- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Thursday, 30 June 2016 18:40
- Hits: 751
บล.ไอร่า : ภาวะตลาดหุ้นรายวัน
ทิศทางตลาด
ตามตลาดต่างประเทศ? ที่คาดยังมีโอกาสปรับขึ้น โดยคาดยังคงได้รับปัจจัยหนุนประเด็นเดิมจากต่างประเทศ (1) ภายใต้คาดการณ์ธนาคารกลางหลายๆ แห่ง เช่น FED, BOJ, BOE และ ECB ใช้นโยบายผ่อนคลายทางการเงิน เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ หลังประเด็น Brexit ทำให้เกิดความกังวลต่อทิศทางการเติบโตทางเศรษฐกิจทั้งของ EU และสหราชอาณาจักร ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อทั่วโลก
และ (2) ราคาน้ำมันที่ปรับขึ้น คาดมีแรงเก็งกำไรเข้ามาในหุ้นกลุ่มพลังงาน
ขณะที่แนะติดตามค่าเงิน ล่าสุดเงินสหรัฐฯ อ่อนค่าลงเล็กน้อยจากวานนี้ที่ 35.11 โดยเช้านี้เคลื่อนไหว 35.13 – 35.15 ซึ่งคาดมีผลต่อราคาสินค้าโภคภัณฑ์ เช่น ราคาน้ำมัน เพิ่มขึ้นเมื่อเงินสหรัฐฯ อ่อนค่าลง และลดลง เมื่อเงินสหรัฐฯ แข็งค่าขึ้น
เช่นเดียวกับประเด็นในประเทศ ที่คาดยังเป็นบวก แม้วานนี้จะมีแรงขายสุทธิของต่างชาติออกมา แต่ได้รับการชดเชยจากแรงซื้อสุทธิของสถาบันในประเทศที่มีต่อเนื่อง อีกกว่า 5,600 ล้านบาท และประเด็น Window Dressing – 2Q/59 ในวันนี้ ขณะที่เริ่มมีความชัดเจนในงานก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู และเหลือง ที่เปิดขายซองประมูล 6 กค. – 5ส.ค.’59 และคาดยื่นซองในวันที่ 7 พ.ย.’59 พร้อมเปิดซองในวันที่ 17 พ.ย.’59 ซึ่งคาดส่งผลดีต่อหุ้นในกลุ่มรับเหมาฯ
และภายใต้เศรษฐกิจไทย ที่คาดว่าดีขึ้นตามลำดับแต่ยังเปราะบาง หลังกระทรวงการคลังคาด GDP – 2Q/59 เติบโตมากกว่า 3.2% และคาดสูงสุดใน 3Q/59 ที่ 4.0% จากการลงทุนภาครัฐ และคาดทั้งปี’59 เติบโตสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ที่ 3.3% ซึ่งคาดยังเป็นปัจจัยหนุนภาพรวมตลาดบ้าง
แนะติดตามหุ้นกลุ่ม Domestic Play เช่น กลุ่มค้าปลีก เป็นต้น
และยังแนะจับตา
(1) กลุ่มปิโตรเคมี ได้รับประโยชน์จากปริมาณการผลิตที่เพิ่มขึ้น เช่น IVL
(2) กลุ่มวัสดุก่อสร้าง ที่คาดได้รับประโยชน์ต่อเนื่องจากส่วนต่างผลิตภัณฑ์ที่สูงขึ้น เช่น EPG, SCC และ VNG
(3) กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ มีปัจจัยบวกจากยอดโอนในช่วงที่เหลือของปี 59 ยังคงอยู่ในเกณฑ์ดี เช่น ANAN, AP และ SPALI
(4) กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง ที่ได้รับประโยชน์จากงานภาครัฐ เช่น CK และ SEAFCO
(5) กลุ่มพลังงาน ในขณะที่หุ้นหลักอย่าง เช่น PTT ได้รับประโยชน์จากธุรกิจก๊าซ
ที่แนวโน้มกำไรเติบโตดี
ปัจจัยที่มีผลต่อตลาด
ปัจจัยที่มีผลต่อตลาดวันนี้
(+) ตลาดหุ้นต่างประเทศ DJIA +284.96, NASDAQ +87.38, S&P +34.68, FTSE +219.67, CAC +106.47 และ DAX +164.99 ภายใต้ปัจจัยหนุนจาก (1) ราคาน้ำมันดิบที่ปรับขึ้นกว่า 4% และ (2) การคาดการณ์ว่าธนาคารกลางชั้นนำของโลก ทั้งสหรัฐฯ ญี่ปุ่น อังกฤษ และธนาคารกลางยุโรป ที่พร้อมจะออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อรับมือกับผลกระทบจากปัจจัย Brexit
นอกจากนี้ยังได้รับปัจจัยบวกจากตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐฯ (1) การใช้จ่ายของผู้บริโภค – พ.ค. เพิ่มขึ้น 0.4% และ (2) ดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) พื้นฐาน (ไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน) ในเดือนพ.ค. ซึ่งเป็นตัวเลขวัดอัตราเงินเฟ้อที่เฟด ให้ความสำคัญ ปรับขึ้น 0.2%MoM แต่ดัชนียอดทำสัญญาขายบ้านที่รอปิดการขาย –พ.ค. ลดลง 3.7% อยู่ที่ 110.8
ราคาน้ำมันดิบ (NYMEX) ส่งมอบเดือน ส.ค. +US$2.03 อยู่ที่ US$49.88 ต่อบาร์เรล หลัง EIA เปิดเผยสต็อกน้ำมันดิบ ล่าสุดลดลง 4.1 ล้านบาร์เรล (คาดลดลง 2.4 ล้านบาร์เรล) อยู่ที่ 526.6 ล้านบาร์เรล และยังได้รับปัจจัยหนุนจากการคาดการณ์ว่าธนาคารกลางชั้นนำของโลก พร้อมจะออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อรับมือกับผลกระทบจากปัจจัย Brexit
ราคาทองคำ (COMEX) ส่งมอบเดือน ส.ค. +US$9.0 อยู่ที่ US$ 1,326.9 ต่อออนซ์ ส่วนหนึ่งจากค่าเงินสหรัฐฯ อ่อนค่าลง ขณะเดียวกันยังมีความไม่แน่นอนของผลกระทบที่จะเกิดขึ้นหลังจากอังกฤษลงประชามติแยกตัวออกจากสหภาพยุโรป (Brexit) ส่งผลให้นักลงทุนยังเข้าซื้อทองคำซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่ปลอดภัย
P/E (เท่า) P/BV (เท่า) Dividend Yield (%)
21.92 1.86 3.29
ที่มา: www.set.or.th
มูลค่าการซื้อขาย หน่วย(ลบ.)
มูลค่าการซื้อขาย 62,743.79
สถาบัน 5,641.32
บัญชีหลักทรัพย์ 748.61
ต่างประเทศ -294.54
ในประเทศ -6,095.39
โดยฟิทช์ เรทติ้งส์ คาดว่า การลงทุนในอังกฤษจะลดลง ประมาณ 5% และ 15% ในปี’60 และ 61 ตามลำดับ พร้อมปรับลดคาดการณ์ GDP ลงจาก 2.0% เป็น 1.0% ในช่วงเวลาดังกล่าว
(-) เม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศสุทธิ -295 ล้านบาท สะสม YTD 29,638 ล้านบาท (ปี’57 และ 58 ยอดขายสุทธิสะสม 36,584 ล้านบาท และ 154,346 ล้านบาท ตามลำดับ)
ประเด็นที่ต้องติดตาม 30 มิ.ย. – 1 ก.ค. 2559
30/6/59 : สหรัฐฯ เปิดเผย
ผู้ขอรับสวัสดิการว่างงาน
ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) เขตชิคาโกเดือนมิ.ย.
1/7/59 : สหรัฐฯ เปิดเผย
ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตขั้นสุดท้ายเดือนมิ.ย.
ข้อมูลค่าใช้จ่ายด้านการก่อสร้างเดือนพ.ค.
ดัชนี PMI ภาคการผลิตเดือนมิ.ย.
(6) กลุ่มค้าปลีก เช่น CPALL, HMPRO และ ROBINS ที่คาดได้รับประโยชน์หลังรัฐบาลอัดฉีดกำลังซื้อรากหญ้าอย่างต่อเนื่อง จากโครงการที่เกี่ยวข้องกับการดูแลเกษตรกร 3 โครงการวงเงิน 93,000 ล้านบาท
(7) กลุ่มท่องเที่ยว เช่น โรงแรม (MINT, ERW) ที่คาดได้รับประโยชน์จากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยล่าสุดสภาพัฒน์ฯ ปรับเพิ่มคาดการณ์จำนวนนักท่องเที่ยวปี’59 อยู่ที่ 33 ล้านคน จากเดิมที่ 32.5 ล้านคน และคาดรายได้จากการท่องเที่ยว 1.69 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.6%
(8) กลุ่มขนส่ง ในส่วนของธุรกิจการบินและสนามบิน เช่น AAV, AOT
ผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐ 10 ปี +0.02 อยู่ที่ 1.48% (ระดับสูงสุด 3.77% เมื่อ กพ.’54)
ดัชนีความเสี่ยง (VIX) -2.11 อยู่ที่ 16.64
หุ้นแนะนำ : CK