- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Tuesday, 05 July 2016 18:47
- Hits: 1825
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
'อาจแกว่ง/อ่อน...ไม่หลุด 1440 ยังลุ้นถือต่อได้'
• หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : ไม่มี
ปัจจัย&กลยุทธ์ทางปัจจัยพื้นฐาน : ตลาดหุ้นไทยเมื่อวานนี้ปรับขึ้นต่อ นำโดยกลุ่มธนาคารพาณิชย์ และหุ้น Big Cap เช่น BANPU, BCP, CPALL,CKP รวมถึงหุ้น Mid-Small Cap เช่น BWG, CSS, GUNKUL, TKN เป็นต้น ปิดตลาด SET Index +9.57 จุดที่ 1454.56 ซึ่งการปรับขึ้นของตลาดหุ้นไทยเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับภูมิภาค นักลงทุนสถาบันในประเทศและต่างชาตินำซื้อสุทธิ 2.2 และ 3.4 พันล้านบาท ตามลำดับ พอร์ตบล.ซื้อขายใกล้เคียงกัน ส่วนรายย่อยขายสุทธิ
ภาพรวมตลาดดูเป็นบวกเมื่อ SET Index ผ่านระดับจิตวิทยา 1450 จุดและยืนเหนือได้ (แต่ก็ยังไม่ควรวางใจเพราะเหนือไม่มาก) โดยปัจจัยที่เข้ามามีน้ำหนักมากขึ้น คือ การเก็งกำไรผลประกอบการไตรมาส 2/59 ซึ่งขณะนี้นักวิเคราะห์กำลังทยอยทำ Preview กัน สำหรับกลุ่มที่คาดว่าจะมีกำไรสุทธิแข็งแกร่ง คือ พลังงาน เพราะมีกำไรจากสต็อกน้ำมันซึ่งราคาน้ำมันดิบไตรมาส 2/59 ปรับขึ้นกว่า 25% เมื่อเทียบ QoQ นอกจากนั้นบางบริษัทยังมีกำไรจาก FX ในส่วนของหนี้เมื่อค่าเงินบาทแข็งขึ้นเทียบยูโร เช่น BJC, THAI, TPIPL เป็นต้น ส่วนกลุ่มแบงค์คาดว่ากำไรจะทรงๆ โดยมีเรื่องการตั้งสำรองค่าเผื่อฯสูง และ NIM ที่จะแคบลงจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ขาเดียวกดดันอยู่ ประเมินว่า KBANK จะมีกำไรเติบโตได้ QoQ หลังตั้งสำรองฯไปสูงมากในไตรมาส 1/59 ส่วน Real Sectors อื่นๆ จะเป็นไปเป็นรายบริษัท โดยบริษัทขนาดใหญ่กำไรเติบโตไม่มาก แต่บริษัทขนาดกลาง-เล็กหลายแห่งเติบโตได้อย่างก้าวกระโดด แต่โดยภาพรวมของทั้งตลาดก็ไม่ได้เติบโตหวือหวานัก สำหรับภาพการลงทุนระยะกลาง-ยาว เรามองว่าผลกระทบ Brexit อาจเข้ามากดดันเป็นระยะ (สั้นๆ หายตกใจแต่ก็ยังไม่ทิ้งความกังวล) กลยุทธ์ : จึงเน้นลงทุนในหุ้น Domestic & AEC Play โดยหุ้น Top Picks ของเดือนก.ค.59 เป็น CK, CPALL, CPN, JASIF และ Dark Horse คือ ANAN, BWG สำหรับหุ้นแนะนำเชิงกลยุทธ์วันนี้เป็น SPA
การวิเคราะห์ทางเทคนิค : ภาพตลาดเป็นบวก แต่ควรระวังการแกว่ง/อ่อนจากแรงขายทำกำไร ดังนั้นการซื้อใหม่จึงเน้นตามด้วยค่าบวก แนวต้านระยะสั้นอยู่ที่ 1460, 1470 จุด ค่าลบดูไม่ค่อยดี ต่ำกว่าแนวฟิวเตอร์ 1440 จุดควรตัดขายออกไปก่อน
การ SCAN หุ้นที่มีสัญญาณทางเทคนิคดีและมีโอกาสปรับขึ้น พบว่าหุ้นที่เข้ามาใหม่ คือ SRICHA, AP, CKP, SPA ส่วนหุ้นที่ยังอยู่ใน List คือFSMART, SYNEX, QTC, VIH, STEC, KBS, MCS หุ้นที่หาจังหวะ Take Profit คือ THANI, UNIQ, ASK, BWG, SIS หุ้นที่หลุด List -ไม่มี-
Need to know TODAY
ปัจจัยต่างประเทศ
• ตลาดหุ้นสหรัฐและโภคภัณฑ์ปิดทำการในวันที่ 4 ก.ค.59 เนื่องในวันชาติสหรัฐ
• สหรัฐ : จับตาตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรวันศุกร์นี้
กระทรวงแรงงานสหรัฐจะเปิดเผยตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐประจำเดือนมิ.ย.59 ในวันศุกร์นี้ ซึ่งจะบ่งชี้แนวโน้มการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกในปีนี้ ก่อนที่เฟดจะประชุมกำหนดนโยบายการเงินในวันที่ 26-27 ก.ค.59สำหรับผลการสำรวจนักวิเคราะห์ระบุว่า กระทรวงแรงงานสหรัฐจะรายงานตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรของเดือนมิ.ย.เพิ่มขึ้น 180,000 ตำแหน่ง หลังจากที่เพิ่มเพียง 38,000 ตำแหน่งในเดือนพ.ค.59
•/- ยูโรโซน : ดัชนีราคาผู้ผลิตพ.ค. +0.6%MoM แต่ -3.9%YoY…บ่งชี้ว่าเงินเฟ้อด้านต้นทุนยังต่ำมากสำนักงานสถิติแห่งชาติยุโรป (ยูโรสแตท) รายงานว่า ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เดือนพ.ค.59 ปรับตัวขึ้น 0.6%MoM ในยูโรโซนและในสหภาพยุโรป (EU) โดยในยูโรโซนมาจากการเพิ่มขึ้น 1.7% ในภาคพลังงาน, 0.3% ในภาคสินค้าขั้นกลาง และ0.1% ในสินค้าเพื่อผู้บริโภค ส่วนสินค้าทุนยังคงทรงตัว ส่วนการเพิ่มขึ้นใน EU มาจากการเพิ่มขึ้น 2.1% ในภาคพลังงาน,0.3% ในภาคสินค้าขั้นกลาง และ 0.1% ในสินค้าเพื่อผู้บริโภค ส่วนสินค้าทุนยังคงทรงตัว แต่ถ้าไม่รวมหมวดพลังงานพบว่าดัชนี PPI เพิ่มขึ้น 0.2%MoM ทั้งในยูโรโซนและ EU อย่างไรก็ตาม ถ้าพิจารณาเป็นรายปีพบว่า ดัชนี PPI ยัง -3.9%YoY ในยูโรโซน และ -3.7%YoY ในสหภาพยุโรป
- อังกฤษ : IMF เตือนเศรษฐกิจจะหดตัว 1.5%-4.5% ภายในปี 2562 หลังมี Brexitนางคริสติน ลาการ์ด ผู้อำนวยการกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ระบุว่าการที่อังกฤษตัดสินใจออกจากสหภาพยุโรป (Brexit) จะส่งผลให้ GDP อังกฤษจะหายไปราว 1.5%-4.5% ภายในปี 2562 และภาวะเลวร้ายที่สุดข คือ สถานะของอังกฤษอยู่ต่ำกว่าประเทศคู่ค้าอื่นๆภายใต้กฎข้อบังคับขององค์การการค้าโลก
- ยูโรโซน & อังกฤษ : S&P เตือนว่าเศรษฐกิจจะถูกกระทบจาก Brexit ในปี 2560-2561ทาง Standard and Poor’s (S&P) ประเมินว่าการฟื้นตัวของยูโรโซนจะยังไม่หยุดชะงักในจุดนี้ ถึงแม้มีความไม่แน่นอนและมีผลกระทบต่ออุปสงค์ภายนอกประเทศที่เกิดจากปัจจัย Brexit แต่เราประเมินว่าผลกระทบจาก Brexit จะทำให้จีดีพีของยูโรโซนหายไป 0.8% ในช่วงปี 2560-2561 และจีดีพีอังกฤษลดลง 1.2% ในปี 2560 และลดลง 1.0% ในปี 2561 จากการลงทุนที่อ่อนแอทั้งจากภายในประเทศและจากต่างประเทศ แต่อยู่บนสมมติฐานว่าอังกฤษยังสามารถเข้าถึงตลาดร่วมของสหภาพยุโรปได้ในปี 2560 และปี 2561 และธนาคารกลางอังกฤษควบคุมความผันผวนในตลาดเงินได้ พร้อมกันนั้นS&P ประมาณการว่า อังกฤษจะลดอัตราดอกเบี้ยจากระดับ 0.5% ในปัจจุบันเป็น 0% ภายในสิ้นปี 2559 และใช้ QE อีกครั้งในปี 2560เมื่อวานนี้ (4 ก.ค.59) มีข่าวว่ากระทรวงการคลังอังกฤษกำลังพิจารณาปรับลดอัตราภาษีรายได้นิติบุคคลจากปัจจุบันที่20% เป็น 15% เพื่อตรึงเงินลงทุนไว้และดึงดูดเงินลงทุนใหม่ๆ เข้ามาหลังจาก Brexit
- อิตาลี : ภาคธนาคารกำลังถูกกระทบจาก NPL สินเชื่อผู้บริโภคที่สูงถึง 18.1%ธนาคารกลางอิตาลีเปิดเผยว่าภาคธนาคารของอิตาลีกำลังได้รับผลกระทบจากสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ที่มีมูลค่าสูงถึงราว 3.60 แสนล้านยูโร (18.1% ของเงินกู้ทั้งหมดที่ปล่อยให้ผู้บริโภค) และราว 2.10 แสนล้านยูโรหรือ 58% ในจำนวนดังกล่าวเป็นเงินกู้ที่ปล่อยโดยธนาคารที่ใกล้ล้มละลาย นอกจากนั้นอัตราดอกเบี้ยที่ลดลงมากถึงระดับติดลบทำให้ผลกำไรภาคธนาคารย่ำแย่ลงด้วย หุ้นกลุ่มธนาคารของอิตาลีร่วงลงอย่างหนักเมื่อคืนนี้
ปัจจัยในประเทศ & หุ้นเด่น
Wealth Perspective Equity (July 2016) – เน้น Domestic & AEC Play
• เดือนมิ.ย.59 หุ้นที่เราเลือกเป็น Top Picks & Dark Horse ให้ Return +4.5%MoM สูงกว่า SET ที่ +1.5%MoM ส่วนReturn สะสม 6M59 ของเราอยู่ที่ +17.6% ขณะที่ตลาด +11.7%
• สำหรับเดือนก.ค.59 ปัจจัยติดตาม คือ ตัวเลขเศรษฐกิจชั้นนำประเทศต่างๆ ใกล้สุด คือ ตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนมิ.ย.ของสหรัฐที่จะออกมาวันศุกร์ที่ 8 ก.ค.นี้ อย่างไรก็ตาม เราคาดว่าเฟดจะยังไม่รีบปรับขึ้นดอกเบี้ยเม้ตัวเลขจ้างงานจะออกมาแข็งแกร่ง เพราะ Brexit ทำให้เศรษฐกิจโลกมีความเสี่ยงมากขึ้น นายอลัน กรีนสแปน ถึงกับออกปากว่าผลกระทบ Brexit จะมีมากกว่าเหตุการณ์ Black Monday ในปีค.ศ.1987 เสียอีก ส่วนในประเทศเป็นเรื่องความคืบหน้าของการลงทุนในโครงการรัฐ และการทำ Preview ผลประกอบการไตรมาส 2/59 ของบริษัทจดทะเบียน
• อัตราดอกเบี้ยที่ต่ำมาก/ติดลบ เฟดยังไม่ปรับขึ้นดอกเบี้ยเร็ว เศรษฐกิจเอเชียที่ยังเติบโตได้ดี และการลงทุนในโครงการภาครัฐของไทยมีความคืบหน้ามากขึ้น ทำให้ตลาดหุ้น Emerging Market รวมถึงตลาดหุ้นไทย ยังเป็นที่สนใจของนักลงทุนและนักเก็งกำไร ในลักษณะ Selective Buy
• กลยุทธ์ : เน้นลงทุนใน Domestic & AEC Play ซึ่งเราคาดว่ามีหลายบริษัทที่ยังเติบโตได้ดีท่ามกลางความเสี่ยงภายนอกที่สูงขึ้น
• หุ้นกลุ่มหลักที่น่าสนใจ คือ CK, SCC, CPALL, CPN, JASIF ส่วนกลุ่มธนาคารและสื่อสารเน้นทยอยซื้อสะสมจังหวะอ่อนตัว หุ้นเด่นเป็น BBL, KBANK, TCAP, ADVANC, INTUCH สำหรับกลุ่มท่องเที่ยว การอ่อนตัวเป็นจังหวะทยอยซื้อสะสม หุ้นที่น่าสนใจเป็น AOT, AAV, THAI, ERW ด้านหุ้นขนาดกลาง-เล็กที่มีแนวโน้มเติบโตดีและน่าสนใจลงทุนเป็น ANAN, BWG, ILINK, KAMART, SEAFCO, TKN
• หุ้น Top Picks เดือนก.ค.59 เป็น CK, CPALL, CPN, JASIF ส่วน Dark Horse คือ ANAN, BWG
+ ภาคท่องเที่ยว : ททท.ตั้งเป้ารายได้ท่องเที่ยวปี 60 เติบโต 12%YoYททท.ทำแผนท่องเที่ยวไทย โดยตั้งเป้าหมายรายได้ทางการท่องเที่ยวปี 60 ไว้ที่ 2.89 ล้านล้านบาท เติบโต 12% จากปี 59ที่มีรายได้ 2.58 ล้านล้านบาท โดยแบ่งเป็นตลาดรายได้จากต่างชาติ 1.89 ล้านล้านบาท และรายได้จากตลาดในประเทศ1 ล้านล้านบาท ยังผลให้รายได้ท่องเที่ยวปี 60 จะคิดเป็น 20% ของจีดีพี (จาก 16% ในปี 2559)
ความเห็นเชิงกลยุทธ์ Retail Research : นับเป็นเรื่องดีที่การท่องเที่ยวของไทยยังคงขยายตัวได้อย่างแข็งแกร่ง เราประเมินว่าผลกระทบจาก Brexit จะกระทบภาคท่องเที่ยวของไทยไม่มาก เนื่องจากนักท่องเที่ยวยุโรปซบเซามาหลายปีแต่การท่องเที่ยวของไทยยังคงเติบโตได้จากนักท่องเที่ยวเอเชียและจีนที่เพิ่มขึ้นมาก ซึ่งคาดว่าในปี 60 ก็ยังจะอยู่ในลักษณะนี้ต่อไป หุ้น Top Picks ในกลุ่มท่องเที่ยวของเราเป็น AOT, AAV, ERW ส่วน Dark Horse คือ THAI
นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค – [email protected]