมากนัก เพราะต่ำกว่าระดับสูงสุดของวันที่ 1464.10 อยู่พอสมควร และหุ้นที่ปรับขึ้นก็ค่อนข้างกระจายตัว นักลงทุนสถาบันในประเทศและต่างชาติกลับมาซื้อสุทธิ 1.4 และ 1.8 พันล้านบาทตามลำดับ ส่วนพอร์ตบล.และรายย่อยขายสุทธิ
คาดตลาดแกว่งรอข่าวใหม่ โดยตัวเลขที่ติดตามคือ การจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนมิ.ย.ของสหรัฐที่จะออกมาในคืนนี้ ซึ่งผลสำรวจคาดว่าจะเพิ่ม 1.7-1.8 แสนตำแหน่งหลังเพิ่มเพียง 3.8 หมื่นตำแหน่งในเดือนพ.ค.ที่ผ่านมา ค่าเงินสกุลหลักในตลาด Stable มากขึ้นหลังเหวี่ยงแรงในช่วงต้น-กลางสัปดาห์ ทั้งนี้เราประเมินว่าเฟดจะยังไม่รีบปรับขึ้นดอกเบี้ยเนื่องจากมีความไม่แน่นอนเรื่องผลกระทบจาก Brexit เข้ามา (เฟดประชุมครั้งต่อไปในวันที่ 26-27 ก.ค.นี้) สำหรับราคาน้ำมันดิบ ควรติดตามใกล้ชิดด้วยเช่นกัน เพราะหากราคาน้ำมัน WTI & BRENT หลุดต่ำกว่า 45 ดอลลาร์/บาร์เรลจะเป็นสัญญาณที่ไม่ค่อยดี โดยมีโอกาสอ่อนลงไปที่ 40 ดอลลาร์/บาร์เรล หรือต่ำกว่า และส่งผลกระทบต่อกำไรกลุ่มพลังงานใน 3Q59 รวมถึงกำไรของตลาดหุ้นไทยซึ่งมี Weight ของกำไรกลุ่มพลังงานสูงถึง 1 ใน 4 ของตลาด ส่วนปัจจัยในประเทศ แม้ว่าความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนมิ.ย.59 ออกมาลดลงต่อและต่ำสุดในรอบ 25 เดือน แต่การอุปโภคบริโภคสินค้าจำเป็นในชีวิตประจำวันยังคงเติบโตได้ดี การลงทุนโครงการขนาดใหญ่คืบหน้ามากขึ้นใน 2H59 และภาคท่องเที่ยวยังไปได้ดีแม้ว่าจะเป็น Low Season ขณะเดียวกันตลาด CLMV+I ยังมีการเติบโตสูงและหนุนกำไรของบริษัทที่เข้าไปทำธุรกิจ กลยุทธ์ : เน้นลงทุนในหุ้น Domestic & AEC Play โดยหุ้น Top Picks ของเดือนก.ค.59 เป็น CK, CPALL, CPN, JASIF และ Dark Horse คือ ANAN, BWG สำหรับหุ้นแนะนำเชิงกลยุทธ์วันนี้เป็น BWG
การวิเคราะห์ทางเทคนิค : ภาพตลาดเป็นบวกเล็กๆ แต่ควรระวังการแกว่งตัวจากแรงขายทำกำไร การซื้อใหม่จึงเน้นตามด้วยค่าบวก แนวต้านระยะสั้นอยู่ที่ 1460, 1470 จุด ค่าลบดูไม่ค่อยดี ต่ำกว่าแนวฟิวเตอร์ 1440 จุดควรตัดขายออกไปก่อน การ SCAN หุ้นที่มีสัญญาณทางเทคนิคดีและมีโอกาสปรับขึ้น พบว่าหุ้นที่เข้ามาใหม่ คือ TCAP, TTCL, SCI, TTA, SST หุ้นที่ยังอยู่ใน List คือ FSMART, SYNEX, VIH, STEC, KBS, MCS, AP, CKP, AQUA, TVO, PYLON, VGI หุ้นที่หาจังหวะ Take Profit คือ ANAN, SAMART หุ้นที่หลุด List เป็น QTC
Need to know TODAY
ปัจจัยต่างประเทศ
+ สหรัฐ : ตัวเลขจ้างงานภาคเอกชนเดือนมิ.ย.เพิ่มแกร่ง 1.72 แสนตำแหน่ง
ADP เปิดเผยว่า การจ้างงานของภาคเอกชนสหรัฐประจำเดือนมิ.ย. เพิ่มขึ้น 172,000 ตำแหน่ง มากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ว่าจะเพิ่มขึ้นราว 150,000-160,000 ตำแหน่ง นอกจากนั้นกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า จำนวนชาวอเมริกันที่ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกลดลง 16,000 ราย สู่ระดับ 254,000 รายในสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 2 ก.ค. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ช่วงกลางเดือนเม.ย. ปัจจัยที่จับตา คือ ตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนมิ.ย.สหรัฐที่จะรายงานออกมาในคืนนี้ (เวลาไทย) ซึ่งนักวิเคราะห์คาดว่าตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนมิ.ย.จะเพิ่มขึ้นราว 170,000-180,000 ตำแหน่ง หลังจากเพิ่มขึ้นเพียง 38,000 ตำแหน่งในเดือนพ.ค. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนก.ย. 2553
+/- ตลาดหุ้นสหรัฐ : ปิดอ่อนลงเล็กน้อย
ตลาดยังกังวลกับ Brexit และราคาน้ำมันดิบที่ลดลงกดดันหุ้นกลุ่มพลังงาน แต่ดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐก็ลดลงไม่ มาก (-0.1-0.4%) เพราะมีมุมมองที่เป็นบวกกับเศรษฐกิจสหรัฐ โดยเฉพาะตัวเลขภาคแรงงาน ซึ่ง ADP เปิดเผยการจ้างงานภาคเอกชนเดือนมิ.ย.เพิ่มขึ้นดีเกินคาด ทำให้ประเมินว่าเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของสหรัฐน่าจะรองรับผลกระทบจากการที่ UK ออกจากยุโรปได้
- ราคาน้ำมันดิบร่วงเกือบ 5%...นักวิเคราะห์คาดมีโอกาสอ่อนตัวลงต่อจากอุปทานที่กลับมาเพิ่มขึ้น
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนส.ค.ร่วงลง 2.29 ดอลลาร์ หรือ 4.8% ปิดที่ 45.14 ดอลลาร์/บาร์เรล ด้าน BRENT ร่วงลง 2.40 ดอลลาร์ หรือ 4.9% ปิดที่ 46.40 ดอลลาร์/บาร์เรล เนื่องจาก EIA รายงานสต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐในรอบสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 1 ก.ค.59 ปรับตัวลง 2.2 ล้านบาร์เรล น้อยกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ว่าจะลดลงราว 2.5-2.6 ล้านบาร์เรล
ทางด้านมอร์แกน สแตนลีย์เปิดเผยว่า มีสัญญาณบ่งชี้ว่าราคาน้ำมันอาจร่วงลงต่อไป จากภาวะอุปสงค์น้ำมันเบนซินที่ชะงักงัน และจากการที่รัสเซีย, แคนาดา และไนจีเรียเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันดิบ รวมทั้งการที่องค์กรด้านน้ำมันของลิเบียสามารถบรรลุข้อตกลงในการรวมตัวกันได้ จะเป็นการปูทางให้ลิเบียสามารถเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมัน นอกจากนั้นแรงงานในอุตสาหกรรมน้ำมันของนอร์เวย์ได้บรรลุข้อตกลงในวันเสาร์ที่ผ่านมา ซึ่งช่วยระงับการผละงานประท้วงในแหล่งผลิตน้ำมันของนอร์เวย์
- ราคาทองคำอ่อนลงจากแรงขายทำกำไร
สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนส.ค.ลดลง 5 ดอลลาร์ หรือ 0.37% ปิดที่ 1,362.10 ดอลลาร์/ออนซ์ หลังจากตัวเลขภาคแรงงานสหรัฐออกมาแข็งแกร่ง นักลงทุนจับตาตัวเลขจ้างงานนอกภาคการเกษตรเดือนมิ.ย.ของสหรัฐในวันนี้อย่างใกล้ชิด โดยข้อมูลดังกล่าวจะบ่งชี้แนวโน้มการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกในปีนี้ ก่อนที่เฟดจะประชุมกำหนดนโยบายการเงินในวันที่ 26-27 ก.ค.
ปัจจัยในประเทศ & หุ้นเด่น
- ไทย : ความเชื่อมั่นผู้บริโภคของไทยเดือนมิ.ย.ลดลงต่อและต่ำสุดในรอบ 25 เดือน
นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า ผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคเดือนมิ.ย.59 ว่าลดลงเป็น 71.6 ต่ำสุดในรอบ 25 เดือน นับตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2557 เนื่องจากผู้บริโภคมีความกังวลเกี่ยวกับผลการลงประชามติของสหราชอาณาจักรสนับสนุนให้ออกจากสมาชิกสหภาพยุโรป หรือ BREXIT ที่อาจส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยที่ยังฟื้นตัวช้า โดยเฉพาะจะมีผลกระทบต่อการส่งออกให้หดตัวลง
ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคของไทย
ความเห็นเชิงกลยุทธ์ Retail Research : เราประเมินว่าความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ยังต่ำทำให้การจับจ่ายใช้สอยโดยรวมยังไม่ดีนัก ยกเว้นการซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคจำเป็นในชีวิตประจำวันที่ยังไปได้ดี หุ้นเด่น คือ CPALL (ราคาพื้นฐาน 60 บาท) ซึ่งยอดขายในสาขาเดิมบริษัทยังคงขยายตัวได้ และมีการเปิดสาขาใหม่เพิ่มปีละ 700-800 สาขา การปรับ Product Mixed ทำให้มีมาร์จิ้นอยู่ในเกณฑ์สูง ส่วนกลุ่มที่พักอาศัย ที่ความเชื่อมั่นผู้บริโภคมีน้ำหนักต่อการตัดสินใจซื้ออย่างมากนั้น ก็ยังเป็นลักษณะของการประคองตัว ผู้ประกอบการเปิดขายโครงการใหม่น้อยลงในปีนี้ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อยอดรับรู้รายได้และกำไรในปี 61-62 แต่ผลประกอบการในปี 59-60 ยังได้รับผลดีจาก Backlog ที่สูงและทยอยโอนรับรู้รายได้ หุ้นเด่นเป็น ANAN (ราคาพื้นฐาน 5.60 บาท) ซึ่งคาดว่ากำไรสุทธิจะเติบโตก้าวกระโดดมากใน 2H59 และในปี 60 จากการโอนรับรู้รายได้คอนโดเป็นจำนวนมาก
+ BWG (ราคาปิด 2.58 บาท) : มีแนวโน้มดีในช่วง 3 ปีข้างหน้า
# ได้ประโยชน์จากกฎกระทรวงฯ - เดือนพ.ย.58 มีประกาศของกฎกระทรวงว่าการต่อใบอนุญาตรง.4 (สำหรับโรงงานอุตสาหกรรม) ผู้ประกอบการต้องมีการกำจัดกากอุตสาหกรรมอย่างเป็นระบบ ซึ่งในแต่ละปีจะมีผู้ประกอบการมาต่อใบอนุญาตราว 1 หมื่นโรงงาน (ใบรง.4 มีอายุ 5 ปี) ซึ่งส่วนนี้จะหนุนให้ผู้ประกอบการมาใช้บริการจำกัดขยะอย่างเป็นระบบมากขึ้น ซึ่งเป็นบวกกับ BWG ที่ดำเนินธุรกิจกำจัดกากอุตสาหกรรม และทำให้กำไรในธุรกิจนี้ขยายตัวได้ 15-20% ในช่วง 3 ปีข้างหน้า
# เชื้อเพลิงอัดแท่งทำรายได้เพิ่มเป็นลำดับ - ธุรกิจเชื้อเพลิงอัดแท่งโดยใช้กากฯมาทำ ธุรกิจนี้มีแนวโน้มดีและบริษัทมีความมั่นคงในเรื่องวัตถุดิบ ปัจจุบันมีกำลังการผลิต 600 ตัน/วัน ราคาขายเฉลี่ยอยู่ที่ 600-700 บาท/ตัน ทำรายได้ประมาณ 100 ล้านบาทต่อปี คิดเป็น 6% ของรายได้รวมในปี 58 และคาดว่าจะมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นในระยะต่อไป
# สำหรับธุรกิจโรงไฟฟ้าขยะ - เราเห็นว่า BWG มีโรงไฟฟ้าที่มีความมั่นคงกว่าหลายบริษัทเพราะมีวัตถุดิบเองและมีเตาเผาขยะ คาดว่าโรงไฟฟ้าขยะแรกที่มีขนาด 8 MW (บริษัทถือหุ้น 60%) จะเริ่มรับรู้รายได้ในปลายปี 60 และโรงไฟฟ้าที่สองขนาด 8 MW (ถือหุ้น 60%) จะเข้าในปลายปี 61 ซึ่งส่วนนี้จะเป็นอีก Key Growth ในช่วง 3 ปีข้างหน้าของบริษัท โดยประมาณการในเบื้องต้นว่าโรงไฟฟ้าจะทำกำไรโรงละ 100-120 ล้านบาทต่อปี ทั้งนี้ในปี 58 บริษัทมีรายได้ 1.7 พันล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 309 ล้านบาท
# ความเห็นเชิงกลยุทธ์ - เมื่อพิจารณาจากทิศทางธุรกิจของบริษัทดังที่กล่าวไปแล้วข้างต้น เรามีมุมมองที่เป็นบวกกับแนวโน้มธุรกิจ BWG โดยรายได้และกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นได้เป็นลำดับ แต่เรายังไม่ได้ทำการวิเคราะห์และกำหนดราคาเป้าหมายทางปัจจัยพื้นฐานอย่างเป็นทางการ ส่วนการวิเคราะห์ทางเทคนิค ให้แนวต้านระยะสั้นไว้ที่ 2.80, 3.00 บาท
นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค - [email protected]