- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Thursday, 07 July 2016 17:34
- Hits: 1181
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
'แกว่ง/อ่อนได้...แต่ไม่ควรหลุด 1440'
หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : ไม่มี
ปัจจัย&กลยุทธ์ทางปัจจัยพื้นฐาน : ตลาดหุ้นไทยเมื่อวานนี้ขยับขึ้นเล็กน้อย SET Index ปิด +2.52 จุดปิดที่ 1452.59 (ยังคงพยายามที่จะยืนเหนือ 1450 จุดให้ได้) โดยหุ้นที่ประคองดัชนีให้อยู่ในแดนบวกส่วนใหญ่เป็นหุ้น Mid-Small Cap สำหรับหุ้น Big Cap ที่บวกเด่น คือ TRUE, IVL, PTTEP, TCAP เป็นต้น นักลงทุนสถาบันในประเทศ & ต่างประเทศขายสุทธิกลุ่มละ 1.1-1.2 พันล้านบาท พอร์ตบล.ซื้อสุทธิ 1.3 พันล้านบาท รายย่อยซื้อสุทธิ 920 กว่าล้านบาท
ความวิตกกังวลผลกระทบ Brexit ยังคงอยู่ในตลาด และทำให้นักลงทุนระมัดระวังการซื้อขาย รวมทั้งมีการโยกการลงทุนไปยังสินทรัพย์ที่มีความปลอดภัยสูง เช่น ทองคำ เราคาดว่าความกังวลนี้จะทำให้เฟดไม่เร่งรีบปรับขึ้นดอกเบี้ย (เฟดประชุมครั้งต่อไปในวันที่ 26-27 ก.ค.นี้) รวมทั้งความผันผวนเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนก็ทำให้สถานการณ์การเงินและเศรษฐกิจขาดความเสถียรตามไปด้วย
อย่างไรก็ดี ปัจจัยในประเทศดีขึ้นในส่วนของการบริโภคภาคเอกชน เพราะผลดีจากมาตรการกระตุ้นของรัฐบาลที่ได้ดำเนินการไปช่วงก่อน การลงทุนโครงการขนาดใหญ่คืบหน้ามากขึ้นใน 2H59 และภาคท่องเที่ยวยังไปได้ดีแม้ว่าจะเป็น Low Season ขณะเดียวกันตลาด CLMV+I ยังมีการเติบโตสูงและหนุนกำไรของบริษัทที่เข้าไปทำธุรกิจ กลยุทธ์ : เน้นลงทุนในหุ้น Domestic & AEC Play โดยหุ้น Top Picks ของเดือนก.ค.59 เป็น CK, CPALL, CPN, JASIF และ Dark Horse คือ ANAN, BWG สำหรับหุ้นแนะนำเชิงกลยุทธ์วันนี้เป็น ADVANC
การวิเคราะห์ทางเทคนิค : ภาพตลาดเป็นลบเล็กๆ แต่ยังไม่ทิ้งการรีบาวด์ก่อนลงต่อ การซื้อใหม่จึงเน้นตามด้วยค่าบวก แนวต้านระยะสั้นอยู่ที่ 1460, 1470 จุด ค่าลบดูไม่ค่อยดี ต่ำกว่าแนวฟิวเตอร์ 1440 จุดควรตัดขายออกไปก่อน
การ SCAN หุ้นที่มีสัญญาณทางเทคนิคดีและมีโอกาสปรับขึ้น พบว่าหุ้นที่เข้ามาใหม่ คือ PYLON, VGI, SAMART ส่วนหุ้นที่ยังอยู่ใน List คือ FSMART, SYNEX, QTC, VIH, STEC, KBS, MCS, AP, CKP, ANAN, AQUA, TVO หุ้นที่หาจังหวะ Take Profit คือ SRICHA, KKP หุ้นที่หลุด List -ไม่มี-
Need to know TODAY
ปัจจัยต่างประเทศ
+ สหรัฐ : ดัชนี PMI ภาคบริการเดือนมิ.ย.ปรับขึ้นดี
สถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) ระบุว่าดัชนีภาคบริการของ ISM เดือนมิ.ย.อยู่ที่ 56.5 สูงสุดนับตั้งแต่เดือนพ.ย.58 และเพิ่มขึ้นขึ้นแกร่งจากระดับ 52.9 ในเดือนพ.ค.59 โดยได้รับแรงหนุนจากการจ้างงาน และคำสั่งซื้อใหม่ที่พุ่งขึ้น
สำหรับตัวเลขของมาร์กิต ระบุว่าดัชนี PMI ภาคบริการสหรัฐเดือนมิ.ย.เพิ่มเป็น 51.4 จาก 51.3 ในเดือนพ.ค.
- สหรัฐ : เดือนพ.ค.ขาดดุลการค้าเพิ่มขึ้น 10.1%
กระทรวงพาณิชย์สหรัฐรายงานว่ามูลค่าส่งออก และมูลค่าส่งออก & บริการเดือนพ.ค.หดตัว 0.2% แต่นำเข้าเพิ่ม 1.9% และราคาน้ำมันเฉลี่ยเพิ่มขึ้น ยังผลให้ตัวเลขการขาดดุลการค้าสหรัฐเพิ่มขึ้น 10.1% ในเดือนพ.ค. สู่ระดับ 4.11 หมื่นล้านดอลลาร์ หากปรับค่าตามเงินเฟ้อ สหรัฐจะขาดดุลการค้าเพิ่มขึ้นสู่ 6.11 หมื่นล้านดอลลาร์ในเดือนพ.ค. เทียบกับ 5.75 หมื่นล้านดอลลาร์ในเดือนเม.ย.
- สหรัฐ : เฟดแอตแลนตาคาดเศรษฐกิจสหรัฐขยายตัว 2.4% ในไตรมาส 2/59
ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขาแอตแลนตา เปิดเผยว่าแบบจำลองการคาดการณ์ GDPNow แสดงให้เห็นว่าเศรษฐกิจสหรัฐมีแนวโน้มขยายตัว 2.4% ในไตรมาส 2/59 หลังมีการเปิดเผยข้อมูลยอดขายรถยนต์และดุลการค้าสหรัฐ ซึ่งการเติบโตดังกล่าวต่ำกว่าคาดการณ์เดิมเมื่อ 1 ก.ค.59 ที่ 2.6%
ญี่ปุ่น : อัตราเงินเฟ้อติดลบ คาดจะมีมาตรการกระตุ้นเพิ่ม
ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนพ.ค.ของญี่ปุ่นติดลบต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 และดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐาน (Core CPI) ก็ลดลงมาเป็น 0.8% ในเดือนพ.ค. (จาก 0.9% ในเดือนเม.ย.) ทาง DBS คาดการณ์ว่าอัตราเงินเฟ้อจะลดต่อ และเชื่อว่า BOJ จะออกมาตรการกระตุ้นเพิ่มเติมในการประชุมวันที่ 28-29 ก.ค.59
+ ตลาดหุ้นสหรัฐรีบาวด์
ดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐปรับขึ้น 0.4-0.7% ตอบรับรายงานการประชุมเฟดประจำเดือนมิ.ย.59 ที่ระบุว่าคณะกรรมการเห็นพ้องให้ชะลอการขึ้นอัตราดอกเบี้ยจนกว่าเฟดจะได้รับข้อมูลที่ชัดเจนเกี่ยวกับ Brexit (เฟดประชุม 14-15 มิ.ย.ก่อน UK ทำประชามติในวันที่ 23 มิ.ย.) รวมทั้งดัชนี PMI ภาคบริการที่เติบโตแกร่งช่วยหนุนด้วย
เฟดจะมีการประชุมครั้งต่อไปวันที่ 26-27 ก.ค.นี้ ซึ่งตลาดก็จับตาสัญญาณเกี่ยวกับทิศทางอัตราดอกเบี้ย ส่วน Retail Research DBSV คาดการณ์ว่าเฟดจะไม่รีบปรับขึ้นดอกเบี้ย เพราะ Brexit เริ่มเห็นสัญญาณในทางลบต่อเศรษฐกิจ UK, EU และเศรษฐกิจโลก ซึ่งมีผลกระทบต่อการฟื้นตัวและเติบโตอย่างยั่งยืนของเศรษฐกิจสหรัฐด้วย
+ ราคาน้ำมันดิบบวกขึ้น 1.8%
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนส.ค.เพิ่มขึ้น 83 เซนต์ หรือ 1.8% ปิดที่ 47.43 ดอลลาร์/บาร์เรล ด้าน BRENT เพิ่มขึ้น 84 เซนต์ หรือ 1.8% ปิดที่ 48.80 ดอลลาร์/บาร์เรล โดยเอสแอนด์พี โกลบอล แพลทส์ คาดการณ์ว่าสต็อกน้ำมันดิบประจำสัปดาห์ของสหรัฐจะปรับตัวลดลง 2.6 ล้านบาร์เรล ด้าน EIA เลื่อนการรายงานสต็อกน้ำมันดิบรายสัปดาห์เพราะ 4 ก.ค.เป็นวันหยุดราชการเนื่องในวันชาติสหรัฐ ประกอบกับตัวเลขภาคบริการสหรัฐออกมาแข็งแกร่ง
+ ราคาทองคำปรับขึ้นต่อ
สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนส.ค.เพิ่มขึ้น 8.40 ดอลลาร์ หรือ 0.62% ปิดที่ระดับ 1,367.10 ดอลลาร์/ออนซ์ สะท้อนความไม่แน่นอนของปัจจัยภายนอกและความกังวลผลกระทบ Brexit ซึ่งทาง BEO กล่าวว่าเริ่มมีสัญญาณลบเกิดขึ้นแล้ว
ปัจจัยในประเทศ & หุ้นเด่น
+ กลุ่มถ่านหิน : ราคาถ่านหินขยับขึ้นจากอุปทานที่น้อยลง
ราคาถ่านหินในตลาดโลกขยับขึ้น โดยดัชนี BJI อยู่ที่ 55.18 ดอลลาร์/ตัน (เพิ่มขึ้น 4% จากสัปดาห์ก่อนหน้า) หลังจีนประกาศลดปริมาณการผลิตในช่วงที่ผ่านมา ทำให้ปริมาณสต็อกเหลือต่ำกว่าระดับปกติ ซึ่งอุปทานที่ลดลงขณะที่อุปสงค์จะเพิ่มขึ้นตามปัจจัยฤดูกาล ทำให้ราคาถ่านหินมีโอกาสทรงตัวในระดับปัจจุบันหรือขยับขึ้นได้ในช่วง 1-3 เดือนข้างหน้า...นับเป็นบวกกับกลุ่มถ่านหินในระยะสั้น ซึ่งบจ.ในตลาดที่ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับถ่านหินได้แก่ BANPU, LANNA, EARTH, AGE, TCC, UMS เป็นต้น
+ ADVANC : คาดกำไรสุทธิ 2Q59 กระเตื้องขึ้น 7%QoQ
ทางฝ่ายวิจัยฯ DBSV คาดการณ์ว่า Core Profit ของบริษัทจะเติบโตได้ 7%QoQ เป็น 9.5 พันล้านบาท เพราะมีค่าใช้จ่ายอุดหนุนค่าโทรศัพท์มือถือน้อยลง แต่ถ้าเทียบ YoY กำไรสุทธิยังลดลง 3% แต่ก็น้อยกว่าที่เราและตลาดประเมินไว้ก่อนหน้า (เพราะหากดูจากข่าวสารและการแข่งขันในธุรกิจแล้วมองว่ากำไรจะลดลงมากกว่านี้) สิ่งที่ดีขึ้น ทั้งนี้รายได้ค่าบริการที่ไม่รวม Interconnection Charge ทรงตัวที่ 30.3 พันล้านบาท แต่ยังมีค่าอุดหนุนโทรศัพท์มือถือที่กระตุ้นให้ลูกค้าย้ายจาก 2G มา 3G&4G อยู่ (แต่ใน 2Q59 อยู่ที่ 1.7 พันล้านบาท น้อยลงจาก 1Q59 ที่มีค่าใช้จ่ายส่วนนี้ 3.4 พันล้านบาท) นอกจากนั้นค่าใช้จ่ายที่ต้องชำระให้ TOT ก็ยังไม่บันทึกเข้ามาใน 2Q59 โดยคาดว่าจะเริ่มเข้ามาใน 3Q59 ซึ่งในประมาณการเราได้สะท้อนค่าใช้จ่ายส่วนนี้ไปตั้งแต่ 1Q59 โดยรวมทั้งปีอยู่ที่ 10 พันล้านบาท ดังนั้นถือว่าคาดการณ์กำไรปีนี้ของเราที่ 32.2 พันล้านบาท (-18%YoY) นั้น Conservative และถ้าไม่มีรายการค่าใช้จ่ายอื่นที่มากกว่าคาด ก็มีโอกาสที่จะปรับเพิ่มประมาณการกำไรได้ แนะนำซื้อ ADVANC โดยให้ราคาพื้นฐาน 180 บาท ส่วน INTUCH มีราคาเป้าหมาย 62 บาท (ให้ Discount 15% จาก Target NAV) คาดการณ์ Dividend Yield ปีนี้เท่ากับ 6.8%
นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค - [email protected]